“หม่อมฉันไม่เก่งทักษะใดๆ เข้าใจสิ่งต่างๆ เพียงเล็กน้อย ไม่เชี่ยวชาญอันใดเลยเพคะ” สีหน้าของเหยียนอู๋อวี้มิได้แสดงท่าทีโกรธเคืองใด นางเพียงแย้มยิ้มตอบกลับไปว่า “เช่นนั้นไม่รู้ว่าซินเจาอี๋มีความชำนาญด้านใดเป็พิเศษหรือ? เหตุใดยังสู้ผู้ที่ไร้ความสามารถอย่างหม่อมฉันมิได้?”
“เ้า!” ซินเจาอี๋ชี้หน้าของนาง ด้วยความโกรธอย่างถึงที่สุดจนไม่รู้จะตอบกลับไปอย่างไร
เหยียนอู๋อวี้ในใจดูถูกเหยียดหยาม ทว่าความหยิ่งทะนงตนบนใบหน้าของนางกลับไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย นางก้าวไปข้างหน้าและกำลังจะนั่งลง ทันใดนั้นกลับมีแรงจากด้านหลังผลักนางตรงไปด้านหน้าของเซียวหรูเสวี่ย
ทั้งคู่ไม่ทันตั้งตัวจนแทบล้มลงกับพื้นไปพร้อมกัน!
“ดูท่าเหยียนเป่าหลินจะรู้สึกว่าการเต้นรำนั้นงดงามและอยากเต้นรำด้วยกัน!” ความโกรธของซินเจาอี๋ค่อยๆ หายไป นางปิดปากหัวเราะเบาๆ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
ทั้งๆ ที่มีคนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ทว่ากลับไม่มีผู้ใดยอมเป็ปฏิปักษ์กับซินเจาอี๋เพื่อปกป้องเป่าหลิน จากนั้นไม่นาน ภายในศาลาพลันเงียบไปครู่หนึ่ง
“เหยียนเป่าหลิน” เซียวหรูเสวี่ยคล้ายจะเอ่ยบางอย่างออกมาโดยไม่รู้ตัว ทว่ากลับถูกเหยียนอู๋อวี้ขัดขวางไว้
“ซินเจาอี๋ แม้ว่าหม่อมฉันจะเป็เพียงเป่าหลินตัวเล็กๆ ทว่าก็เป็นายหญิงตำหนักหลังผู้หนึ่ง การเต้นรำต่อหน้าผู้ชมจำนวนมากเช่นนี้ เกรงว่าจะเป็การลดสถานะกระมัง?” เหยียนอู๋อวี้ยิ้มอย่างเขินอาย ทว่าในแววตานั้นไร้ซึ่งรอยยิ้มโดยสิ้นเชิง
แววตาของนางมองผ่านไปด้านหลังซินเจาอี๋โดยมิได้ตั้งใจ พลางแย้มยิ้มอีกคราแม้นางจะมีข้อสงสัยอยู่ในใจ ทว่าสีหน้ายังคงเรียบเฉย และกล่าวต่อว่า “หรือว่าซินเจาอี๋จะชอบทำเื่ที่เสื่อมเสียเกียรติเช่นนี้?”
“เป่าหลินขั้นหกกล้าปากดีกับเจาอี๋เช่นนี้ได้อย่างไร เห็นทีคงต้องมีการทบทวนกฎเกณฑ์ของวังหลวงกันแล้วกระมัง” สีหน้าของซินเจาอี๋พลันเปลี่ยนเป็สีแดงด้วยความโกรธอย่างถึงที่สุด ก่อนจะมองไปทางนางกำนัลที่อยู่ข้างกายนาง
ซินเจาอี๋ยังไม่ทันเอ่ยจบ นางกำนัลที่อยู่ด้านข้างพลันก้าวไปข้างหน้า ดึงเหยียนอู๋อวี้มาเตรียมจะตบปาก ป้าโฉ่วเห็นเช่นนั้นจึงรีบออกมาปกป้องทันที เหยียนอู๋อวี้ยกมือตบนางกำนัลผู้นั้นไปฉาดหนึ่ง ก่อนหันไปเอ่ยกับซินเจาอี๋ว่า “แม้ว่าหม่อมฉันจะเป็เป่าหลิน ทว่าหม่อมฉันก็ยังนับเป็สนมของฝ่าาด้วย ไทเฮาและเต๋อเฟยได้สั่งสอนอบรมหม่อมฉันมาแล้ว ไยจะต้องให้เจาอี๋อย่างท่านมาสั่งสอนหม่อมฉันอีก?”
“ไปให้พ้น พวกบ่าวไร้ประโยชน์!” ซินเจาอี๋โกรธมากเสียจนผลักนางกำนัลของตนเองออกไปเพื่อที่จะลงมือเอง
นิ้วเรียวยาวของนางกำลังจะตบไปที่ใบหน้าของเหยียนอู๋อวี้ ในจังหวะที่สำคัญเช่นนี้ จู่ๆ กลับมีมือใหญ่เข้ามาขวางการกระทำนั้นไว้
ซินเจาอี๋หน้ามืดตามัวด้วยความโกรธมองผู้มาขัดขวางด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด
ทว่าเมื่อมองอย่างชัดเจนว่าเป็ผู้ใดแล้ว นางถึงกับทรุดตัวลงกับพื้นทันที พร้อมเอ่ยเสียงเบาว่า “ฝ่าา......”
