เพียงดาบเดียวกงหลุนก็ถูกหลินเฟิงสังหาร ไม่ว่าเขาอยากตอบโต้อย่างไรก็ไม่สามารถทำได้แล้ว เพราะดาบนั้นได้แทงทะลุหัวใจของเขา
พวกเขาไม่อาจทำความเข้าใจการโจมตีเพียงดาบเดียวนี้ได้ เนื่องจากการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว นอกจากนี้คลื่นดาบที่ปล่อยออกมาก็ไม่ได้พิเศษอะไร แต่ทำไมดาบธรรมดาเช่นนี้กลับสังหารกงหลุนได้ชั่วพริบตา
“ความแข็งแกร่งช่างน่าหวาดกลัวอะไรขนาดนี้!”
ฝูงชนต่างมองหลินเฟิงที่กำลังดึงดาบยาวออกจากร่างกงหลุน แล้วร่างไร้ิญญาก็ล้มลง ผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 อย่างกงหลุนสามารถเอาชนะเคอเฉิงและจู่หนิงได้ แต่ทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็ร้างไร้ิญญาไปได้?
พวกเขาไม่คิดว่าดาบของหลินเฟิงนั้นธรรมดา การเผชิญหน้าของผู้ฝึกยุทธ์ย่อมไม่ใช่เื่บังเอิญ และดาบที่ดูลึกลับนั่นพวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจมันได้
อีกสามคนที่อยู่ข้างกงหลุ่นเริ่มสั่นเทาเล็กน้อย และก้าวถอยหลังอย่างไม่ได้ตั้งใจ เมื่อครู่นี้พวกเขายังยืนอยู่กับกงหลุนและจัดการกับหลินเฟิง ทว่าตอนนี้เพียงดาบเดียวของหลินเฟิงก็สังหารกงหลุนได้แล้ว ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว หากดาบนั้นไม่แทงไปที่กงหลุน แต่เป็พวกเขาแทน พวกเขาจะสามารถหลบดาบได้หรือไม่?
เห็นได้ชัดว่าคำตอบคือไม่ เพราะกงหลุนแข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา หากกงหลุนไม่รับดาบนั้น ตอนนี้พวกเขาคงเป็ซากศพไปแล้ว
ในขณะนั้นหลินเฟิงค่อยๆ หันหลังไป แล้วสายตาก็ไปหยุดที่ร่างพวกเขาทั้งสาม จึงทำให้หัวใจของพวกเขาต่างเต้นระรัวเพราะความหวาดกลัว
“กฎของพวกเ้าก็เหมือนเขา?”
หลินเฟิงกล่าวอย่างเยือกเย็น ทำให้พวกเขาต้องแข็งทื่อ จากนั้นก็มีหนึ่งในนั้นยิ้มออกมาและกล่าวว่า “ใช่ที่ไหนกันสหาย ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อเ้าเลย หากเ้า้าห้องฝึกฝนก็เลือกก่อนได้เลย”
“สหาย?”
หลินเฟิงเผยแววตาหยอกล้อออกมา และกล่าวว่า “หากข้าไม่ได้ตาฝาดไป เมื่อครู่นี้พวกเ้าก็ยืนอยู่กับเขาไม่ใช่เหรอ? ในเมื่อมีส่วนเอี่ยว ทำไมตอนนี้ต้องหวาดกลัวกันด้วย พวกเ้ายังต้องกลัวจะถูกคนอื่นเยาะเย้ยอีกหรือ?”
ทั้งสามคนต่างแข็งทื่อ เมื่อครู่พวกเขาได้แสดงออกอย่างชัดเจนว่าอยู่ข้างเดียวกับกงหลุนอีกทั้งยังได้สัญญากับอวี๋เจียวไว้ ซึ่งหลินเฟิงก็ไม่ได้ตาบอด เขาจะไม่เห็นได้อย่างไรกัน แม้ตอนนี้พวกเขาอยากกลับคำพูดก็คงไม่ทันแล้ว
“สหาย หากเ้า้าหินหยวนก็ขอแค่เอ่ยมา และห้องฝึกชั้นที่สาม เ้าก็สามารถใช้ได้ทุกเวลา” อีกคนกล่าว ในเมื่อไม่สามารถถอยกลับไปได้อีกแล้ว การเผชิญหน้าก็คงเป็ทางเลือกสุดท้าย
“ก่อนอื่นเลย… ข้ามีทั้งหินหยวนและห้องฝึกฝนชั้นที่สาม แน่นอนว่าข้าสามารถใช้ได้ตาม้าอยู่แล้ว ข้าจำเป็ต้องฟังคำพูดไร้สาระของเ้าด้วยเหรอ?” หลินเฟิงกล่าวอย่างเยือกเย็น จึงทำให้อีกฝ่ายประหลาดใจจนต้องถามว่า “งั้นเ้า้าอะไร?”
