ไม่ง่ายกว่าวัตถุดิบที่หนิงมู่ฉือต้มจะหายร้อน นางหยิบเห็ดหอมอย่างดีมาจากด้านข้าง นำไปแช่น้ำ จากนั้นเด็ดขาเห็ดออกให้เหลือแต่ส่วนหัว
โค่วซานซือคืออาหารที่ทดสอบฝีมือการใช้มีดของคนทำ นั่นคือการนำหน่อไม้ เนื้ออกไก่ และขาหมูมาซอยให้เป็เส้นเล็กๆ ขนาดเท่าเข็ม
นางหั่นหน่อไม้เป็ชิ้นบาง ก่อนจะนำมาซอยเป็เส้นเล็กๆ อีกรอบ แม้การเคลื่อนไหวจะดูอ่อนโยน หากความแข็งแกร่งของข้อมือก็เป็สิ่งสำคัญเช่นกัน ใช้เวลาไม่นาน นางก็ซอยหน่อไม้เป็เส้นเล็กๆ เสร็จ
เฉินเหว่ยได้ยินเสียงมีดจึงรีบวิ่งเข้ามาดูในห้องครัว มองหน่อไม้ที่ถูกซอยเป็เส้นเล็กๆ ตาโตอย่างตกตะลึง
“คุณหนูใช้มีดได้เก่งมาก ข้าแทบไม่อยากจะเชื่อ การจะใช้มีดได้เยี่ยงนี้อย่างน้อยต้องใช้เวลาฝึกสามถึงห้าปี คุณหนูทำได้อย่างไร” เฉินเหว่ยมองหนิงมู่ฉืออย่างสงสัย แม้นฮูหยินซั่งกวนจะชอบทำอาหาร แต่อาหารเช่นโค่วซานซือ ฮูหยินซั่งกวนยังเคยทำล้มเหลวมาแล้วหลายครั้ง เขามองหนิงมู่ฉือที่ทำอย่างคล่องแคล่วและสบายๆ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจ
หนิงมู่ฉือหาได้มีท่าทีใดจากคำพูดของเฉินเหว่ยไม่ ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าแค่มีพร์ในการทำอาหารเท่านั้น ไม่เห็นมีเื่ใดน่าแปลกเลย”
นางนำอกไก่ขึ้นมา ก่อนจะนำมาหั่นซอยเป็เส้นเล็กๆ การใช้มีดได้ถึงขั้นนี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ การใช้มีดของหนิงมู่ฉือคล่องแคล่วว่องไวเสียจนคนที่มองอยู่แทบตาลาย
“เนื่องจากวัตถุดิบมีความพิเศษ ข้าถึงต้องหั่นเช่นนี้ เพียงแต่การหั่นเช่นนี้ก็ทำให้เหนื่อยเหมือนกันนะ”
หนิงมู่ฉือถอนหายใจออกมา เริ่มรับรู้ได้ถึงอาการปวดที่ข้อมือ นางสะกดความปวดลงไป ก่อนจะเริ่มหั่นไก่ต่อ
นางนำเนื้ออกไก่ที่ซอยเสร็จเรียบร้อยไปวางทับหน่อไม้ การวัดการใช้มีดของการทำโค่วซานซือคือต้องวางแล้วสามารถเกาะรวมกันได้โดยไม่แตกออก แม้จะอยู่ในน้ำก็สามารถวางเกาะอยู่ด้วยกันได้คล้ายดอกเบญจมาศ ไม่แตกออกถึงจะถือว่าทำสำเร็จ
นางนำขาหมูที่ต้มเสร็จแล้วออกมา นำมาซอยเป็เส้นเล็กๆ แบบเดียวกับที่ทำกับเนื้ออกไก่ ไม่นานก็เสร็จ จากนั้นนำไปวางทับเนื้ออกไก่ที่ถูกวางอยู่ในถ้วยอีกที
ส่วนเห็ดหอมถูกจัดวางลงบนก้นถ้วย
นางมองผลงานอย่างพออกพอใจ ก่อนจะหันไปส่งสายตาได้ใจให้เฉินเหว่ย “ท่านอาเฉิน โค่วซานซือของข้าถือว่าใช้ได้หรือไม่”
แม้เฉินเหว่ยจะไม่เคยทานโค่วซานซือมาก่อน แต่ดูจากฝีมือการใช้มีดของหนิงมู่ฉือ เพียงแค่นี้ก็อดที่จะยกนิ้วโป้งชมเชยไม่ได้แล้ว “สุดยอดมาก!”