ท่าทางที่บอบบางเช่นนี้ ยามนี้ไม่หลงเหลือร่องรอยความเกรี้ยวกราดเมื่อครู่เลยสักนิด
เหยียนอู๋อวี้แสร้งทำเป็ประหลาดใจและคุกเข่าลงกับพื้น ดวงตาเปลี่ยนเป็สีแดงระเรื่อ “หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าาเพคะ”
“บนพื้นหนาวเย็น สนมที่รักลุกขึ้นก่อนเถิด” ซ่งอี้เฉินยกยิ้มมุมปาก ดวงตาอบอุ่นเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาที่ใกล้จะรินไหล ทว่าเมื่อเขาหันกลับไปมองซินเจาอี๋ที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ดวงตาคู่นั้นกลับเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย
หลังจากเสร็จราชกิจที่ท้องพระโรงแล้ว เดิมทีเขาคิดจะไปที่ตำหนักเฟิ่งชัย หากแต่ได้ยินมาว่านางมาที่นี่เพื่อพบซิ่วหนี่ว์ของตระกูลเซียว เขาจึงตัดสินใจมาดูสักหน่อย ไม่คาดคิดว่าจะพบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ทำให้คิดถึงคืนวันนั้นที่มีชายชุดดำปรากฏตัวขึ้น ทั้งๆ ที่นางสามารถปกป้องตัวเองได้ ซ่งอี้เฉินเห็นเช่นนี้จึงเริ่มใจอ่อนลงเล็กน้อย แต่กลับไม่พอใจต่อพฤติกรรมของซินเจาอี๋มากขึ้นเรื่อยๆ
“เจิ้นจำได้ว่ามอบอำนาจการดูแลตำหนักหลังให้เต๋อเฟยแล้ว เื่ดูแลตำหนักหลังเ้าเข้ามาจัดการได้อย่างไร?” ซ่งอี้เฉินเอ่ยพลางกอดเหยียนอู๋อวี้ไว้ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยนด้วยท่าทางที่แสดงออกถึงความรักใคร่และความเสน่หา ท่ามกลางสายตาของทุกคนโดยรอบที่เต็มไปด้วยความอิจฉา
ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยสิ่งใด
“เป็เหยียนเป่าหลินที่กระทำความผิดเพคะ หม่อมฉันเพียงลงโทษสถานเบาพร้อมกับตักเตือนนาง หม่อมฉันมิกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการดูแลของตำหนักหลังเพคะ” ซินเจาอี๋รู้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติ ทว่านางยังคงรีบกล่าวปกป้องตนเอง
“ยังกล้าบอกว่ามิได้ตั้งใจทำเกินขอบเขต หากกระทำผิดต่อเ้าก็ควรมอบให้เป็หน้าที่ของเต๋อเฟย ให้เต๋อเฟยเป็ผู้ตัดสินเอง” หลังจากซ่งอี้เฉินเอ่ยจบจึงมองไปทางเว่ยหรูไห่
เว่ยหรูไห่ที่ยืนอยู่หน้าซินเจาอี๋ลงมือโดยไม่ลังเล
ทันใดนั้นในศาลาพลันมีเพียงเสียงตบใบหน้าดังขึ้น เคล้าเสียงขอความเมตตาของซินเจาอี๋
“ฝ่าา หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ!”
“ฝ่าา โปรดไว้ชีวิตหม่อมฉันด้วยเพคะ!”
“ฝ่าา----”
ซินเจาอี๋อ้อนวอน ทว่าเว่ยหรูไห่ยังคงตบใบหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไร้ความปรานี
หลังจากนั้นไม่นาน ใบหน้าของซินเจาอี๋พลันบวมเป่ง
ซ่งอี้เฉินทำราวกับมองไม่เห็นซินเจาอี๋ ทั้งยังกอดเหยียนอู๋อวี้ไว้ในอ้อมอกพลางหัวเราะเบาๆ “มองดูสนมที่รักของข้าวันนี้แล้ว ดูคล้ายลูกแมวที่ยื่นกรงเล็บน้อยๆ ออกมาเลยเชียว”
คงจะดีหากคำพูดบอกรักเหล่านี้เอ่ยอยู่ในห้องบรรทมส่วนตัว ทว่าที่นี่เป็ที่สาธารณะ......นางััได้ถึงแววตาที่อยากจะสังหารนาง!
