หลิวเต้าเซียงส่งเสียงฮึมฮัมจากในลำคอ แล้วเอ่ย “ในตำรามักบอกกล่าวไว้ไม่ใช่หรือ วาดเสือได้แต่ยากที่จะวาดกระดูก คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ก็พูดถึงคนเช่นนี้แล”
“เฮ้อ พูดเหตุผลกับคนเหล่านี้คงได้แต่เหนื่อยใจ” หลิวชิวเซียงก็ทอดถอนใจเช่นกัน
สองพี่น้องยิ้มเบาๆ สบตากัน จากนั้นก็รับรู้จากสายตาว่าต้องระวังหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์
หัวใจของท่านพี่เฉี่ยวเอ๋อร์ผู้นี้ไม่ได้เ้าเล่ห์ธรรมดา
ทั้งครอบครัวกินและอาศัยอยู่ร่วมกัน จางกุ้ยฮัวเพียงคนเดียวย่อมรับมือไม่ไหว ยิ่งไปกว่านั้นนางยังเป็แม่ให้นมเด็ก
เพียงแต่ในไม่กี่วันนี้ จางกุ้ยฮัวก็ยุ่งวุ่นวายกับงานทุกอย่างในบ้านด้วยขอบตาที่ดำ หลิวเต้าเซียง้าหาตัวนาง เริ่มหาั้แ่ที่โรงครัว คอกหมู แปลงผัก หรือบางทีก็ต้องไปถึงแม่น้ำถึงจะเจอตัวจางกุ้ยฮัว
หลังจากรับประทานอาหารค่ำวันนี้ หลิวเต้าเซียงก็เพิ่มมื้อดึกให้คนในบ้าน ทว่า ด้วยเหตุผลที่หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์กับคนอื่นต่างก็อยู่บ้าน การเพิ่มมื้อดึกจึงทำได้เพียงต้มโจ๊กข้าวและกินหมั่นโถวเท่านั้น
“เฮ้อ ซานกุ้ย พวกนางบอกหรือไม่ว่าจะไปเมื่อใด?”
จางกุ้ยฮัวที่เพิ่งจะผ่อนคลายกับงานมาได้เพียงระยะหนึ่ง จู่ๆ ก็ต้องเผชิญกับงานอันหนักหน่วงเช่นนี้ถึงกับทนไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงหลิวชิวเซียงกับหลิวเต้าเซียงที่ยุ่งจนปลีกตัวออกมาไม่ได้เช่นกัน
หลิวเต้าเซียงไม่พอใจกับคนในตระกูลใหญ่นี้อยู่แล้ว คราวนี้จึงอาศัยจังหวะที่จางกุ้ยฮัวเหนื่อยกับงานเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา “ใช่สิ ท่านพ่อ ครอบครัวเรากลายเป็อะไรไปแล้ว วันๆ ต้องปรนนิบัติคนมากมาย ไก่ที่ข้าเลี้ยงไว้ที่บ้านป้าหลี่ หากไม่ได้ชุ่ยฮัวช่วยไปเก็บต้นหญ้าอ่อนมาให้กิน ไม่แน่ว่าคงไข่ตกไปนานแล้ว”
‘ไข่ตก’ เป็ภาษาท้องถิ่นที่นี่ หมายความว่าการผลิตไข่ลดลง เนื่องจากไก่ที่วางไข่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถวางไข่ได้เพราะกินไม่อิ่ม
หลิวซานกุ้ยก็รู้สึกรําคาญใจกับคนเหล่านี้เช่นกัน เขาไม่พอใจที่เห็นคนอื่นๆ เอะอะก็เรียกใช้งานภรรยาและลูกๆ ของตน
กระทั่งจะดื่มน้ำยังต้องเรียกให้บุตรสาวของตนยกไปให้ พวกนางพิการแขนหรือขากันแน่?