หนิงมู่ฉือนำถ้วยโค่วซานซือวางลงในลังถึง ก่อนจะจุดไฟเพื่อนึ่งอีกรอบ จากนั้นหันไปมองเฉินเกอและจ้าวซีเหอที่ซึ่งยังคงต่อสู้กันบนเสาดอกเหมยด้านนอก
เฉินเกอพุ่งหมัดใส่จ้าวซีเหอ จ้าวซีเหอหลบได้ทัน แต่ก็เกือบตกจากเสาดอกเหมย เมื่อทรงตัวได้ก็ถูกเฉินเกอผลักอีกรอบ โชคดีที่ขาเขาแข็งแรงจึงยังคงสามารถยืนอยู่บนเสาดอกเหมยได้ ไม่ร่วงตกลงไปเสียก่อน
จ้าวซีเหอมองเฉินเกออย่างขุ่นเคือง “เ้านี่ คิดจะโกงหรือ!”
เฉินเกอยิ้ม ผิวสีคล้ำยิ่งทำให้เ้าตัวดูเป็บุรุษที่ทระนงองอาจยิ่งขึ้น “วิธีนี้เป็ท่านที่สอนข้าเองนะ”
“ยังเหลือเวลาอีกครึ่งก้านธูป ข้าจะทำให้เ้าตกลงไปภายในครึ่งก้านธูปนี้ให้ได้” จ้าวซีเหอเอ่ยอย่างแค้นใจ ก่อนที่สีหน้าจะเคร่งขรึม แม้ภายนอกจะดูดุดัน ทว่าที่หน้าผากมีเหงื่อไหลซึมออกมาไม่หยุด
เฉินเกอหายใจอย่างแรงด้วยความเหนื่อยหอบ “ถึงตอนนั้นใครจะเป็คนตกลงไปกันแน่ก็ยังไม่รู้เลย ท่านอย่าได้พูดจามั่นใจในตัวเองเกินไปนัก” เอ่ยจบก็พุ่งหมัดไปที่จ้าวซีเหอ คาดไม่ถึงว่าจ้าวซีเหอจะย่อตัวหลบ แล้วชกหมัดสวนกลับเข้าที่ท้อง
เฉินเกอไม่ทันได้ตั้งตัวจึงหลบไม่ทัน ถูกชกเข้าที่ท้องอย่างแรง รู้สึกโมโหยิ่ง ทั้งเกือบจะต้องตกจากเสาดอกเหมยอีกด้วย
“ดีมาก!” เฉินเหว่ยเห็นเช่นนั้นลุกขึ้นยืนอย่างชอบอกชอบใจ พร้อมทั้งเอ่ยปากชมว่าดีไม่หยุด
โดยไม่ทันสังเกตเลยว่า สีหน้าของเฉินเกอเปลี่ยนเป็ดูไม่ดีนัก ดูท่าหมัดเมื่อสักครู่ของจ้าวซีเหอจะแรงไม่น้อย
เฉินเกอออกหมัดไปอย่างแรงและรวดเร็วประดุจสายลม เขาโมโหจนเส้นเืปูดโปนที่คอ
เมื่อเห็นว่าใกล้จะครบเวลาหนึ่งก้านธูป ทั้งสองคนยิ่งต่อสู้กันอย่างดุเดือดมากขึ้น หนิงมู่ฉือเหม่อมองทั้งสองคนต่อสู้กันจากในห้องครัว
จ้าวซีเหอหันไปมองหนิงมู่ฉือ ก่อนจะเอ่ยว่า “หนิงมู่ฉือ ส่งเสียงเป็กำลังใจให้ข้าที”
“ข้าไม่อนุญาต!” เฉินเกอะโสวนกลับมา ถลึงตาจ้องจ้าวซีเหอเขม็ง