“หม่อมฉันเป็คน จะเหมือนลูกแมวได้อย่างไรเพคะ” แม้ภายในใจนางรู้สึกไม่พึงพอใจ ทว่าก็ไม่สามารถแสดงมันออกมาภายนอกได้ นางพยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดออกจากอ้อมแขนของเขา
เมื่อเห็นแขนที่ว่างเปล่าของตนเอง ซ่งอี้เฉินมิได้เอ่ยอันใด เพียงชายตามองเซียวหรูเสวี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างเท่านั้น
เมื่อเซียวหรูเสวี่ยรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาของเขา นางที่เดิมยืนอยู่บริเวณมุมห้องพลันก้าวไปข้างหน้าด้วยแววตาที่เป็ประกาย แม้ว่าจะยังไม่เอ่ยอันใด ทว่านางกลับแสดงท่าทีเขินอายอยู่ก่อนแล้ว
ช่างยอดเยี่ยมนัก! เหยียนอู๋อวี้แอบคิดในใจ แม้ในฐานะที่นางเองเป็สตรีเห็นซิ่วหนี่ว์ผู้นี้แล้วยังอดรู้สึกตื่นเต้นมิได้
สีหน้าของซ่งอี้เฉินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขาวางมือบนเอวของเหยียนอู๋อวี้ราวกับเขาไม่รู้ว่ามีสตรีเลอโฉมกำลังหว่านเสน่ห์ให้ตนอยู่
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีท่าทีเรียบเฉย ทำให้เซียวหรูเสวี่ยรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย! ทว่าเมื่อนึกถึงคำสั่งสอนของบิดามารดาก่อนจะออกจากบ้าน และนึกถึงพี่สาวของนางที่เสียชีวิตในวังหลวงอย่างไม่ทราบสาเหตุแล้ว นางจึงจำเป็ต้องกัดฟันทน
ซ่งอี้เฉินไม่สนใจสีหน้าท่าทางของผู้อื่นพลางเอ่ยกระซิบกับเว่ยหรูไห่ว่า “ซินเจาอี๋ไร้ศีลธรรม ให้ลดตำแหน่งลงเป็ซินกุ้ยเหริน[1] นับแต่นี้ต่อไปให้ย้ายออกจากตำหนักผูซี และให้ไปอาศัยอยู่ในสถานที่ที่เจิ้นจะไม่ต้องเห็นหน้าอีก”
เอ่ยจบ เขาพลันเดินจากไปพร้อมกับเหยียนอู๋อวี้อย่างมีความสุข ขณะที่เดินผ่านไปครึ่งทางกลับมีขันทีขวางไว้ ขันทีผู้นั้นรายงานว่าไทเฮาเชิญเข้าเฝ้า หลังจากเขาสั่งให้เหยียนอู๋อวี้กลับไปอยู่ในตำหนักแล้ว จึงตามขันทีผู้นั้นไปทันที
เมื่อมองเขาเดินลับสายตาไปแล้ว เหยียนอู๋อวี้พลันเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าพลางเอ่ยถามว่า “เ้าคิดว่าไทเฮาเรียกเขาไปคิดจะทำอันใด?” เหยียนอู๋อวี้รู้สึกสงสัยเล็กน้อยที่ไทเฮาเรียกฮ่องเต้เข้าพบเพียงลำพังใน่เวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้
ป้าโฉ่วคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ลี่เจาอี๋เสียชีวิต เจิ้งเจี๋ยอวี๋ก็ทำเื่เสื่อมเสียเช่นนั้นอีก ไทเฮาทรงเรียกฝ่าาเข้าเฝ้านั้นเกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับตำหนักหลัง เพียงแต่ไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์อันใดกันแน่” ั้แ่เข้ามาในวังหลวง มีเื่ราวประหลาดเกิดขึ้นมาโดยตลอด น่าแปลกที่เื่อื้อฉาวของเจิ้งเจี๋ยอวี๋ยังไม่หายไป และไม่รู้ว่าแม่ลูกคู่นี้คิดจะทำอันใดอีก
นางหวนกลับไปคิดถึงเซียวหรูเสวี่ย ตระกูลเซียวพยายามส่งผงน้ำผึ้งกล่องนั้นมาให้ ทว่าคงมิได้ส่งให้นางเพียงผู้เดียวเป็แน่ และซินกุ้ยเหรินผู้นั้นจะต้องเป็อีกช่องทางหนึ่งของพวกเขาอย่างแน่นอน
เมื่อนึกถึงลักษณะท่าทางของซ่งอี้เฉินในวันนี้แล้ว เหยียนอู๋อวี้พลันรู้สึกสับสนเล็กน้อย หรือว่าเขาวางแผนที่จะใช้นางเป็โล่กำบังเพียงอันเดียวของเขาจริงๆ
ใช่แล้ว เซียวหรูเสวี่ยยังเด็กอยู่สักหน่อย และความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเซียวนั้นซับซ้อนเกินไป จึงไม่ง่ายที่จะควบคุมเหมือนกับบุตรสาวของเ้าเมือง
เชิงอรรถ
[1] กุ้ยเหริน เป็ตำแหน่งลำดับขั้นของสนมในวังหลวง หมายถึง ผู้ทรงเกียรติ สามารถแต่งตั้งได้นับไม่ถ้วน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้