ผู้ฝากเงินที่ซื้อพันธบัตรรัฐบาลได้เท่านั้นถึงจะนับว่าเป็ลูกค้าคุณภาพสูงในสายตาของผู้จัดการใหญ่อู่
หากไม่ซื้อพันธบัตรรัฐบาล แม้ฝากเงินหลักแสนในบัญชีของสาขา ก็เป็แค่การเสร็จสิ้นภารกิจดึงดูดเงินออมส่วนหนึ่งเท่านั้น อย่างไรก็ตาม งานขายพันธบัตรรัฐบาลยากกว่างานเชิญชวนให้ออมเงินยิ่งนัก ทั้งสองอย่างไม่ใช่ระดับเดียวกันโดยสิ้นเชิง ยุคนี้พอผู้คนมีเงินในมือเล็กน้อยก็เลือกฝากธนาคารเป็อันดับแรก เมื่อได้รับเงินเดือนก็จะนำออกมาส่วนหนึ่งก่อน ฝากทีละน้อยและถอนเป็เงินก้อนใหญ่ กระทั่ง 5 หยวนก็ฝากเข้าธนาคารได้ สำหรับครอบครัวพนักงานในเมืองธรรมดา เงินจะถูกเก็บออมอย่างค่อยเป็ค่อยไปเช่นนี้
ฝากในธนาคารจะไม่สูญหายเพราะไม่โดนขโมย
อีกทั้งฝากในธนาคารมีดอกเบี้ยอีกด้วย
นอกจากนี้การฝากเงินยังสามารถช่วยสนับสนุนการสร้างชาติได้
คนทั่วไปล้วนรู้ว่าการฝากเงินมีข้อดีมากมายขนาดนี้ ผู้จัดการใหญ่อู่ไม่จำเป็ต้องกังวลเกี่ยวกับภารกิจเชิญชวนให้มาฝากเงินอะไรเลย ไม่มีเซี่ยเสี่ยวหลานมาฝากเงิน ก็มีคนอื่นมาฝากอยู่ดี เพียงแต่จำนวนเงินของคนอื่นไม่ได้เยอะเท่านี้ อย่างไรก็ตามหยดน้ำรวมกันย่อมกลายเป็แม่น้ำ ผู้ฝากรายย่อยหลักร้อยหลักพันสามารถช่วยงานที่ได้รับมอบหมายของสาขาให้สำเร็จได้ ทว่าถ้าไม่มีเซี่ยเสี่ยวหลานซื้อพันธบัตรรัฐบาล การที่ผู้จัดการใหญ่อู่จะหาลูกค้ามีเงินผู้แสนซื่อรายอื่นอีกนั้นเป็เื่ยากยิ่งนัก
ส่วนเหล่าหน่วยงานที่้ากู้สินเชื่อจะซื้อพันธบัตรรัฐบาลภายใต้การโน้มน้าวของผู้จัดการใหญ่อู่
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้กู้สินเชื่อ แต่กลับขอซื้อด้วยตนเอง ผู้จัดการใหญ่อู่ย่อมรู้สึกยินดีปรีดา
ซื้อเพิ่มอีก 3000 หยวน?
ดังนั้นรวมกันแล้วก็เป็พันธบัตรรัฐบาลมูลค่า 6000 หยวนน่ะสิ
ผู้จัดการใหญ่อู่มองเห็นศักยภาพมหึมาจากเซี่ยเสี่ยวหลาน ตอนนี้เธอมีกำลังซื้อหกพัน ในอนาคตก็คงสามารถซื้อหกหมื่นได้!
การช่วยลูกค้าชั้นดีขจัดความกังวลเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่สิ่งที่สมควรทำหรอกรึ ผู้จัดการใหญ่อู่นึกว่าเป็ธุระใหญ่โตอะไรที่ทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานถึงกับเสนอตัวซื้อพันธบัตรรัฐบาลด้วยตนเองเสียอีก... คาดไม่ถึงว่าแค่ซื้อบ้าน?