เฉินเหว่ยมองทั้งสามด้วยแววตาลุ่มลึก คุณหนูของเขานี่เสน่ห์แรงจริงๆ การที่ชายหนุ่มทั้งสองคนต่อสู้อย่างเอาเป็เอาตายเหงื่อไหลไคลย้อยเช่นนี้ คุณหนูของเขาหนีไม่พ้นต้องเกี่ยวข้องด้วยเป็แน่
“ทั้งสองคนเลิกสู้กันได้แล้ว” หนิงมู่ฉือถอนหายใจออกมาอย่างแรง สีหน้าเต็มไปด้วยความร้อนใจ คิ้วขมวดเป็ปมแน่น
เฉินเหว่ยส่ายหน้า เขาไม่เข้าใจคนหนุ่มสาวเหล่านี้เลยจริงๆ
หนิงมู่ฉือคาดว่าป่านนี้โค่วซานซือของนางน่าจะสุกได้ที่แล้ว การต่อสู้ของทั้งสองคนทำให้นางต้องทานอาหารช้าไม่น้อย นางรีบเดินกลับเข้าไปในห้องครัว นำถ้วยโค่วซานซืออกมาจากลังถึงอย่างระมัดระวัง
นางตักน้ำแกงไก่ที่นางตั้งใจเคี่ยวอย่างดีใส่จาน วางคว่ำถ้วยโค่วซานซือไว้ตรงกลาง แล้วค่อยๆ ยกออก ทั้งหน่อไม้ เนื้ออกไก่และขาหมูยังคงวางเกาะกลุ่มกันไม่แตกออก
กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยโชยออกมาจากห้องครัว ปลุกความหิวของทั้งสามคนได้เป็อย่างดี การต่อสู้ในตอนนี้กำลังเป็ไปอย่างดุเดือด ทว่าทันทีที่เฉินเหว่ยได้กลิ่นหอมของอาหารก็ไม่สนใจที่จะดูการต่อสู้อีก รีบเดินเข้าไปในห้องครัว มองโค่วซานซือที่จัดวางใส่จานอย่างสวยงามพร้อมกับท้องที่ส่งเสียงร้องออกมา
เฉินเกอและจ้าวซีเหอได้กลิ่นหอมของอาหารเช่นกัน จ้าวซีเหอรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างมากและไม่อยากจะต่อสู้อีกต่อไปแล้ว ขณะกำลังจะล้มเลิกการต่อสู้ คาดไม่ถึงว่าจะถูกเฉินเกอพูดจายั่วยุท้าทายเสียก่อนว่า “ว่าอย่างไร กลัวหรือ ไม่กล้าแล้วหรือ”
จ้าวซีเหอขยับศีรษะหลบหมัดของเฉินเกอที่ชกออกมา “ข้าแค่ได้กลิ่นหอมของอาหารที่ฉือเอ๋อร์ทำแล้วรู้สึกหิวเท่านั้น”
“ห้ามคิดมากแล้วก็ห้ามใจลอยด้วย!” แม้สีหน้าเฉินเกอจะเรียบเฉย หากใจของเขาก็ถูกกลิ่นหอมของอาหารของหนิงมู่ฉือรบกวนเช่นกัน
เขาอาศัยจังหวะที่จ้าวซีเหอไม่ทันตั้งตัวนี้ผลักจ้าวซีเหอ ทำให้อีกฝ่ายตกจากเสาดอกเหมยลงไปกองกับพื้น เขาเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะพลางเอ่ย “ท่านแพ้แล้ว”