หลิวซานกุ้ยนับวันยิ่งรู้สึกว่ามารดากับญาติเหล่านี้ไม่รู้จักประมาณตน ทำเหมือนการใช้งานภรรยาและลูกๆ ของเขาเป็เื่ปกติ จนกลายเป็ความเคยชิน
หลิวชิวเซียงได้ยินน้องรองพูดถึงคนตระกูลใหญ่ขึ้นมาก็ดีใจยิ่งนัก เพราะนางเองก็อดทนกับคนเ่าั้มามากพอแล้ว
เอะอะก็ใช้งานแต่พวกนางสองคน
“ชิวเซียง ข้าร้อนจะตายชัก รีบมาพัดให้ข้าเร็ว”
ส่วนอีกคนก็เรียก “เต้าเซียง รีบไปต้มน้ำชามาพักให้เย็น อีกเดี๋ยวข้าเตะลูกขนไก่คงต้องหิวน้ำแน่”
หรือไม่ก็ “ชิวเซียง ไปเช็ดเสื่อให้ข้าด้วย ข้อมือของข้าไม่มีแรง บิดผ้าไม่ไหว”
หรือบางทีก็ “เต้าเซียง เต้าเซียง นางตัวดี ไสหัวไปแอบอู้งานที่ไหนอีก?”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหลิวฉีซื่อกำลังจะใช้งานหลิวเต้าเซียงอีกแล้ว
ใน่เช้าหลิวเต้าเซียงยังพอมีความอดทนในการช่วยงาน แต่หลังจากทานอาหารเช้า นางอยากทำอะไรก็ควรได้ไปทำ แต่คนเหล่านี้ยังไม่หยุดเรียกใช้งาน นางเองก็ทนเห็นมารดากับพี่สาวถูกคนเหล่านี้ใช้งานจนหัวหมุนไม่ได้
เมื่อเป็เช่นนี้ หลังจากอดทนมาสามวัน ในที่สุดนางก็ตัดสินใจว่าจะไม่ปล่อยให้เป็เช่นนี้อีกต่อไป
“ท่านพ่อ ข้าเคยชินกับการเจรจาอย่างนอบน้อมก่อน ถ้าไม่ได้การค่อยใช้กำลัง ตกลงครอบครัวเราทำสัญญาทาสหรืออย่างไร? ปรนนิบัติท่านปู่ท่านย่า ข้าก็ยินยอมจากใจ แต่ทุกคนในตระกูลคิดว่าตนเองมาในฐานะแขกหรืออย่างไร! แต่ก่อนยังมีป้ารองคอยช่วย ตอนนี้เล่า? ฮึ วันๆ เอาแต่แอบหลบอยู่ในห้องปีกตะวันออก ยังพูดสวยหรูอีกว่าขอเพียงไม่ให้ท่านย่าเห็นหน้า เพราะกลัวว่าท่านย่าจะโมโห แล้วเหตุใดเวลากินข้าวนางกลับออกมาก่อนคนอื่นทุกครั้ง?”
ความแค้นของหลิวเต้าเซียงไม่ได้มีเพียงเล็กน้อย
“ใช่แล้ว ซานกุ้ย ครอบครัวนี้มีตั้งสิบหกคน! แต่มีเพียงข้าที่ทำงานบ้าน วันสองวันยังพอว่า แต่หากระยะยาวกลับไปเป็เหมือนแต่ก่อน เกรงว่าคงทนไม่ไหว” จางกุ้ยฮัวเองก็ไม่พอใจ กระทั่งเริ่มออกเสียง
หลิวซานกุ้ยวางหมั่นโถวที่กำลังกัดลง ก้มหน้ามองดูโจ๊กที่เหลือในถ้วยอย่างเหม่อลอย ผ่านไปชั่วครู่จึงเอ่ย “พี่รองครั้งนี้คงจะพักที่บ้านยาวหน่อย ทว่า ถึงจะยาวเพียงใดก็คงไม่พ้น่เก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง น้องสี่อีกสองวันต้องกลับตำบล ถึงตอนนั้น ครอบครัวพี่รองก็คงกลับไปด้วย ส่วนเฉี่ยวเอ๋อร์กับเซิ่งเอ๋อร์ ทั้งสองคนคงถูกพี่สะใภ้ใหญ่เลี้ยงจนเคยตัว ไม่เคยทำงานเหล่านี้จริงๆ เ้าต้องคอยรับผิดชอบหน่อย”
