ชุ่ยหนงตวาด “เ้าพูดไร้สาระ! ฮ่องเต้ก็คือฮ่องเต้! ท่านอ๋องเก่งกาจทั้งบุ๋นบู๊ ฉลาดหลักแหลม เป็ตัวเลือกที่เหมาะสมในการเป็องค์รัชทายาทเพียงหนึ่งเดียว เหตุใดฮ่องเต้ไม่แต่งตั้งให้เขาเป็รัชทายาท? ช่างเป็ฮ่องเต้ที่มีตาหามีแววไม่! สร้างจุดจบเช่นนี้ออกมา เป็ฮ่องเต้ที่สามารถทำทุกสิ่งได้ตามใจชอบ! ไม่ต้องขึ้นอยู่กับผู้ใด!”
กู้ฮวายส่ายหน้าถอนหายใจ “คนคนนี้หน้ามืดตามัว จิตใจบิดเบี้ยวไปเสียแล้ว”
“ถึงแม้ตอนนั้นเปิ่นหวางจะไม่ได้อยู่เมืองหลวง แต่ก็ได้ยินมาบ้าง รุ่ยหวางกับจิงหวางพาทหารบุกเข้าวัง มีความผิดพากองทหารบุกเข้าวังสังหารฮ่องเต้ ต้องโทษปะา การกระทำที่ผิดศีลธรรมเยี่ยงนี้ ตายไปก็ไม่มีค่าพอให้มาเสียดาย ถูกประจานให้ประชาชนต่อว่า” เสียงทุ้มของมู่หรงอวี้เหมือนกับมีดสั้นที่แทงเข้าไปในอกนาง
นางส่ายหน้าอย่างรุนแรง ดวงตาเบิกกว้าง เถียงอย่างมีโทสะ “ไม่จริง...เ้าพูดจาไร้สาระ...ท่านอ๋องทั้งๆ ที่เข้าวังมาเพื่อปกป้อง...”
“ไม่มีพระราชโองการ การนำทหารเข้ามาในเขตพระราชฐานทั้งหมดคือการกระทำผิดฐานก่อฏ” สีั์ตาของเขาเย็นเยียบ ราวกับแช่อยู่ในแม่น้ำที่เป็น้ำแข็ง
“ไม่ใช่….” ชุ่ยหนงราวคนไร้สติ ใบหน้าที่เดิมทีนิ่งเฉยไร้อารมณ์ บัดนี้กลับบิดเบี้ยวจนน่าใ นางตะคอกออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง “เสี่ยวยินตายไปแล้ว…สายเืสุดท้ายของท่านอ๋องก็ไม่เหลือแล้ว…โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรม…” นางเงยหน้า น้ำตาเม็ดโตไหลออกมา ลำคอแหบแห้งกรีดร้องออกมาอย่างเกลียดชัง “์ไม่มีตา…โลกไม่ยุติธรรม…ฮ่องเต้เข่นฆ่าบุตรหลานของตัวเอง ชั่วร้ายไม่มีความปราณี ข้าขอสาปแช่งมู่หรงเฉิงให้ขาดผู้สืบทอด….แว่นแคว้นขาดคนขึ้นครองบัลลังก์…”
“นังบ้า!” หลิวอันก้าวขึ้นไปยกมือขึ้นตบชุ่ยหนงไปหลายที
ในตอนนั้น แก้มขาวซีดของนางพลันปรากฏรอยนิ้วทั้งห้า เพียงแค่มองก็รู้ได้ว่าแรงที่ตบลงไปไม่เบาเลย
ชุ่ยหนงนั่งอยู่กับพื้น มุมปากมีโลหิตไหลออกมา นางหัวเราะเสียงเย็นแล้วยกมือขึ้นปาดออก
จู่ๆ มู่หรงฉือ ก็ถามขึ้นว่า “เหตุใดเ้าถึงได้วางแผนเช่นนี้? เ้ามีเจตนาอะไรกันแน่? หยกโลหิตพวกนั้นมาจากที่ใดกัน?”
