ฉินฮุ่ยหนิงเห็นคนกำลังเดินมา แต่เนื่องจากฉากหลังของอีกฝ่ายเป็ดวงอาทิตย์ซึ่งกำลังลาลับขอบฟ้า รูม่านตาของนางจึงเริ่มหดเล็กลง
ยามเมื่อร่างสูงสง่าสวยงามของฉินหยีหนิงก้าวเดินมาข้างหน้า เสื้อคลุมสีน้ำผึ้งของนางก็คลี่พัดสะบัดออกเล็กน้อย เผยให้เห็นชุดห่านสีเหลืองพลิ้วไหว จากท่าทางการเดินคล้ายว่านางตัวเบามาก แผ่นหลังเหยียดตรง และในความอ่อนแอของเด็กสาวกลับมีกลิ่นอายแห่งความอ่อนโยนซ่อนอยู่ เมื่อนางมองเห็นฉินฮุ่ยหนิงจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย รูปร่างลักษณะหน้าตายิ่งละม้ายท่านอัครมหาเสนาบดีตอนหนุ่มๆ อย่างมาก เป็ผลให้ฉินฮุ่ยหนิงรู้สึกว่าตนเองนั้นได้แพ้นางไปแล้วหนึ่งระดับ
ฉินฮุ่ยหนิงหายใจเข้าลึกๆ และบอกตัวเอง ข้าคือทายาทหญิงคนโต! ข้ามีความเชี่ยวชาญในการดีดพิณ เล่นหมากรุก เขียนตัวอักษร และวาดภาพ! คนผู้นั้นเป็เพียงคนป่าเถื่อน! ในบ้านหลังใหญ่แห่งนี้ข้าคุ้นเคยกับมันมากกว่านาง และต้องเป็ฉินหยีหนิงสิที่ควรจะกังวล!
หลังจากพร่ำย้ำเตือนตัวเองแล้ว ฉินฮุ่ยหนิงก็ยกยิ้มและเดินเข้าไปหาฉินหยีหนิง นางจับมือฉินหยีหนิงก่อนคำนับ “น้องเสี่ยวซี เ้ามาถึงแล้ว ข้ากำลังคิดว่าจะบอกให้คนไปที่เรือนเสวี่ยลี่ เพื่อเชิญเ้ามาที่นี่ ในบ้านนี้มีกฎต้องมาหาท่านแม่ในตอนเย็นของทุกๆ วัน”
ยังคงเรียกชื่อนี้ ไม่ยอมเปลี่ยนสักที นางคงยังไม่ยอมจบอีกใช่ไหม!
ฉินหยีหนิงยิ้มพลางค้อมศีรษะ “คุณหนูฮุ่ยหนิง ขอบคุณในความหวังดี เพียงแต่ว่าแม่นมจินบอกข้าก่อนแล้ว ว่ามีกฎต้องมาคำนับท่านพ่อท่านแม่ นี่ทำให้ข้าไม่ต้องเสียหน้าต่อหน้าฮูหยิน แต่ว่าความหวังดีของเ้า ข้าจะรับไว้”
ทันทีที่ได้ยิน ‘คุณหนูฮุ่ยหนิง’ สี่คำนี้ทำให้รอยยิ้มของฉินฮุ่ยหนิงแข็งเกร็งขึ้นมาทันควัน ยิ่งได้ยินว่าแม่นมจินเป็คนบอกนาง ยิ่งสงสัยถึงทัศนคติของฮูหยินที่มีต่อฉินหยีหนิงเสียแล้ว นางหันสายตามองไปยังช่ายซื่อซึ่งกำลังยืนอยู่ข้างๆ
ช่ายซื่อกะพริบตาแล้วหลุบตาหนีทันที ราวกับนางรับรู้ในความหมายของฉินฮุ่ยหนิง
ฉินฮุ่ยหนิงจับมือของฉินหยีหนิงไว้ พร้อมก้าวเท้าเข้าเรือนซิ่งหนิง ขณะที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เ้าเพิ่งกลับมา ทุกอย่างในบ้านอาจยังไม่เข้าใจอะไรมาก หากมีสิ่งใดที่เ้า้า เ้าสามารถถามข้าได้ ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ใช่คนเก่งอะไร แต่กฎในบ้านนี้หรือเหตุผลง่ายๆ นั้นข้าพอจะรู้อยู่บ้าง” ประโยคนี้แฝงด้วยสิ่งที่นางอยากประชดฉินหยีหนิง ที่ว่ากฎง่ายๆ แค่นี้ก็ไม่เข้าใจ
“ขอบคุณคุณหนูฮุ่ยหนิง เื่เหล่านี้ ท่านพ่อจะจัดหาซีสีและแม่นมจากวังหลวงมาสอนข้า” ฉินหยีหนิงบอกช้าๆ พูดออกมาอย่างเป็มิตร “ข้าโตมาในป่าในชนบท แน่นอนว่าเทียบไม่ได้กับคุณหนูฮุ่ยหนิงที่โชคดี ได้โตมาและใช้ชีวิตมีความสุขอยู่ในจวน” ประโยคนี้กำลังประชดนกพิราบแย่งรังนกกางเขนอยู่ แล้วยังมีหน้ามาทำตัวเหมือนน่าภูมิใจอีก