“ซื่อเหอเยวี่ยนภายในวงแหวนสอง [1] เธอถามว่าเงื่อนไขนี้สูงเกินไปหรือเปล่าน่ะรึ? ไม่สูงๆ นี่ไม่ได้ล้อเล่นกันใช่หรือไม่ บ้านที่อยู่นอกวงแหวนสองมันห่างไกลพอสมควรเชียวนะ!”
เขตไห่เตี้ยนก็ถือว่าไกลไม่แพ้กัน
พื้นที่มหาวิทยาลัยหัวชิงอยู่ในเขตชานเมืองด้วยซ้ำ
ได้ยินน้ำเสียงที่ผู้จัดการใหญ่อู่พูดว่ารอบนอกวงแหวนสองถือเป็เขตชานเมืองทั้งหมด เซี่ยเสี่ยวหลานทำได้เพียงฟังอย่างเงียบๆ ไม่ได้อธิบายอะไร
ด้วยลักษณะการพูดเชิงรังเกียจแบบนี้ ในอีก 30 ปีข้างหน้าจะโดนฝูงชนรุมทุบตีแน่นอน หากบ้านในเขตนอกวงแหวนสองไม่คุ้มค่าพอที่จะซื้อ เช่นนั้นคนที่ซื้อบ้านในทงโจว หรือคนที่ทำงานในตัวเมืองปักกิ่งแต่ซื้อบ้านในมณฑลจี้เป่ยเล่าจะทำอย่างไร?
บ้านในเขตไห่เตี้ยนมีศักยภาพในการลงทุนมากเหมือนกัน เอาไว้อาศัยเองก็สะดวกดี ถ้าไม่เกิดเหตุเหนือความคาดหมายใดขึ้นเซี่ยเสี่ยวหลานยังต้องเรียนในหัวชิงอีก 5 ปี ดังนั้นเธอจึงขอให้ผู้จัดการใหญ่อู่ช่วยจับตาดูพร้อมกันเสียเลย
ปัจจุบันแม้ปักกิ่งจะยังไม่มีการซื้อขายบ้านเชิงพาณิชย์ แต่เื่ซื้อขายบ้านเป็การส่วนตัวเช่นนี้ก็ไม่ใช่กรณีหายากแต่อย่างใด
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้จำกัดแค่บ้านรูปแบบซื่อเหอเยวี่ยน เนื่องจากปัจจุบันสิ่งที่ซื้อขายได้ไม่ใช่อาคารที่อยู่อาศัยของหน่วยงาน จึงทำได้เพียงซื้อขาย ‘มรดกตกทอด’ ที่ถูกส่งคืนอย่างซื่อเหอเยวี่ยน โดยจะสามารถซื้อขายได้ก็ต่อเมื่อกรรมสิทธิ์เป็ของส่วนบุคคลเท่านั้น จะให้เธอค่อยๆ ไปตามหาด้วยตัวเองนั้นย่อมไม่มีปัญหา ทว่าความยุ่งยากสำหรับคนต่างถิ่นก็คือได้รับข้อมูลไม่ทั่วถึง การขอให้ผู้จัดการใหญ่อู่ช่วยมีประสิทธิภาพสูงกว่าให้เซี่ยเสี่ยวหลานจัดการเองอย่างแน่นอน
เธอขอให้ผู้จัดการใหญ่อู่หาบ้านเผื่อไว้หลายหลัง
ผู้จัดการใหญ่อู่คิดว่าเธอจะเก็บไว้เลือก ซื้อผักหนึ่งกำยังต้องเลือกสักหน่อยเลย ซื้อบ้านย่อมทำเช่นนี้เหมือนกันนับว่าเป็เื่ธรรมดา
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้อธิบาย
หากมีบ้านที่เหมาะเจาะ เธออยากชักชวนหลิวหย่งลุงของเธอให้ซื้อด้วยสักหลัง ในเผิงเฉิง ‘หย่วนฮุย’ พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตราบเท่าที่มีงานให้รับ หลิวหย่งก็สามารถหาเงินได้ งานตกแต่งบ้านพักรับรองทำให้หลิวหย่งได้รับเงินก้อนโต แม้กำไรจะถูกแบ่งให้เซี่ยเสี่ยวหลานครึ่งหนึ่ง อีกทั้งยังต้องนำเงินบางส่วนไปลงทุนในร้านค้าวัสดุ ทว่าการดึงออกมาหลายหมื่นหยวนเพื่อซื้อบ้าน หลิวหย่งยังพอจ่ายไหว