ั์ตาดำของมู่หรงอวี้ปรากฏรอยยิ้มขึ้น “เปิ่นหวางกลับอยากจะรู้ว่า เหตุใดนางถึงมีวิทยายุทธ์ที่ไม่ธรรมดาได้”
เสิ่นจือเหยียนเองก็ไม่เข้าใจเป็อย่างยิ่ง “นางเป็อนุของรุ่ยหวาง สตรีอ่อนแอคนหนึ่ง จะร่ำเรียนการต่อสู้ได้แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไร? อีกอย่าง วิทยายุทธ์ของนางก็ไม่ธรรมดา การจะหนีออกจากเรือนชุนอู๋ก็ง่ายเพียงพลิกฝ่ามือ หากนางอยากจะลอบสังหารฝ่าาเพื่อแก้แค้นให้กับรุ่ยหวาง ตอนที่เพิ่งจะเข้าเรือนชุนอู๋มาก็ควรจะลอบสังหารเลยไม่ใช่หรือ? เหตุใดจะต้องรอให้ถึงตอนนี้?”
“บางทีอาจจะเพราะว่าหลายปีมานี้นางเพิ่งจะฝึกวิทยายุทธ์สำเร็จ” สำหรับเื่นี้ มู่หรงฉือเองก็ไม่อาจเข้าใจได้ “ชุ่ยหนง หากเ้าตอบ เปิ่นกงจะให้เ้าได้เจอหน้าเสี่ยวยิน”
“์ไม่มีตา! โลกไม่ยุติธรรม!”
ชุ่ยหนงโวยวายออกมาอย่างเ็ปและโกรธเกรี้ยว เหมือนนางรวบรวมความโกรธเกลียดทั้งหมดในใต้หล้านี้เอาไว้ ความเกลียดชังแผ่กระจายไปทั่วทั้งตำหนักใหญ่
ลางสังหรณ์ของมู่หรงฉือบอกว่าแย่แล้ว เป็อย่างที่คิด ชุ่ยหนงกัดปากหนึ่งที เืสีดำก็ทะลักออกมาจากมุมปาก ก่อนที่นางจะล้มลงไป
เสิ่นจือเหยียนรีบเข้าไปง้างปากของชุ่ยหนง แต่ไม่ทันเสียแล้ว พิษได้ไหลลงคอไปแล้ว “ไม่มีประโยชน์แล้ว”
ชุ่ยหนงปิดตาทั้งสองข้างที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลง ใบหน้าที่เมื่อครู่ยังบิดเบี้ยวตอนนี้ก็นิ่งสงบลงไป แขนทั้งสองข้างร่วงหล่น
ณ ตรงนั้นเงียบสงัดราวกับสรรพสิ่งได้ตายจากไปแล้ว
เสียงเดียวที่มีก็คือเสียงเบาๆ ของถ้วยน้ำชาที่มู่หรงอวี้วางลงไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง กู้ฮวายก็ขมวดคิ้วพูด “เหมือนชุ่ยหนงจะไม่ยอมตอบคำถามเตี้ยนเซี่ย”
เสิ่นจือเหยียนพยักหน้า “เป็เช่นนั้นจริง หยกโลหิตได้มาจากที่ใด นางไปเรียนวิทยายุทธ์มาตอนไหน ยากที่จะเข้าใจจริงๆ”
มู่หรงฉือสั่งงานหลิวอัน “ผู้ดูแลหลิว เอาศพของชุ่ยหนง เสี่ยวยินกับฉางชิงส่งไปด้านนอกเขตเมือง แล้วฝังศพอย่างง่ายๆ เสีย”
หลิวอันรับคำสั่ง “พ่ะย่ะค่ะ หนูฉายจะทำเื่นี้ให้ดี”
เสิ่นจือเหยียนประสานมือเข้าด้วยกัน “เตี้ยนเซี่ยทรงพระเมตตา”
ความผิดของชุ่ยหนงกับเสี่ยวยินคือโทษปะา อีกทั้งยังเป็เืเนื้อเชื้อไขที่รุ่ยหวางทิ้งเอาไว้ เตี้ยนเซี่ยให้พวกเขาได้ฝังลงดินไปอย่างสงบก็นับว่าใจกว้างมากแล้ว
“เตี้ยนเซี่ย จ้าวผินนั้นเป็ชุ่ยหนงสังหารด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ?” กู้ฮวายถามขึ้นอีกครั้ง เขาที่เป็ผู้พิพากษาของศาลต้าหลี่กลับไม่สามารถตรวจสอบอะไรออกมาได้เลย ในใจจึงรู้สึกผิดมาก