หากว่าเป็หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์กับหลิวจื้อเซิ่ง จางกุ้ยฮัวยังพอรับได้ ต้องหุงข้าวหม้อใหญ่ทุกวัน ทุกครั้งที่เห็นหลิวเต้าเซียงก่อไฟอยู่ตรงนั้น ร้อนจนเหงื่อซึมหลัง แก้มสองข้างแดงระเรื่อ ส่วนหลิวเสี่ยวหลันกับเด็กสาวคนอื่นกลับเล่นหยอกล้อกันอยู่ตรงลานบ้าน จึงเกิดความสลดใจ เพียงแค่คิดก็รู้ว่าจางกุ้ยฮัวนั้นรักใคร่และเอ็นดูบุตรสาวของตนเพียงใด แต่ขณะเดียวกันก็ไม่สบายใจยิ่งนัก
เมื่อสองพี่น้องได้ยินว่าพวกแมลงร้ายเหล่านี้จะจากไปในอีกสองวันก็นึกดีใจอย่างมาก เมื่อคำนวณดู ถึงอย่างไรก็แค่สองวัน หลิวเต้าเซียงจึงขอเป็สาวงามที่สงบนิ่งไปก่อนชั่วคราว
ทว่า หลังจากอาหารเช้าวันรุ่งขึ้น จางกุ้ยฮัวกำลังเตรียมเก็บโต๊ะอาหาร หลิวซานกุ้ยก็จับนางไว้นิ่งและไม่ให้เคลื่อนไหว
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เราครอบครัวสิบกว่าชีวิตทั้งกินทั้งอาศัย แต่ล้วนอาศัยกุ้ยฮัวทำงานเพียงลำพัง นางยังต้องให้นมชุนเซียง หลายวันมานี้ก็เหน็ดเหนื่อย ชุนเซียงเองก็ไม่ได้กินอิ่ม หลายวันมานี้คางซูบตอบลงไปเยอะ คนที่เป็พ่อเช่นข้าก็เป็ห่วง”
หลิวเหรินกุ้ยยิ้มตาพริ้มทันที แล้วเอ่ย “โอ๊ย เ้าก็รีบบอกสิ เมื่อครู่ข้าจะได้ยกไข่ของข้าให้น้องสะใภ้”
“กินอะไรกัน นางกินไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร? นางสามารถไปสวนหรือว่าหาเงินได้อย่างนั้นหรือ?” หลิวฉีซื่อไม่เห็นด้วยทันที
หลิวเต้าเซียงหรี่ตาด้วยความโมโห คำพูดของหลิวเหรินกุ้ยเหมือนจะฟังดูดี แต่ว่า นี่เป็การยุยงให้หลิวฉีซื่อโมโห
นางพูดเสียงค่อยว่า “ทั้งที่รู้ว่าท่านย่าไม่ชอบแม่ข้า ไม่รู้ว่าตกลงลุงรองมีความหมายอย่างไรกันแน่ อีกอย่าง ทุกคนก็เป็คนในครอบครัวทั้งนั้น เหตุใดจึงกลายเป็แขกไปเสียอย่างนั้น?”
หลิวซานกุ้ยไม่รู้จะตอบอย่างไร แต่ก็รีบออกโรงด้วยทันที “ท่านแม่ พี่รอง เราคือคนในครอบครัวเดียวกันหมดถูกต้องหรือไม่?”
“แน่นอน ข้าเป็คนคลอดพี่รองของเ้ามาเอง จะไม่ใช่คนในครอบครัวได้อย่างไร?” หลิวฉีซื่อตอบโดยไม่แม้แต่จะคิด
หลิวซานกุ้ยจึงถามอีก “ในเมื่อเป็เช่นนี้ ทุกคนต่างก็เป็ลูกชาย ลูกสะใภ้ กลับมาบ้านเกิด ก็สมควรทำให้ท่านพ่อกับท่านแม่สบายหน่อย มีเื่อันใดก็ต้องให้ลูกชายและลูกสะใภ้ช่วยกันรับภาระใช่หรือไม่?”
“แน่นอน!” หลิวฉีซื่อไม่คาดคิดว่านับวันหลิวซานกุ้ยจะพูดจาได้รื่นหูนัก ดูสิว่านางสั่งสอนหลิวซานกุ้ยได้กตัญญูเพียงใด หลิวฉีซื่อมองหลิวต้าฟู่อย่างได้ใจครู่หนึ่ง
หลิวซานกุ้ยไม่ได้รู้สึกปานนั้น จึงเอ่ยอีก “เมื่อเป็เช่นนี้ ข้าจะไม่ขอเอ่ยถึงเฉี่ยวเอ๋อร์กับเซิ่งเอ๋อร์ เพราะทั้งสองต่างก็เป็เด็ก แต่อย่างพี่รองกับพี่สะใภ้รองเอง กลับมาบ้านก็สมควรช่วยเหลืองานที่บ้านบ้างเพื่อให้ท่านพ่อท่านแม่สบายหน่อยไม่ใช่หรือ?”