นอกจากนี้การจะซื้ออสังหาริมทรัพย์ในซางตูก็ไม่ขัดกับการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในปักกิ่ง
และยังมีข้อความที่โจวเฉิงบอกในจดหมายด้วย เขาจะหยุดธุรกิจค้าบุหรี่ ตอนนี้จึงมีเงินทุนก้อนใหญ่ที่เก็บไว้เฉยๆ สอบถามเซี่ยเสี่ยวหลานว่าควรทำอย่างไรดี
เซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่รู้ว่า ‘ก้อนใหญ่’ ที่เขากล่าวมันคือเงินจำนวนเท่าไรกันแน่ แต่ก่อนหน้านี้โจวเฉิงเคยพูดว่าสามารถเลือกรถยนต์ราคาไม่เกินสองแสนได้ตามใจชอบ คิดๆ แล้วทรัพย์สินคงหนากว่าเซี่ยเสี่ยวหลานอยูโข ใช้ซื้อบ้านทั้งหมด? ปักกิ่งมีบ้านจำหน่ายเยอะขนาดนี้เชียวหรือ?
เซี่ยเสี่ยวหลานตัดสินใจเื่นี้คนเดียวไม่ได้ เธอครุ่นคิดโดยละเอียด ตอนพบกันครั้งหน้าค่อยแนะนำโจวเฉิงอีกทีก็แล้วกัน
วันหยุดสุดสัปดาห์ถูกกำหนดไว้ว่าจะยุ่งมาก คังเหว่ยเดินทางกลับปักกิ่ง โดยเขาเข้าปักกิ่งพร้อมกับเฉินซีเหลียง
นับั้แ่ออกจากเผิงเฉิงในเดือนสิงหาคม เซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่ได้เจอคังเหว่ยเลย
ตอนนี้คังเหว่ยผิวเข้มกว่าตอนปลายเดือนสิงหาคม ท่าทางก็ดูกระฉับกระเฉงยิ่งนัก หลังจากมีส่วนร่วมในการเตรียมพร้อมร้านค้าวัสดุตลอดทั้งกระบวนการ คังเหว่ยดูเป็ผู้ใหญ่เต็มตัวกว่าตอนแรกพบเมื่อปีที่แล้วอยู่ไม่น้อย เซี่ยเสี่ยวหลานเองก็มีความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เช่นกัน ผู้คนรอบข้างเธอที่เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ไม่ได้มีแค่คังเหว่ยเท่านั้น
“ยอดขายร้านค้าวัสดุเป็อย่างไรบ้าง?”
“พอไหว ฉันว่าสักหนึ่งปีกว่า ก็น่าจะเอาเงินทุนของพวกเรากลับคืนมาได้ ผ่านปีหน้าไปจะเป็กำไรล้วนอย่างแน่นอน”
ร้านค้าวัสดุตกแต่งภายในที่ลงทุนใหญ่ขนาดนี้เหมือนจะมีให้เห็นไม่มากนัก ลงทุนไปสองแสน เก็บต้นทุนคืนกลับมาภายในหนึ่งปีกว่าได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว เื่นี้เหล่าผู้ถือหุ้นทั้งหลายล้วนรู้อยู่แก่ใจ ว่าจะไม่ได้เงินไวอย่างการจำหน่ายเสื้อผ้า ทว่าเมื่อเปิดตลาดสำเร็จ ด้วยความเร็วในการก่อสร้างของเผิงเฉิง เงินที่ร้านค้าวัสดุจะได้อาจเป็เงินจำนวนมหาศาลยิ่งกว่าการจำหน่ายเสื้อผ้าเสียอีก
เฉินซีเหลียงรู้สึกอิจฉาตาร้อน