“การตายของจ้าวผินคงไม่ได้เกี่ยวข้องกับชุ่ยหนงหรือเสี่ยวยินหรอก เปิ่นกงเองก็ยังสืบไม่ได้ว่าใครเป็คนฆ่า” มู่หรงฉือมองไปทางมู่หรงอวี้ การไขคดีน่าสงสัยและคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นใน่หลายวันนี้ได้เปิดเผยความสามารถของนางมากเกินไป ไม่รู้ว่าจะเป็การล่อให้คนมาสังหารตนหรือไม่? แต่ว่า การเปิดเผยนี้ไม่ช้าก็เร็วย่อมต้องเกิดขึ้น นางไม่มีทางที่จะเป็องค์รัชทายาทที่ไม่ได้เื่ไปตลอด
“กระหม่อมจะรีบตรวจสอบให้ชัดเจนพ่ะย่ะค่ะ” กู้ฮวายเหงื่อออกมากพอสมควร จนอาภรณ์ชื้นแล้วชื้นอีก
โชคดีที่คดีที่เตี้ยนเซี่ยได้ไขออกมาพวกนี้ อวี้หวางไม่ได้ตำหนิลงมา เขาก็ยังสามารถรักษาตำแหน่งงานได้อยู่
มู่หรงอวี้ยืนขึ้นก่อนจะเดินออกไปด้านนอก ชั่วขณะที่หมุนตัวไปนั้น สายตาเ็าตวัดมองไปทางนาง
ร่างทั้งร่างของนางเย็นเยียบ หัวใจถึงกับสั่นสะท้าน
ระหว่างทางที่กลับตำหนักบูรพา เสิ่นจือเหยียนพูดออกมาอย่างตื่นเต้น “ความสามารถในการสืบสวนคดีของเตี้ยนเซี่ยเก่งกาจยิ่งกว่าข้าเสียอีก น่าใมากจริงๆ เตี้ยนเซี่ยช่างซ่อนความสามารถเอาไว้ล้ำลึกยิ่งนัก”
“ประจบให้มันน้อยๆ หน่อย”
มู่หรงฉือรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย ความจริงแล้วนางก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีพร์ในด้านนี้ บางทีอาจเป็เพราะว่าไม่เคยได้ทำคดีมาก่อน
เสิ่นจือเหยียนคลี่ยิ้ม “หลังจากได้ทำคดีในครั้งนี้ เตี้ยนเซี่ยรู้สึกหรือไม่ว่ามันน่าสนใจมาก? รู้สึกหรือไม่ว่าการตามหาหลักฐาน ขั้นตอนสืบหาความจริงนั้นเป็ดั่งอาหารเลิศรส สุรารสเยี่ยม? รู้สึกหรือไม่ว่าการสันนิษฐานว่าคนร้ายดำเนินการอย่างไรจากศพนั้นมีความสุขเหมือนกับการเข้าครัวทำอาหาร? รู้สึกหรือไม่…”
นางกลอกตามองบน แล้วสาวเท้าเดินให้ไวขึ้น
“เตี้ยนเซี่ยเพิ่งจะทำเื่ที่น่าตื่นตะลึง หากป่าวประกาศอออกไป ชื่อเสียงของเตี้ยนเซี่ยจะต้องระบือไปไกล กลายเป็คนที่สันนิษฐานไขคดีได้ดั่งเทพ ฉลาดหล่อเหลาเป็ที่หนึ่งในเมืองหลวง!”
“ต่อไปศาลต้าหลี่มีคดีใหญ่อะไรจะต้องทำคดี เตี้ยนเซี่ยมาเข้าร่วมด้วยทั้งหมดดีหรือไม่?”
“เตี้ยนเซี่ย ท่านได้ฟังที่ข้าพูดหรือไม่? เตี้ยนเซี่ยอย่ารีบเดินถึงเพียงนั้นสิพ่ะย่ะค่ะ…”
“เตี้ยนเซี่ย รอข้าด้วย!”
เสิ่นจือเหยียนที่พูดไม่หยุดรีบเดินตามไป แต่มู่หรงฉือไม่อยากจะสนใจเขาอีก ตอนนั้นเหตุใดถึงได้เลือกเขามาเป็เพื่อนร่วมเรียนด้วยนะ?
ครั้นกลับมาถึงตำหนักบูรพา นางดื่มชาทานขนม เสิ่นจือเหยียนขมวดคิ้ว “เตี้ยนเซี่ย ข้ารู้สึกว่าชุ่ยหนงลงมือสร้างสถานการณ์ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เป้าหมายเหมือนจะไม่ใช่เพื่อลอบสังหารฮ่องเต้ หรือเพื่อแก้แค้นให้กับรุ่ยหวาง เพียงแต่ต่อมาเสี่ยวยินตายไปนางถึงได้เดินผิดแผนไปจนหมด เพื่อแก้แค้นให้บุตรชายถึงได้ลอบสังหารฮ่องเต้ นางสร้างสถานการณ์ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แท้จริงแล้วมีเจตนาอะไรกันแน่?”
