ความเ็ปที่คาดการณ์ไว้ไม่ได้เกิดขึ้น หลินกู๋หยู่ตกอยู่ในอ้อมกอดที่อบอุ่น นางจ้องมองใบหน้าที่หล่อเหลาของลู่จื่อยู่ด้วยความตื่นตะลึง
ขนตายาวงอนค่อยๆ หลุบลง หลินกู๋หยู่เม้มริมฝีปากเล็กน้อย เรียกสติตัวเองกลับคืนมาก่อนจะดันชายตรงหน้าออกไป
“ขอบคุณหมอลู่!” หลินกู๋หยู่โน้มศีรษะเล็กน้อยขณะขอบคุณลู่จื่อยู่
"ไม่เป็ไร" ลู่จื่อยู่หันศีรษะมองไปยังข้างๆ แววตาปรากฏความสับสนวูบหนึ่ง
เมื่อเขาแตะต้องนาง หัวใจของเขาจะเต้นเร็วขึ้นได้อย่างไร เขาต้องป่วยแล้วแน่ๆ ใช่แล้ว เขาป่วยแล้วจริงๆ
"เอ่อ" ลู่จื่อยู่หยิบพัดออกจากเอวอย่างสง่างามและเริ่มพัดเพื่อปกปิดความสับสนวุ่นวายในใจ "เวลาสายมากแล้ว กลับกันเถอะ"
"อืม" สิ่งที่หลินกู๋หยู่พอใจมากที่สุดก็คือการได้เก็บสมุนไพรนี้ ถ้าสามารถปลูกได้ในปริมาณมาก เช่นนั้นย่อมดีมาก
หลินกู๋หยู่หยิบสมุนไพรออกมาจากเอวของนางอย่างมีความสุขและใส่ลงในตะกร้าไม้ไผ่
ทั้งสองคนเดินเคียงกันไปที่บ้านสกุลฉือ
ดวงอาทิตย์สาดแสงส่องไปที่ร่างของคนทั้งสอง เงาของคนทั้งสองที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าผสานกัน
หลังจากส่งหลินกู๋หยู่ที่หน้าประตูแล้ว ลู่จื่อยู่กล่าวว่าเขามีบางอย่างที่จะต้องทำและกลับไปก่อน
ตอนนี้เวลาเที่ยงแล้ว ได้เวลากินข้าวแล้ว
หลังจากที่หลินกู๋หยู่ปลูกสมุนไพรลงดิน นางก็เตรียมพร้อมที่จะทำอาหารกลางวัน
โจวซื่อนั่งอยู่บนม้านั่งโดยมีชามอยู่ในมือ เมื่อได้ยินเสียงพูดของลูกสะใภ้ทั้งสอง นางก็ยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้นอีก
"ท่านแม่" ฟางซื่อเป็ภรรยาของฉือเทา ริมฝีปากแหลมเล็ก แก้มทั้งสองข้างคล้ายแก้มลิง ดวงตากลมโตหรี่ยิ้ม นางโน้มเข้าใกล้โจวซื่อ "สองสามวันมานี้ข้าได้ยินว่าอาการป่วยของน้องสามดีขึ้นแล้ว จะดีหรือไม่ถ้าพวกเรายกเลิกการแยกครอบครัวกัน พวกเรารวมครอบครัวมาอยู่ด้วยกันเถอะ!"
โจวซื่อไม่ตอบ นางหลบตากินบะหมี่เงียบๆ
ซ่งซื่อเป็ภรรยาของฉือซู่พี่ชายคนโตในบ้าน เมื่อเห็นฟางซื่อขยิบตา นางก็รีบพูดเสริมว่า "ท่านแม่ น้องสะใภ้รองพูดถูก ในเมื่อน้องสามสบายดีแล้ว พวกเราก็ยังคงเป็ครอบครัวเดียวกัน ดังนั้นพวกเราอย่าแยกกันอยู่อีกเลย!”