“น้องสาม เ้าอย่าเข้าใจพี่รองกับพี่สะใภ้รองผิด ไหล่ของข้าแบกหามของหนักไม่ได้ งานในสวนจึงไม่อาจยื่นมือเข้าช่วยได้ ส่วนพี่สะใภ้รองเ้าเองก็ร่างกายอ่อนแอในหลายวันมานี้” หลิวเหรินกุ้ยรีบหาข้ออ้างพูดออกมา
หลิวซุนซื่อไม่ได้สนใจเื่เหล่านี้ เอาแต่เลือกตักเนื้อใส่ชามตนเอง
“กุ้ยฮัว เ้าหูหนวกหรือตาบอดกันแน่ ไม่เห็นหรือว่าลูกสามหิวจนร้องไห้งอแงแล้ว? ลูกสามไม่มีอาหารเข้าปาก เ้ายังมากังวลอะไรตรงนี้ ยังไม่รีบไสหัวกลับไปให้นมลูกอีก”
ไม่มีใครคาดคิดว่าจู่ๆ หลิวซานกุ้ยจะโมโหขึ้นมา จางกุ้ยฮัวทำตัวเชื่อฟังเฉกเช่นลูกสะใภ้ เมื่อเห็นหลิวซานกุ้ยโมโห ก็รีบแอบหลบกลับเข้าห้องปีกตะวันตก
เมื่อหลิวเต้าเซียงเห็นเช่นนั้น ก็โยนตะเกียบแล้วดึงหลิวชิวเซียงวิ่งออกไปข้างนอก แล้วยังบอกว่าทั้งสองคนจะขึ้นเขาไปเกี่ยวหญ้าอาหารหมู มิเช่นนั้น หมูที่ท่านย่าเลี้ยงคงต้องราคาตกแน่
หลิวฉีซื่อมองไปที่คนอื่นๆ บนโต๊ะ หลิวซุนซื่อเห็นสายตาของนางมาหยุดที่ตัวเองก็โยนตะเกียบ หันศีรษะแล้วเดินกลับไปห้องปีกตะวันออก
ใบหน้าของหลิวฉีซื่อเขียวปั๊ด หากไม่ใช่เพราะหลิวต้าฟู่ดึงตัวไว้ นางต้องอาละวาดตรงนั้นเป็แน่
หลิวต้าฟู่สูบยาสูบโดยไม่ส่งเสียง ส่วนหลิวเหรินกุ้ยที่เป็เหรัญญิกจึงหน้าหนากว่าคนทั่วไป เมื่อเห็นท่านพ่อท่านแม่ไม่พูดอะไร จึงเพียงกล่าวว่าจะกลับไปโน้มน้าวซุนซื่อในห้องให้นางมาล้างจาน แต่จากนั้นก็ไม่เห็นเงาคนอีก
หลิวซานกุ้ยยังคงห่วงเื่สวน หลังจากกินข้าวเรียบร้อยจึงไปหาจอบในบ้าน
ได้ยินเพียงเสียงจากมุมบ้านที่กำลังลับจอบ
หลิวฉีซื่อเหลือบมองผู้คนบนโต๊ะ เหลือเพียงแต่เด็กๆ
หลิวจื้อเซิ่งมองออกไปนอกประตูอย่างครุ่นคิด เขากับหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์สบตากันครู่หนึ่ง อาสามเปลี่ยนเป็คนที่มีความคิดเห็นเป็ของตนเองั้แ่เมื่อไรกัน
หลิวต้าฟู่มองหลิวฉีซื่อ ก่อนจะหยิบปล้องยาสูบเตรียมตัวออกจากบ้าน
“ตาเฒ่า เ้าจะไปไหน?” หลิวฉีซื่อะโ
หลิวต้าฟู่ตอบโดยไม่หันศีรษะไปมอง “ข้าจะไปเดินดูในหมู่บ้านหน่อย”
ไม่ทันรอให้หลิวฉีซื่อได้ถามต่อ ก็เร่งฝีเท้าเดินออกไปทางประตูบ้าน
หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์กังวลเล็กน้อย หากรู้เช่นนี้แต่แรกก็ควรปลีกตัวออกไปก่อนเนิ่นๆ จะได้ไม่ต้องตกที่นั่งลำบาก ล้างถ้วยชามหรือ?
สิบนิ้วของนางไม่เคยััน้ำมาก่อน แล้วจะล้างถ้วยชามได้อย่างไร?