ทั้งสองเดินมาถึงที่ระเบียง มองหน้าเข้าหากันด้วยรอยยิ้มบางๆ
ในตอนแรกที่ฉินฮุ่ยหนิงจ้องมองสบตากับฉินหยีหนิง ไม่รู้ว่าเป็เพราะฉินหยีหนิงเหมือนท่านพ่อของนางหรืออย่างไร แววตาของอีกฝ่ายเหมือนเห็นและเข้าใจทุกสิ่งได้อย่างแจ่มแจ้ง อีกทั้งยังมีประกายไหวพริบเ็าดั่งสัตว์ร้าย ทำให้ฉินฮุ่ยหนิงต้องหลบตาอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนได้กระทำกลับเริ่มทำให้นางรู้สึกต้องน้อยใจอีกครั้ง
คาดไม่ถึงเลยว่า ฉินหยีหนิงนั้นไม่ได้อ่อนแออย่างที่นางคิดเลย
“คุณหนูสี่ คุณหนูฮุ่ยหนิง มาแล้วเ้าค่ะ” เสียงของฉ่ายจู๋วบ่าววัยกลางคนได้ทำลายบรรยากาศชะงักงันระหว่างเด็กสาวทั้งสองลง นางย่อเข่าคำนับ จากนั้นเลิกผ้าม่านหนาไปไว้อีกด้านหนึ่ง
ทันใดนั้น อารมณ์ของฉินฮุ่ยหนิงได้ตกลงสู่ก้นบึ้งลึกที่สุด
คำเรียกขานว่า ‘คุณหนูสี่’ นี้ไม่ได้มีไว้สำหรับนางอีกต่อไปแล้ว คำพูดของท่านพ่อเพียงแค่ประโยคเดียว ทำให้นางถูกลดสถานะลงจากทายาทคนโตของบ้านกลายเป็ลูกเลี้ยงไปในทันใด
ฉินหยีหนิงเห็นทุกๆ สีหน้าของฉินฮุ่ยหนิง นางขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย
แสงริบหรี่เปล่งประกายสลัวๆ บนพื้นใต้ฝ่าเท้าของทั้งสอง อากาศร้อนพวยพุ่งเข้าปะทะประสานกับกลิ่นอ่อนๆ ของผลไม้และถั่วแห้งซึ่งโชยเข้ามาแตะจมูก ให้ความรู้สึกราวกับว่ากำลังอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ
ทั้งสองต่างส่งมอบเสื้อคลุมให้กับบ่าว อึดใจต่อมาฉินหยีหนิงก็ต้องเบิกตากว้างอย่างอดไม่ได้ นางกะพริบตาแล้วกะพริบตาอีก กวาดสายตามองสำรวจรอบๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ตอนแรกเด็กสาวคิดว่าเรือนที่ตนอาศัยอยู่นั้นดีมากแล้ว แต่เมื่อมาถึงเรือนซิ่งหนิง นางก็รับรู้ได้ถึงความหรูหราอลังการอย่างแท้จริง
อย่างน้อยที่นั่นไม่ได้มีความอบอุ่นเช่นเรือนหลังนี้
ทั้งสองเดินพ้นฉากกั้นผ่านไปยังห้องโถง ใบหน้าฉินฮุ่ยหนิงกลับมาประดับรอยยิ้มออดอ้อน “ท่านแม่ ทานอาหารเย็นหรือยังเ้าคะ?” พร้อมย่อเข่าคำนับ จากนั้นรีบเดินเข้าไปหา เข้าไปนั่งข้างๆ ซุนซื่อ ก่อนชายตามองมายังฉินหยีหนิงด้วยความรู้สึกว่าตนนั้นเหนือกว่า
ฉินหยีหนิงย่อเข่าคำนับตามมารยาท พลางเอ่ยเรียก “ฮูหยิน” นางมีความรู้สึกอิจฉาฉินฮุ่ยหนิงที่ดูใกล้ชิดสนิทสนมกับซุนซื่อ
หญิงเ้าของเรือนตบหลังฉินฮุ่ยหนิงเบาๆ นางมองมายังฉินหยีหนิงด้วยสายตาซับซ้อน ตามด้วยถ้อยคำซึ่งกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเ็า “เ้าก็นั่งลงเถิด ทานอาหารเย็นหรือยัง?”