เดิมซ่งซื่อก็มักจะเสียงดังอยู่แล้ว เมื่อนางพูด น้ำลายในปากก็กระเด็นไปทั่วโต๊ะ
ฉือเย่ขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นมองซ่งซื่อโดยไม่พูดอะไร ยกชามกินบะหมี่ต่อ โดยคิดที่จะออกไปทันทีหลังจากกินเสร็จ
เมื่อตอนพี่สามล้มป่วยก่อนหน้านี้ พี่สะใภ้ใหญ่และพี่สะใภ้รองยืนกรานที่จะแยกครอบครัว โดยบอกว่าพวกเขาไม่สามารถดูแลคนในครอบครัวของพี่สามที่อยู่โดยไม่ทำงานได้
ตอนนี้พี่สามอาการดีขึ้นแล้ว พวกนางก็แทบรอไม่ไหวที่จะรวมครอบครัว
สตรีเช่นนี้ แต่งเข้ามาสร้างปัญหาในบ้านจริงแท้
พี่ใหญ่เป็คนซื่อๆ และพูดไม่เก่งนัก
“ท่านแม่” ฉื่อเทาทานข้าวสองสามคำ เงยหน้าขึ้นมองโจวซื่อแล้วยิ้มอย่างประจบประแจง “ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็เป็ครอบครัวเดียวกัน ไปขอให้น้องสามกลับมาเถอะ เขาไม่อยู่ ข้าคิดถึงเขาจะแย่อยู่แล้ว"
สิ่งที่พี่รองพูดกลับตาลปัตรโดยสิ้นเชิง
ฉือเย่เม้มปากเล็กน้อย ตอนนี้พวกเขาอดรนทนไม่ไหวที่จะรวมครอบครัว เพราะเงินส่วนใหญ่ที่หามาให้คนในครอบครัวก็มาจากพี่สาม
พี่สามเป็นักล่ามือฉมัง เขาสามารถจับเหยื่อที่ดีได้ทุกครั้ง เมื่อนำไปขายในเมือง บางครั้งเขาสามารถหาเงินได้ถึงหนึ่งหรือสองตำลึง
เหตุผลที่ครอบครัวนี้ไม่หนาวแข็งตายหรือหิวโหย ทั้งหมดนี้เป็เพราะเงินที่ได้จากการล่าสัตว์ของพี่สาม
เพียงแต่…
ฉือเย่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าท่านแม่ของเขาจะขอแยกครอบครัวในขณะที่พี่สามกำลังป่วยหนัก ซึ่งเหตุนี้ย่อมทำให้พี่สามเสียใจมาก
“ท่านแม่” จื่อเทาไม่ได้ยินคำตอบของโจวซื่อ จึงโน้มตัวเข้าไปใกล้โจวซื่อ แล้วพูดเสียงเบาว่า “ข้ารู้ว่าท่านกังวลว่าน้องสามจะไม่เห็นด้วย แต่น้องสามเองย่อมอยากจะกลับมารวมครอบครัวเช่นกัน เมื่อก่อนน้องสามกตัญญูต่อท่านมาก ที่แยกครอบครัว... เขาไม่อยากให้พวกเราพลอยต้องลำบากไปด้วยอย่างแน่นอน”
คำพูดเหล่านี้จี้ใจดำของโจวซื่อ
ยามเมื่อแยกครอบครัวจากกัน ถ้าลูกชายคนโตและลูกชายรองไม่เห็นด้วย นางก็คงไม่เห็นด้วยที่จะแยกทางกัน
โจวซื่อย่อมเต็มใจที่จะอยู่ร่วมกันเป็ครอบครัว ไม่ต้องพูดถึงว่าฉือหางเป็ลูกกตัญญู ไม่ว่านางจะพูดอะไร ฉือหางก็มักจะเชื่อฟังเสมอ
"เื่นี้..." โจวซื่อพูดได้สองคำ นางหยุดจังหวะการพูดชั่วคราวแล้วพูดต่อว่า "พวกเราต้องหารืออย่างรอบคอบ ไม่รู้ว่าเ้าสามจะเห็นด้วยหรือไม่"
“พี่สามจะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน” พี่ชายคนโตฉือซู่พูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ เ้าสามเชื่อฟังคำพูดของท่านั้แ่เด็ก ตอนนี้คนในครอบครัวจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง เขาจะไม่เห็นด้วยได้อย่างไรหรือ?”