นางพยักหน้า “นี่ก็เป็จุดที่เปิ่นกงคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ นางไม่อยากพูดเื่นี้ออกมา อีกทั้งหยกโลหิตนั้นเอามาจากไหน นางไปเรียนการต่อสู้มาจากที่ใด นางมีเื่ที่ปกปิดอยู่สามเื่”
“หรือว่าในวังยังมีคนที่สมรู้ร่วมคิดอยู่อีก? นางไม่พูดออกมาก็เพื่อปกป้องสหาย?”
“เปิ่นกงเองก็คิดเช่นนั้น พรุ่งนี้เปิ่นกงจะสั่งการลงไปให้จัดการตรวจสอบและกวาดล้างข้าหลวงกับองครักษ์ในวัง”
“การตายของจ้าวผิน เตี้ยนเซี่ยพบเบาะแสใหม่หรือไม่?” เสิ่นจือเหยียนถามด้วยความสนใจ
“ตอนนี้ยังไม่เจออะไรใหม่ เปิ่นกงเหนื่อยแล้ว วันหลังพวกเราค่อยไปตรวจสอบเื่คดีของจ้าวผินใหม่”
หลายวันมานี้ มู่หรงอวี้เอาแต่คิดเื่คดีทั้งวัน จะนอนก็หลับไม่สนิท วันนี้จะต้องพักผ่อนให้ดี
ใบหน้าหล่อเหลาของเสิ่นจือเหยียนพลันสดใสขึ้นมา “จริงสิเตี้ยนเซี่ย วันหน้าข้าจะเข้าครัวทำอาหารแบบใหม่มาให้ท่านลองชิม รับรองว่าหลังจากที่ท่านได้ชิมเข้าไปแล้วจะชมไม่ขาดปาก คิดถึงมันทั้งวัน”
นางถามเขาอย่างเกียจคร้าน “อาหารแบบใหม่อะไร?”
ฉินรั่วคาดเดา “วิธีการทำเนื้อวัวแบบใหม่หรือเ้าคะ?”
เขาโบกมือ “ไม่ใช่เนื้อวัว ข้าจะเก็บไว้เป็ความลับก่อน พรุ่งนี้ข้าจะมาทำให้ชิมที่ตำหนักบูรพา”
…
ภายในตำหนักมีแค่โคมไฟมุมกำแพงที่เดียวเท่านั้น แสงสีแดงเข้มส่องประกายออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง ดูห่างไกลและมืดสลัว
มู่หรงฉือพิงหมอนอ่านหนังสือพลางหาวออกมาอยู่เรื่อยๆ
หรูอี้คะยั้นคะยอ “หลายวันมานี้เตี้ยนเซี่ยเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว รีบพักผ่อนเถิดเพคะ”
เวลายังไม่ดึกนัก มู่หรงฉือกลับง่วงจนตาแทบจะปิดเข้าหากัน นางวางหนังสือลงแล้วล้มตัวลงนอน
ทันใดนั้น อวัยวะภายในก็ปวดขึ้นมาเล็กน้อย
มู่หรงอวี้รักษาาแภายในให้นางแล้วไม่ใช่หรือ? หรือว่าเขาลอบทำอะไรลงไป?
เพียงแต่ผ่านไปครู่หนึ่งก็ไม่เจ็บแล้ว
หรูอี้ห่มผ้าให้เตี้ยนเซี่ย ปลดผ้าม่านสีหยกลงแล้วเดินออกไปเงียบๆ ก่อนจะนั่งลงที่พื้นตรงหน้าทางเข้าตำหนัก วันนี้เป็เวรนางคอยเฝ้ายาม จะต้องเฝ้าอยู่ที่นี่เพื่อป้องกันเวลาเตี้ยนเซี่ย้าให้ปรนนิบัติดูแลกลางดึก
ในตอนที่กำลังสะลึมสะลือ หรูอี้เหมือนได้ยินเสียง ‘กริ๊ก’ ดังขึ้นเบาๆ จึงสะดุ้งตื่นขึ้นมา เงาดำขยับอย่างรวดเร็ว ตอนที่นางกำลังจะลุกขึ้น กลับรู้สึกว่าตัวชาไป ก่อนที่ตรงหน้าจะมืดลงจากนั้นเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้แล้ว
มู่หรงฉือที่เพิ่งจะนอนหลับไปได้ยินเสียงเล็กน้อยก็ตื่นขึ้นมาอีก แล้วลงจากเตียงทันทีคอยระวังและตื่นตัวอย่างเต็มที่
“นั่นใคร?” เสียงดุดันทรงอำนาจดังขึ้นอย่างไม่มีความเกรงกลัวเลยสักนิด
ท่ามกลางแสงสีแดงสลัว นางเบิกตากว้างมองไปยังด้านหน้า เงาสีดำสายหนึ่งค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นช้าๆ ดวงหน้าหล่อเหลาคมชัด ประหนึ่งหิมะที่ก่อตัวอยู่ใต้แสงจันทร์ แสงระยิบระยับของหิมะส่องแสงขับไล่ความมืดออกไป
นางไม่ได้ผ่อนคลายลงสักนิด ในใจกลับเย็นเยียบ ั์ตาเ็าดุดันจ้องไปทางเขา
มู่หรงอวี้สมควรตาย! นี่เขาบุกมาที่ตำหนักบูรพาแล้วเข้ามาในห้องบรรทมของนางอีกแล้ว!