ฉ่ายจู๋วรีบเอาที่นั่งมาให้ในทันที นางวางไว้ตรงข้ามซุนซื่อ ซึ่งห่างไปประมาณห้าก้าว
ฉินหยีหนิงนั่งลง แล้วมองไปยังตำแหน่งที่นั่งของฉินฮุ่ยหนิง มองมือของคนทั้งคู่เบื้องหน้าที่กำลังจับกระชับแน่น สายตาของนางค่อยๆ เย็นเยือกขึ้นไปอีก นางตอบออกไปอย่างมีมารยาทว่า “ตอบฮูหยิน ข้าทานมาเรียบร้อยแล้วเ้าค่ะ”
ซุนซื่อเปล่งเสียง “อ้อ” มาคำหนึ่ง และก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อไปดี
บรรยากาศจึงเต็มไปด้วยความอึดอัดกระอักกระอ่วนอยู่หลายส่วน
ฉินฮุ่ยหนิงเหมือนจะเข้าใจสถานการณ์อันน่าลำบากใจของซุนซื่อ จึงยิ้มและเอ่ยออกมา “น้องเสี่ยวซีอยู่เรือนเสวี่ยลี่เป็อย่างไรบ้าง? ยังมีอะไรขาดตกบกพร่องบ้าง?”
ผู้เป็มารดาถึงได้รีบออกปากกล่าวสำทับ “ใช่ หากมีอะไรที่ยังขาดตกบกพร่องอยู่ก็บอกบ่าวเสีย ให้พวกเขาไปเตรียมมาให้” ซุนซื่อเห็นด้วยกับฉินฮุ่ยหนิง นิ้วของนางแตะที่ปลายจมูกของฉินฮุ่ยหนิง
ความสนิทสนมของทั้งสองคน ยิ่งทำให้ฉินหยีหนิงรู้สึกว่าตนเองนั้นคือคนนอก
ความเป็จริงแล้ว นางกลายเป็คนนอกั้แ่ซุนซื่อสงสัยว่านางเป็ลูกของหญิงอื่นแล้วสินะ?
นางเก็บความคาดหวัง รวมถึงความผิดหวังซ่อนเอาไว้ในใจ จากนั้นฉีกยิ้มกว้าง จนแก้มทั้งสองปรากฏลักยิ้มเล็กๆ “เ้าค่ะ ขอบพระคุณฮูหยินที่เป็ห่วงเ้าค่ะ”
ซุนซื่อมองฉินหยีหนิง พร้อมกับสายตาของนางเริ่มมีความอ่อนโยนให้เห็น
เด็กคนหนึ่งที่หน้าคล้ายกับฉินหวยหยวน นิสัยก็ไม่ได้เลวร้ายจนผู้คนต้องเขม่นหน้า หรือออกอาการรังเกียจเดียดฉันท์ ถึงกระนั้นในใจของซุนซื่อกลับยังมีความสงสัยอยู่บ้าง นางไม่แน่ใจว่าเด็กคนนี้คือเด็กที่เกิดจากหญิงข้างนอกหรือไม่
ครั้นฉินฮุ่ยหนิงเห็นสายตาที่ซุนซื่อใช้มองฉินหยีหนิงมีความปรานีเพิ่มขึ้น นั่นย่อมส่งผลให้ใจของนางกังวลอยู่ไม่เป็สุข นางจึงตั้งใจใช้สำเนียงออดอ้อนเอ่ยถามซุนซื่ออีกว่า “ท่านแม่ ท่านพ่ออยู่ที่ไหน? วันนี้กลับมาหรือเปล่าเ้าคะ?”