“ทำลายการบ่มเพาะของตัวเองซะ” หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ทำให้ทั้งสามต่างเสียวสันหลังวาบ ทำลายการบ่มเพาะของตัวเอง? หากหลังจากทำลายการบ่มเพาะแล้ว พวกเขาจะกลายเป็คนไร้ค่าและมีแต่คนดูถูก นอกจากนี้หากการบ่มเพาะของผู้ฝึกยุทธ์ได้ถูกทำลายไป นั่นจะเป็จุดจบของพวกเขา
ฝูงชนรอบด้านก็ตะลึงนิ่งไปเช่นกัน ทำลายการบ่มเพาะของตัวเองก็เหมือนไปตาย อย่างไรก็ตามหากพวกเขาเป็หลินเฟิงก็คงทำเช่นเดียวกัน เมื่อครู่นี้พวกเขา้าสังหารหลินเฟิง แต่ตอนนี้หลินเฟิงแข็งแกร่งมาก แน่นอนว่าหลินเฟิง้าสอนบทเรียนแก่พวกเขา
“ข้าจะให้โอกาสพวกเ้า หากใครทำลายการบ่มเพาะพลังของนางได้ พวกเ้าก็จะไม่ต้องทำลายการบ่มเพาะของตัวเอง” หลินเฟิงกล่าวอย่างเฉยเมยขณะชี้อวี๋เจียว ทำให้อวี๋เจียวต้องประหลาดใจ เมื่อครู่นางให้พวกเขาสี่คนไปสังหารหลินเฟิง หากใครสังหารหลินเฟิงได้ นางก็จะนอนกับคนนั้น แต่ตอนนี้หลินเฟิงกลับให้ทั้งสามมาทำลายการบ่มเพาะของนาง
เมื่อสิ้นสุดเสียงของหลินเฟิง ทันใดนั้นทั้งสามคนต่างมองอวี๋เจียวด้วยเจตนามุ่งร้าย
“ข้าจะให้เวลาพวกเ้า 10 ลมหายใจ หากทำไม่ได้ ข้าจะทำลายการบ่มเพาะตามที่พูดเอาไว้”
หลินเฟิงกล่าวเสริม ทันใดนั้นร่างของทั้งสามต่างปลดปล่อยลมปราณที่แข็งแกร่งออกมา และพุ่งตัวออกไปพร้อมกัน
ด้านหน้าของพวกเขานั้น แน่นอนว่าอวี๋เจียวต้องสังเวยชีวิต
การถูกทั้งสามคนที่แข็งแกร่งกว่าโจมตีพร้อมกัน ทำให้สีหน้าของอวี๋เจียวพลันซีดขาวราวกับกระดาษ และเมื่อสิ้นสุดเสียงของหลินเฟิง ชะตากรรมของนางก็ได้ถูกกำหนดไว้แล้ว
หรือนางจะชะตาขาดั้แ่ไปพูดจาดูถูกและทำร้ายหลินเฟิงในทีแรกแล้ว
ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องออกมา ทว่าหลินเฟิงไม่ได้มองไปที่ต้นตอของเสียง แต่กลับกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “พานางออกไปและเก็บซากศพพวกนี้เสียด้วย หลังจากนี้อย่าโผล่หน้ามาที่ชั้นสามอีก”
ทั้งสามคนต่างใ หลังจากหลินเฟิงให้อภัยพวกเขาแล้ว ก็พาอวี๋เจียวและนำซากศพของกงหลุนและคนอื่นๆ ออกไป ระหว่างที่เดินออกไปสายตาเ็าของพวกเขาก็มองอวี๋เจียว ผู้หญิงคนนี้เกือบทำให้การบ่มเพาะของพวกเขาต้องถูกทำลาย และอีกอย่าง… หากไม่มีกงหลุนล่ะก็พวกเขาคงตายไปแล้ว
วันนี้การบ่มเพาะของผู้หญิงคนนี้ได้ถูกทำลายไป และชีวิตของนางจะเปลี่ยนไปตลอดกาล
หลินเฟิงไม่สนใจพวกเขาที่กำลังเดินออกไป แต่กลับเดินไปยังห้องฝึกฝนที่สลักชื่อและคำว่า ‘หวงห้าม’ อยู่บนประตู จู่ๆ ก็เกิดรอยยิ้มเ็าที่มุมปาก
“ในเมื่อเป็กฎ ถ้างั้นวันนี้ข้าก็จะปฏิบัติตามกฎ”
หลินเฟิงพึมพำขณะที่ฝ่ามือของเขาอยู่ตรงชื่อบนประตู ทันใดนั้นชื่อบนประตูก็ถูกหลินเฟิงลบออกจนหมด