“แต่ว่า” โจวซื่อมองไปทางลูกชายคนโตและลูกชายคนรองอย่างลังเล พวกเขาทั้งหมดมองมาที่นางอย่างตื่นเต้น
ฉือเย่กินข้าวในชามอย่างเงียบๆ ราวกับว่าไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
โจวซื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย “เ้าสี่ เ้าคิดอย่างไรหรือ?”
“ท่านแม่ ข้ากินข้าวเสร็จแล้ว ข้าใกล้สอบแล้ว ท่านอาจารย์บอกให้ข้าอ่านหนังสืออย่างตั้งใจ ข้าขอตัวกลับก่อน”
ขณะที่ฉือเย่พูด เขาวางชามในมือลงบนโต๊ะและลุกขึ้นจากไป
เขาเดินออกไปข้างนอกด้วยความเหงาเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงที่สนุกสนานด้านในบ้าน ฉือเย่ก็เข้าใจทันทีว่าวันนี้ท่านแม่จะต้องพูดคุยเกี่ยวกับการรวมครอบครัวกับพี่สามอย่างแน่นอน
เขารู้สึกสงสารแทนพี่สามจริงๆ
ฉือเย่เดินออกไปข้างนอกอย่างหดหู่ใจ จากนั้นก็หันกลับไปที่ห้องของเขา
ในความเป็จริง หากไม่มีพี่สะใภ้สาม พี่สามก็คงไม่ดีขึ้น เมื่อนึกถึงวันที่ฝนตกในวันนั้น การแสดงออกทางสีหน้าของฉือเย่ก็ดูเหม่อลอยเล็กน้อย
วันนั้นเขาเห็นพี่สะใภ้สามเป็ครั้งแรก
พี่สะใภ้สามเดินตัวเปียกโชกมาจากด้านนอก ฉือเย่วางโต้ซาบนตั่งไม้เล็กๆ แล้วหยิบหนังสือหย่าออกมาจากแขนเสื้อ "พี่สามตื่นสักพักหนึ่ง แล้วก็หลับอีกแล้ว"
แม้ว่าในเวลานั้น เขาไม่เข้าใจว่าทำไมพี่สามถึงมั่นใจว่าพี่สะใภ้สามจะกลับมาก็ตาม
หากเป็เขา เขาจะใช้โอกาสนี้ในหลบหนีไปจากที่นี่อย่างแน่นอน
สีหน้าของพี่สะใภ้สามเปี่ยมไปด้วยความสงสัย "นี่คืออะไรหรือ?"
"หนังสือปลงใจหย่าที่พี่สามเตรียมไว้ให้" ฉือเย่แสร้งทำเป็เยือกเย็น เขารู้สึกว่าพี่สะใภ้สามนั้นงดงามเป็พิเศษ เป็ความงดงามที่ผู้คนไม่อาจละสายตาจากนางได้
แต่ว่านางเป็พี่สะใภ้สาม... ฉือเย่ก้มหน้าลง ไม่กล้ามองหลินกู๋หยู่อีก
“ถ้าเขาอยากจะให้ข้า ก็รอให้เขาให้ข้าด้วยมือของเขาเอง” เสียงพี่สะใภ้สามไม่แสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึกใดเลย
แต่ประโยคนั้นกลับฝังลึกในจิตใจของฉือเย่เสียอย่างนั้น
สิ่งนี้แปลกจนอธิบายไม่ถูก เขารู้สึกอิจฉาพี่สามเล็กน้อยที่มีคนที่ดีต่อเขาเหมือนกับพี่สะใภ้สาม ถ้าเขาสามารถหาผู้หญิงที่มีจิตใจดีเหมือนพี่สะใภ้สามที่ไม่ชอบพูดพล่ามไร้สาระ นอกจากนี้พี่สะใภ้ยังมีทักษะการแพทย์และมีจิตใจเมตตา เช่นนี้จะดีมาก