คำถามที่ได้ยิน กลับทำให้สีหน้าของซุนซื่อเริ่มคล้ำขึ้นมาครึ่งหนึ่ง
ฉินหวยหยวนมีอนุภรรยาอยู่สี่บ้าน วันนี้เป็วันที่อยู่กับแม่นางหยี เมื่อสักครู่ฉินหวยหยวนให้คนบอกว่าวันนี้เขาจะไม่กลับมาที่บ้าน
นึกถึงเื่ที่นางกับฉินหวยหยวนทะเลาะกันเพราะเ้าเด็กตรงหน้าแล้ว ซ้ำร้ายตอนกลางคืนอยากจะรักษาความสัมพันธ์สักหน่อย ก็ไม่ได้เจอกันอีก อารมณ์โกรธเคืองของซุนซื่อจึงพลุ่งพล่านปะทุ นางจ้องมองไปที่ฉินหยีหนิง สายตาแปรเปลี่ยนแสดงออกถึงความเกลียดชังอย่างไม่ปิดบัง ยิ่งคิดยิ่งคล้ายทนไม่ไหวนางจึงกล่าวว่า
“นายท่านรักเ้ามากนะ เขาได้ไปเชิญครูจากวังหลวงเพื่อมาสอนกิริยามารยาทและกฎระเบียบให้แก่เ้าเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้เช้า ยังจะจ่ายเงินอีกมากเพื่อเชิญซีสีมาสอน นี่คือสิ่งที่ฮุ่ยเจี่ยร์เองก็ยังไม่เคยได้รับสิ่งดีๆ เช่นนี้เลย” ทว่ายิ่งพูดในใจของซุนซื่อกลับยิ่งรู้สึกทรมาน สิ่งที่ยังไม่ได้ชัดเจนมากก็โดนเขาพูดเอง จนตนเชื่อไปแล้วถึงแปดส่วน นางรู้สึกว่าฉินหวยหยวนดีกับฉินหยีหนิงมากขนาดนี้ เป็เพราะดีกับนางข้างนอกคนนั้น ทำให้น้ำเสียงของนางเริ่มแหลมดังขึ้น
“ข้าไม่สนใจว่าแม่ของเ้าอยู่ที่ใด แต่เ้ามาอยู่ในจวนนี้แล้ว ต้องรักษากฎระเบียบในจวนนี้ให้ดี ให้เ้าเรียน เ้าก็ต้องเรียนให้ดี อย่าเกียจคร้านหรือเื่มาก เป็เด็กมีตระกูล อีกหน่อยคงมีโอกาสได้ออกงานอีกมากมาย ถ้าเ้าทำเื่ขายขี้หน้า ก็จะพลอยสร้างความอับอายให้คนในจวนนี้ทั้งจวน เ้าตั้งใจให้ดีล่ะ ไม่อย่างนั้น ข้าจะฉีกหนังหน้าของเ้า!”
ฉินหยีหนิงลุกขึ้นยืนหลังคำสั่งสอนแกมติติงของซุนซื่อถูกกล่าวจนจบ ในเวลานั้นขนตางอนยาวของนางโค้งลงมา ขณะเดียวกันใบหน้าของเด็กสาวกลับยังเรียบนิ่งไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาให้เห็น ถึงกระนั้นหัวใจของนางกลับคล้ายโดนจ้วงแทงด้วยมีดคมกริบ ทำให้ก้อนเนื้อหัวใจขาดสะบั้น เืเย็นๆ ก็ราวกับถูกแช่แข็งจนกลายเป็ลูกเห็บไปเสียแล้ว
หลายต่อหลายครั้งที่แม่แท้ๆ ไม่เต็มใจที่จะยอมรับนาง สงสัยถึงที่มา นั่นทำให้ฉินหยีหนิงเ็ปสุดหัวใจ!
นางกลับมาที่จวนเพียงแค่ครึ่งวัน ท่านย่าก็ไม่ชอบนาง โดนคนที่มีเืเนื้อเชื้อไขเดียวกับตนสงสัย โดนบ่าวรับใช้รังแก แม้แต่แม่แท้ๆ ของนางเองก็ยังทำเช่นเดียวกัน!
หรือการกลับมาของนาง คือการต้องมาพบกับความเ็ปใช่ไหม?
นางอดทนแล้วอดทนอีก คิดว่าขอแค่ตนเองเป็คนที่ดี ประพฤติตัวให้สุภาพเรียบร้อย ก็จะทำให้เปลี่ยนความคิดของผู้คนรอบข้างที่มีต่อนางได้ แต่สิ่งที่เห็นมันคืออะไรกัน?