เห็นห้องบรรทมของนางเป็อะไรกัน? เป็หอโคมเขียวที่จะเข้าออกเมื่อใดก็ได้หรือ?
มู่หรงอวี้เดินมาตรงหน้านาง ทั้งตัวปกคลุมไปด้วยแสงจันทร์และแสงดาว ให้ความรู้สึกลึกลับแปลกๆ ชุดสีดำปักดิ้นทองเมื่อถูกความมืดในยามค่ำคืนปกคลุมก็ฉายความอิสระไม่อาจควบคุมออกมา
“ใหรือ?” เขาเหมือนจะหัวเราะแต่ก็ไม่ มุมปากยกยิ้มอารมณ์ดี เหมือนพอใจมากกับสิ่งที่ตนทำ
“อวี้หวางปีนเข้าหน้าต่างบุกเข้าห้องผู้อื่นยามราตรี หากเื่นี้แพร่ออกไป ชื่อเสียงอันดีงามของอวี้หวางก็ไม่รู้ว่าจะเสื่อมเสียหรือไม่?” มู่หรงฉือหัวเราะเสียงเย็นพลางเหน็บแนม
“หากเผยแพร่ออกไป ชื่อเสียงเสียหายย่อมไม่ใช่แค่เปิ่นหวาง ไม่แน่ว่าเปิ่นหวางอาจจะปลอดภัยไม่เป็อะไร แต่มีคนโชคร้ายแทน” คิ้วเรียวของเขาเลิกขึ้น เสียงทุ้มกังวาน “อีกอย่าง นั่นไม่ใช่ปีนหน้าต่าง แต่เป็เพราะชอบความสูงของหน้าต่างต่างหาก”
นางกัดฟันเงียบๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็คลี่ยิ้มทันที “ท่านอ๋องมาหาถึงที่ขนาดนี้ ไม่ทราบว่ามีอะไรจะชี้แนะหรือ?”
มู่หรงอวี้พูดด้วยท่าทางสบายๆ “มาดูว่าอาการาเ็ภายในของเตี้ยนเซี่ยรักษาหายแล้วหรือไม่”
เขาลงมือทำอะไรไปจริงๆ ด้วย!
นางพูดหน้านิ่ง “ไม่ลำบากให้ท่านอ๋องต้องกังวล เปิ่นกงไม่เป็อะไรแล้ว”
สายตาร้ายกาจของเขากวาดมอง “คืนนี้เตี้ยนเซี่ยรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ ที่อวัยวะภายในหรือไม่?”
มู่หรงฉือคิดจะปฏิเสธ แต่ในตอนนั้นเองอวัยวะภายในดันเจ็บจี๊ดขึ้นมาได้อย่างตรงเวลา “ไม่มี”
เขาเลิกคิ้วอย่างตรวจสอบ ยกข้อมือของนางขึ้นมาจับ นิ้วเรียววางลงที่เส้นชีพจร
นางดึงมือกลับอย่างหงุดหงิด “เื่ของเปิ่นกงไม่ต้องให้ท่านอ๋องมาเป็ห่วง เปิ่นกงจะพักผ่อนแล้ว เชิญท่านอ๋องกลับไปได้เถิด”
“วันนี้ตอนที่รักษาให้เตี้ยนเซี่ย เปิ่นหวางทำให้อวัยวะภายในของเตี้ยนเซี่ยได้รับาเ็โดยไม่ได้ตั้งใจ จึงมารักษาให้เพิ่ม”
มู่หรงอวี้พูดสบายๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้