เพียงแต่ว่าผู้หญิงที่เขาพบเจอต่างก็ชอบที่พูดซุบซิบกันถึงเื่ชาวบ้าน พูดพล่ามไร้สาระ หาแก่นสารไม่ได้
นางเป็เหมือนดอกบัวที่ผุดขึ้นมาจากโคลนตมโดยปราศจากรอยแปดเปื้อน บางทีอาจกล่าวได้ว่านางคือดอกบ๊วยแดงแสนงดงามที่สามารถยืนหยัดผ่านฤดูหนาวมาได้
หลังจากโจวซื่อทานข้าวเสร็จ นางก็วางชามและตะเกียบในมือลงบนโต๊ะ แล้วนั่งหลุบตามองลง
“น้องสะใภ้รอง วันนี้ถึงตาเ้าล้างจานแล้ว” ซ่งซื่อขยิบตาให้ฟางซื่อขณะะโเสียงดัง
ฟางซื่อยังไม่ทันได้ยกเท้าออกจากประตู นางก็ต้องหยุดทันที
นางหันกลับมาและมองไปที่ซ่งซื่อ จากนั้นมองไปที่โจวซื่อซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างโต๊ะ นางรีบไปที่โต๊ะและเก็บชามและตะเกียบด้วยรอยยิ้ม
ถ้าเป็ก่อนหน้าด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ฟางซื่อจะทะเลาะโวยวายกับซ่งซื่ออย่างแน่นอน อีกทั้งยังวิ่งหนีเร็วยิ่งกว่ากระต่าย
เพื่อให้จ้าวซื่อพูดคุยเกี่ยวกับเื่การรวมครอบครัวให้สำเร็จลุล่วงโดยเร็ว ฟางซื่อรู้สึกว่านางไม่จำเป็ต้องให้แม่สามีต้องมาคิดถึงเื่อื่น
ฟางซื่อล้างชามและตะเกียบด้วยความไม่เต็มใจ นางชำเลืองมองโจวซื่อ แสร้งทำเป็พูดอย่างไม่จริงใจว่า "ท่านแม่ ข้าคิดว่าท่านควรไปพูดเื่นี้ให้เร็วกว่านี้ เมื่อสองสามวันก่อน คนพวกนั้นมาที่นี่แล้วไม่ใช่หรือ?”
โจวซื่อเงยหน้าขึ้นและจ้องมองฟางซื่อ จากนั้นลุกขึ้นและเดินไปที่บ้านของฉือหาง
ตอนนี้ฉือหางสามารถทานข้าวได้ด้วยตัวเองแล้ว โต้ซาก็กำลังดื่มน้ำต้มข้าวด้วยชามและช้อนไม้ขนาดเล็กของเขาเองได้แล้ว
“เ้าสุขภาพไม่ค่อยดี ควรจะกินอาหารให้มากๆ” หลินกู๋หยู่พูดขณะทานอาหาร “อย่าเสียดายที่จะกิน ทำงานหนักทุกวันไม่ใช่เพียงเพื่อเพลิดเพลินและมีความสุขกับชีวิตที่ดีขึ้นไม่ใช่หรือ?”
ฉือหางถือชามและตะเกียบพลางฟังสิ่งที่หลินกู๋หยู่พูด คีบผักใส่ลงในชามและกินอย่างเหม่อลอย
"อัยโย่ พวกเ้ากำลังกินข้าวอยู่หรือ?" โจวซื่อเดินเข้ามาโดยไม่ได้รับการเชิญและไม่แม้แต่จะเคาะประตูด้วยซ้ำ เมื่อเห็นว่าโต้ซาสามารถกินได้ด้วยตัวเอง นางจึงเดินไปหาโต้ซาด้วยความประหลาดใจ "โต้ซาเก่งมากถึงเพียงนี้เชียว กินข้าวเองได้แล้ว"
"ท่านย่า!" โต้ซาชำเลืองมองโจวซื่ออย่างตื่นเต้น ยกช้อนในมือขึ้นราวกับจะอวดว่าเขาเก่งมาก!