หรืออาจเป็เพราะนางไร้เดียงสาเกินไป คิดว่าคนในบ้านตระกูลขุนนางนั้นจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
คนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ทุกคนต่างใช้แผนร้ายๆ เพื่อทำร้ายหัวใจคนอื่น ทั้งๆ ที่รู้ว่านางไม่ได้ไปขัดผลประโยชน์อะไรของพวกเขา แต่พวกเขากลับอยากเหยียบย่ำคนอื่นจมดินเพื่อยกให้ตนเองดูสูงขึ้น
คนเหล่านี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่าสัตว์ร้ายในป่าเสียอีก!
สัตว์ร้ายกินคนเพื่อมีชีวิตรอด
พวกเขา “กินคน” ก็เพื่อตอบสนองต่อความ้าของตนเอง
ในเวลาสั้นๆ เช่นนั้น ฉินหยีหนิงกลับเหมือนจะเข้าใจหลายสิ่ง ความอ่อนแอ ความเสียสละ สิ่งที่ได้มานั้นไม่ใช่การเห็นซึ่งคุณค่า ถ้าอ่อนแออยู่อย่างนี้ต่อไป เกรงว่าวันหนึ่งคนเหล่านี้อาจจะใส่ยาให้นาง โดยที่นางไม่รู้ก็เป็ได้!
“ฮูหยิน ท่านยังไม่เชื่อในสถานะของข้าอีกหรือเ้าคะ? ท่านอยู่กินกับท่านพ่อมาเนิ่นนาน ท่านพ่อเคยโกหกท่าน เพราะเื่เหล่านี้หรือไม่เ้าคะ? ทายาทของท่านพ่อนั้นมีน้อย หากมีลูกในสายเืที่แท้จริงของท่าน ท่านพ่อจะป่าวประกาศออกมาให้ทุกคนรู้ย่อมไม่มีใครว่าอย่างไรได้ จะโกหกผู้หญิงอ่อนแออย่างท่านเพื่ออะไรกัน? ท่านเองก็ไม่สามารถมีลูกได้เยอะๆ ทำให้ลูกสาวเสียใจไม่เป็ไร แต่หากทำให้ท่านพ่อเสียใจ ท่านจะไม่ใส่ใจเลยหรือ?”
ใบหน้าซุนซื่อกลายเป็สีแดงก่ำ เพียงคำว่า ‘ทายาทน้อย’ ก็ทำให้นางรู้สึกเสียดแทงเข้าไปในอก ยิ่งมีประโยคคำถามเ่าั้อีก?
เพราะฉินหวยหยวนมีบุตรน้อย นางต้องโดนแม่สามีตำหนิไปมากเท่าใด นางไม่สามารถมีลูกให้ได้ ทำได้เพียงให้ฉินหวยหยวนมีอนุ แต่หญิงสาวเ่าั้กลับไม่สามารถมีลูกได้ นั่นย่อมหมายความว่า ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ฉินหวยหยวน แต่แม่สามีกลับคิดว่านางอิจฉาริษยาเหล่าอนุภรรยา คิดว่านางใส่ยาไม่ให้พวกบ้านเล็กๆ เ่าั้มีลูก
มิหนำซ้ำยังมาโดนเ้าเด็กกระดูกอ่อนเน้นย้ำสิ่งเหล่านี้ออกมาอีก จะไม่ให้นางโกรธได้อย่างไร?
“หุบปากของเ้าเดี๋ยวนี้!” ซุนซื่อชี้นิ้วมือสั่นระริกไปทางฉินหยีหนิง “เ้าเป็ใคร! ข้าสอนเ้าเพียงแค่สองประโยค คิดไม่ถึงเลย ว่าเ้าจะต่อปากต่อคำกับข้า ให้สีแก่เ้าเพียงแค่สามส่วน เ้าก็กล้าย้อมสีผ้าไปแล้วอย่างนั้นหรือ เด็กๆ สั่งสอนเด็กป่าคนนี้ให้ข้าที!”