หลังจากนั้นหลินเฟิงได้เหยียดนิ้วออกไปและปรากฏแสงบนปลายนิ้ว เพียงชั่วพริบตาคำว่า ‘หลิน’ ก็ปรากฏขึ้นแทนที่
จากนั้นหลินเฟิงก็เดินไปอีกเจ็ดห้องที่เหลือ และประทับคำว่า ‘หลิน’ บนประตูห้องฝึกฝนชั้นสามทั้งหมด
ผู้คนที่ยืนอยู่ต่างมองการกระทำของหลินเฟิงเงียบๆ โดยไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมา
เ้าหมอนี่ช่างบ้าระห่ำนัก
อย่างไรก็ตามหากไม่มีหลินเฟิง ห้องฝึกฝนทั้งหมดก็คงไม่เวียนมาถึงพวกเขา มีเพียงคนที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะมีสิทธิพิเศษ อีกทั้งมีสิทธิ์เอ่ยถึงกฎและตั้งกฎของตัวเองได้
ผู้ฝึกยุทธ์ที่อ่อนแอไม่มีสิทธิ์พูดอะไรได้
หลินเฟิงอาศัยการบ่มเพาะระดับขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 5 จึงสามารถสังหารผู้ที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 ได้ ทำให้คนอื่นๆ ที่อยู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 6 ต้องยอมเชื่อฟัง หลินเฟิงช่างเป็คนบ้าระห่ำอะไรขนาดนี้!
“ห้องฝึกฝนทุกห้องเป็ของข้า จนกว่าข้าจะลบชื่อออก หากใครกล้าย่างกรายเข้าไป ผู้นั้นจะต้องไม่ตายดีอย่างแน่นอน”
หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด แล้วเข้าไปในห้องฝึกฝนของกงหลุน พร้อมกับเสียงดังกึกก้องและประตูก็ปิดลง จากนั้นหยวนชี่ก็เปล่งแสงออกมา
เมื่อเห็นระดับแสงที่สว่างขึ้นก็รู้ได้ว่า กงหลุนจะต้องใส่หินหยวนเข้าไปไม่น้อยแน่นอน ทำให้หลินเฟิงไม่จำเป็ต้องเสียหินหยวนไปสักพักหนึ่งได้
อย่างน้อยวันนี้การท้าสู้ของเขาและเฮยม่อ มันก็เพียงพอแล้ว
ภายในห้องฝึกฝนของชั้นสามมีหยวนชี่บริสุทธิ์อันหนาแน่นและทรงพลัง หลินเฟิงที่เพิ่งเข้ามาก็รู้สึกว่าได้ว่ารูขุมขนทุกส่วนของร่างกายราวกับเปิดออก ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ร่างกายของเขาพลันกระหายและ้าดูดซับหยวนชี่อันบริสุทธิ์
หลินเฟิงนั่งขัดสมาธิและเรียกใช้จิติญญาแห่ง์ แล้วเข้าสู่สถานะเข้าณาน
หยวนชี่บริสุทธิ์ที่ไหลเวียนอยู่รอบๆ ทำให้ขา กระดูก เส้นโลหิต และกล้ามเนื้อของเขาค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น และหยวนชี่ภายในร่างกายของหลินเฟิงก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็บริสุทธิ์ขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่ฝึกอย่างไม่รู้วันคืน เวลาก็ล่วงผ่านไปเรื่อยๆ หลินเฟิงไม่รู้ว่าโลกภายนอกตอนนี้เป็อย่างไร และชื่อเสียงของเขาในสำนักเทียนอี้ดังมากขนาดไหน และในเวลาเดียวกัน วันประลองของเขาและเฮยม่อก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