“เฉี่ยวเอ๋อร์ เ้าอิ่มหรือยัง? กลับไปช่วยพี่ซักเสื้อหน่อย” หลิวจื้อเซิ่งช่วยชีวิตนางไว้
อันที่จริงเขาไม่ได้มีเสื้ออะไร เพราะเสื้อทั้งหมดจางกุ้ยฮัวรับผิดชอบซักคนเดียว เขาพูดเช่นนี้เพียงเพื่ออยากช่วยให้น้องสาวไม่ต้องล้างถ้วย
“ท่านพี่ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” หลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ออกจากโต๊ะอาหารไปก่อน
หลิวฉีซื่อไม่สามารถขอให้หลานชายอย่างหลิวจื้อเซิ่งล้างถ้วยได้ จากนั้นจึงเลื่อนสายตามองไปที่หลิวเสี่ยวหลันกับหลิวจูเอ๋อร์
นางยังไม่ทันได้เอ่ย ทันใดนั้นหลิวจูเอ๋อร์ก็ลุกขึ้น จากนั้นรีบกลับไปห้องปีกตะวันออก ไม่เปิดโอกาสให้หลิวฉีซื่อได้พูดแม้แต่น้อย
“น้องรอง เราทำเช่นนี้จะดีหรือ?” หลิวชิวเซียงยังไม่เคยคิดจะงัดข้อกับหลิวฉีซื่อซึ่งๆ หน้า อย่างมากก็ทำได้เพียงหลบซ่อน
หลิวเต้าเซียงถือหญ้าหางสุนัขที่อยู่ข้างถนนสะบัดเล่น หัวเราะแล้วเอ่ย “ดีอยู่แล้ว ถึงอย่างไรเราก็มีงานทำ ถ้าจะพูดตรงๆ คือ ท่านแม่เรามีงานทำมากมาย ต้องคอยปรนนิบัติคนเหล่านี้มาตั้งหลายวัน เหตุใดจึงพักบ้างไม่ได้ ใช่แล้ว ท่านพี่ ที่บ้านยังมีหมั่นโถวเหลือหรือไม่?”
“จริงด้วย!” หลิวชิวเซียงไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงถามเช่นนี้ เพราะว่าหลิวซานกุ้ยไปเรียนที่ตำบลทุกวัน เพียงแต่่เทศกาลไหว้พระจันทร์ ด้วยความที่คนในบ้านอยู่กันหลายคน เขาจึงไม่ได้ไปเล่าเรียน แต่ก็ยังพอหาเวลาว่างไปซื้อหมั่นโถวในตำบลได้
“วันนี้เรากินหมั่นโถวเถอะ กินกับน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว” หลิวเต้าเซียงเกลียดชังคนบ้านนี้ ในเมื่อไม่มีใครยอมทำงาน ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เป็เช่นนี้ไป ท้ายที่สุดแล้วต้องมีคนที่ทนหิวไม่ไหวแน่
“เป็ความคิดที่ดี ข้าไม่คิดว่าเราควรจะขยันหมั่นเพียรขนาดนี้” หลิวชิวเซียงเองก็รำคาญใจที่จะปรนนิบัติคนบ้านนี้ หากไม่ใช่เพราะต้องกินข้าวและไม่อยากให้ตนเองหิวโหย นางก็คงปล่อยทิ้งไว้
“เอาล่ะ กลับไปคุยกับท่านแม่กัน ถึงอย่างไรท่านแม่เองก็ทำพริกดองและแครอทดองไว้ไม่น้อย คงพอไว้รับมือได้”
หลิวชิวเซียงยิ้มและพูดว่า “ดีเลย ข้าได้ยินว่าพี่หูจื่อบอกว่าวันรุ่งขึ้นเขาจะไปเที่ยวเล่นในตำบล เราค่อยขอให้เขาช่วยซื้อซาลาเปาเนื้อกลับมา ลำพังกินแต่หมั่นโถวไม่กินน้ำมันคงไม่ได้”
นางกล้าพูดเช่นนี้เพราะว่างานเย็บปักของนางเริ่มขายได้เงินบ้างแล้ว อีกทั้งยังมีงานที่ช่วยหลิวเต้าเซียงเลี้ยงไก่ ทุกวันนี้หลิวเต้าซียงมักจะแบ่งให้นางยี่สิบถึงสามสิบอีแปะ แม้จะไม่มากนัก แต่ก็เพียงพอให้เด็กสาวอย่างนางใช้จ่ายแล้ว
-----