เมื่อหลินกู๋หยู่และฉือหางได้ยินเสียงของโจวซื่อ พวกเขาก็วางชามและตะเกียบแล้วลุกขึ้นยืน
“ท่านแม่” หลินกู๋หยู่เรียกเสียงต่ำ
“ท่านแม่ ท่านอยากกินไหม เดี๋ยวข้าจะตักข้าวให้” ฉือหางมองโจวซื่อหรี่ตายิ้ม
“ไม่ต้องแล้ว ข้ากินแล้ว” โจวซื่อโบกมืออย่างรวดเร็ว นางเดินไปอุ้มโต้ซาไว้ในอ้อมแขนของนาง ก่อนจะนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิมที่โต้ซานั่งเมื่อครู่ “พวกเ้านั่งกินต่อเถอะ ไม่ต้องสนใจข้า”
ไม่รู้ว่าโจวซื่อมาที่นี่ในคราวนี้นาง้าจะทำอะไรกันแน่ หลินกู๋หยู่ไม่ได้พูดอะไร เมื่อดูฉือหางนั่งลงนางจึงทำตาม
ฉือหางถือชามและทานข้าวหนึ่งคำ เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถาม "ท่านแม่ ปีนี้น้ำฝนไม่พอ พืชผลในไร่นาเป็อย่างไรบ้าง?"
เมื่อพูดถึงเื่นี้ ศีรษะของโจวซื่อก็เริ่มปวด
เมื่อก่อนพี่น้องทั้งสามคนไปทำงานในไร่นา ลูกชายคนรองเป็คนี้เี โชคดีที่มีลูกชายคนโตและลูกชายคนที่สาม พวกเขาจึงสามารถทำงานในไร่นาให้เสร็จโดยเร็วได้
แต่ตอนนี้แยกครอบครัวแล้ว ขาดกำลังไปหนึ่งกำลัง การจะพึ่งพาลูกชายคนโตกับลูกชายคนรองทั้งหมด เป็สิ่งที่เป็ไปไม่ได้เลย
บางครั้งนางก็ต้องตามไปที่ไร่นาเพื่อเฝ้าดูเ้ารองด้วยตาตัวเอง ไม่เช่นนั้นเ้ารองจะต้องอู้งานหนีไปเล่นข้างนอกระหว่างนั้นอย่างแน่นอน
"ยังทำไม่เสร็จเลย" เมื่อนึกถึงความประสงค์ของการมาที่นี่ในคราวนี้ แววตาของโจวซื่อก็ยิ่งมีความมุ่งมั่นมากขึ้น ไม่พูดก็ต้องพูดแล้ว แต่ละอย่างไม่อาจเป็ไปด้วยดีหากในครอบครัวไม่มีเ้าสาม "เ้าสาม แม่มีเื่จะคุยกับเ้า"
ฉือหางวางชามและตะเกียบในมือของเขาลงบนโต๊ะ มองไปที่จ้าวซื่ออย่างจริงจัง "ท่านแม่ มีเื่อะไรหรือ ท่านพูดมาเถอะ"
“แม่ลองคิดดูแล้ว” โจวซื่อเอื้อมมือไปบีบใบหน้าเล็กๆ ของโต้ซา แกล้งเล่นกับโต้ซาครู่หนึ่ง ขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะพูดอย่างกังวลใจว่า “แม่คิดว่าจะเป็การดีกว่าที่พวกเราจะไม่แยกครอบครัว เราควรจะรวมครอบครัวอยู่ด้วยกันอีกครั้ง อย่าแยกครอบครัวกันเลย!”
การแสดงออกบนใบหน้าของฉือหางค่อยๆ แข็งตัว ราวกับว่ามีชั้นน้ำแข็งหนึ่งชั้นเกาะตัวอยู่
เมื่อเห็นสีหน้าของฉือหางเช่นนี้ หัวใจของโจวซื่อก็เริ่มไม่มั่นใจ เมื่อนึกถึงลูกชายคนนี้ที่เชื่อฟังนางมาโดยตลอด นางก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า "แม่ทนไม่ได้ที่จะแยกกับเ้า มันจะดีเพียงใดที่เราได้อยู่ด้วยกันในฐานะคนในครอบครัวเดียวกัน เ้าคิดว่าอย่างไรหรือ?”
คิ้วของฉือหางขมวดเล็กน้อย เขาไม่เต็มใจที่จะสบกับดวงตาที่จริงจังของโจวซื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองหลินกู๋หยู่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้