ซุนซื่อเพียงแค่ชี้ เปล่งเสียงเรียก ฉ่ายจู๋วก็ปรากฏตัวออกมาแล้ว
ฉ่ายจู๋วถกแขนเสื้อของตน ตั้งท่าเงื้อมือจะสั่งสอนฉินหยีหนิง แต่เมื่อนางหันไปหาฉินหยีหนิง สายตาเ็าดุจน้ำแข็งของอีกฝ่ายกลับทำให้นางรู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมาทันที มือที่ยกขึ้นจะตบนางต้องลดลงมา คิดในใจพูดกับตนเองว่า เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าคือเด็กป่า สายตาของนางนั้นยิ่งคล้ายสัตว์ป่ามาก!
ซุนซื่อเห็นสายตากระด้างของฉินหยีหนิงเช่นกัน แต่มันกลับทำให้นางรู้สึกเกลียดชังฉินหยีหนิงมากขึ้น นางก้าวเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว ปัดมือฉ่ายจู๋วดันให้ห่างออกไป และเป็ตนเองที่ยกมือตบหน้าฉินหยีหนิงฉาดใหญ่
ใบหน้าของฉินหยีหนิงสะบัดไปตามแรง นางก้มหน้าประหลาดใจ สีหน้าบ่งบอกว่าคาดไม่ถึงกับเหตุการณ์นี้
มีเสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าดังชัด ถึงขนาดซุนซื่อยังชาวาบไปทั้งฝ่ามือ แต่เป็ผลให้นางรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย มืออีกข้างของนางจับคอเสื้อของฉินหยีหนิง พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงซึ่งเจือความเกลียดชังชัดเจน “เ้าเป็ลูกสาวของข้าหรือไม่ ข้าต้องตรวจสอบอย่างแน่นอน แต่ไม่ว่าเ้าจะใช่หรือไม่ใช่ เื่ของข้า ไม่ต้องให้คนอย่างเ้ามาสอนหรอก! ฉินเิมีทายาทน้อย มันคือความผิดของข้าหรืออย่างไร? ถ้าเ้าจะมาพูดแก้ตัวแทนเขา ก็หมายความว่าเ้ายอมรับเขาเป็พ่อ แต่ไม่ต้องคิดจะมายอมรับ ‘ผู้หญิงอ่อนแอ อย่างข้าเป็แม่’ หรอก!”
“ฮูหยิน ใจเย็นๆ” แม่นมจินเมื่อเห็นซุนซื่อพูดออกมาเช่นนั้น ก็ปราดเข้าไปห้ามปรามนางทันที
ฉินฮุ่ยหนิงใช้จังหวะดังกล่าวสาวเท้าเข้าไปหา พลางประคองซุนซื่อไปนั่งข้างๆ นางร้องไห้น้ำตาคลอ และพูดขึ้น “ท่านแม่ อย่าโกรธเลย เป็เพราะลูกที่ไม่ดีเอง หากไม่ใช่เพราะลูกโดนสลับตัวมา ก็ไม่มีเื่เหล่านี้เกิดขึ้น ยิ่งไม่ต้องทำให้ท่านแม่ต้องเสียใจ ท่านแม่ยิ่งโกรธก็เหมือนเอามีดแทงมาที่ลูกนะเ้าคะ”
เมื่อซุนซื่อได้ยินเช่นนั้น ก็เม้มปาก น้ำตาไหลนองไม่ต่างจากทำนบแตก
นางมองดูเด็กสาวที่โดนนางตบเมื่อสักครู่ ไม่รู้ว่าทำไมใจนางถึงได้รู้สึกผิดและรักนางอยู่หลายส่วน นางคิดในใจ ไม่ว่านางจะเป็ลูกแท้ๆ หรือไม่ก็ตาม นางที่มีสถานะเป็แม่ใหญ่ก็ควรสั่งสอน ความคิดดังกล่าวไปกดความรู้สึกผิดที่มีต่อเด็กสาวคนนั้นพลอยให้นางรู้สึกดีขึ้น ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “เ้ายังไม่ไสหัวออกไปอีก!”
ซุนซื่อเบือนสายตาไปทางทิศอื่น ไม่ได้มองหน้าฉินหยีหนิงแม้แต่น้อย
ทว่าครั้นฉินหยีหนิงกำลังก้าวเดินจะออกไป
ฉับพลันกลับมีเสียงลอดผ่านเข้ามาพร้อมผ้าม่านได้ถูกเลิกขึ้น จากนั้นก็เห็นฉินหวยหยวนอยู่ในเสื้อคลุมขนสัตว์สีเทาตัวใหญ่ ก้าวเดินเข้ามา สีหน้าเคร่งขรึมของเขากำลังมองไปยังซุนซื่อ