เขาคิดว่าธุรกิจที่เซี่ยเสี่ยวหลานเลือกจะต้องไม่เกิดความผิดพลาดอย่างแน่นอน แต่เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ชวนเขาเข้าร่วมลงทุน ดังนั้นเฉินซีเหลียงไม่อาจแจ้นไปพูดเองได้
นอกจากนี้ เขามีความมั่นใจที่จะทำเสื้อผ้ามากกว่า นี่คืองานดั้งเดิมของเฉินซีเหลียง เขาค่อนข้างมั่นใจกับการวนเวียนในธุรกิจเครื่องแต่งกาย อย่างไรโลกนี้ก็มีเงินให้หาไม่รู้จบ เอาเป็ว่าสร้างเงินจากธุรกิจเสื้อผ้านี่ก่อนดีกว่า
เฉินซีเหลียงมาปักกิ่งเพื่อพบบรรณาธิการของ 《ภาพยนตร์ดัง》 เสื้อนอกขนแพะที่ยังคงค้างในคลัง เขา้านำเสี่ยวเซิง [2] ผู้ได้รับความนิยมที่ตนเล็งไว้ขึ้นปก 《ภาพยนตร์ดัง》 ทางที่ดีควรเสริมบทสัมภาษณ์พิเศษด้วย เท่านี้ก็นับว่าปลอดภัยหายห่วงแล้ว
ขณะฟังเฉินซีเหลียงเล่าความคิดของตัวเองอย่างตื่นเต้น เซี่ยเสี่ยวหลานยังสงสัยว่าเธอทำถูกต้องหรือไม่ที่เตะเถ้าแก่เฉินเข้าวงการโทรทัศน์ก่อนเวลา
พ่อค้าส่งเสื้อผ้าคนหนึ่งเริ่มคิดจะกำกับหน้าปกและบทสัมภาษณ์พิเศษของ 《ภาพยนตร์ดัง》 แล้ว?
เพียงเพื่อขายเสื้อผ้า เฉินซีเหลียงสู้สุดใจเหลือเกิน การที่พ่อค้าส่งคนนี้ประสบความสำเร็จได้นั้นย่อมมีสาเหตุ!
เฉินซีเหลียงถามเซี่ยเสี่ยวหลานว่าอยากไปชมกองบรรณาธิการของ 《ภาพยนตร์ดัง》 หรือไม่ เซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่ได้ตอบตกลง ก็มีคนมาหาเธอเสียก่อน—กลับเป็คนที่คาดไม่ถึงเสียได้ ทังหงเอินมาประชุมในปักกิ่ง เขามาถึงแทบจะพร้อมกันกับพวกคังเหว่ยทั้งสองคน เขาถามเซี่ยเสี่ยวหลานว่าพอจะมีเวลาหรือเปล่า เขา้ากินข้าวด้วยกันกับเธอสักมื้อ
คนที่มาแจ้งเซี่ยเสี่ยวหลานคือสารถีเสี่ยวหวัง
เฉินซีเหลียงเงียบลงราวกับจักจั่นในฤดูหนาว “เธอมีธุระนี่นา เื่เล็กแบบนี้ ฉันไปกองบรรณาธิการเองก็ได้”
ผู้บริหารบ้านเมืองระดับสูงจะรับประทานอาหารกับเซี่ยเสี่ยวหลาน แน่นอนว่าไม่มีโอกาสตกถึงพ่อค้าส่งคนหนึ่งอย่างเขาหรอก เฉินซีเหลียงรู้จักเสี่ยวหวังได้อย่างไร ในวันที่ ‘อันเจียวัสดุ’ เปิดกิจการ เสี่ยวหวังมาส่งกระเช้าดอกไม้แทนเ้านายน่ะสิ
อย่างไรก็ตาม เส้นสายของเซี่ยเสี่ยวหลานเหนียวแน่นเพียงใด ทุกวันนี้เฉินซีเหลียงยังไม่เข้าใจอย่างชัดแจ้ง
คังเหว่ยเองก็จะกลับบ้านเช่นกัน ในเมื่อนายกเทศมนตรีทังจะกินข้าวกับพี่สะใภ้ คังเหว่ยจึงเลือกรวมตัวกันใหม่อีกครั้งวันหลัง
เซี่ยเสี่ยวหลานแค่เรียนหนังสือในหัวชิงเท่านั้น แต่กลับทำเอากลายเป็สำนักงานผู้แทนเผิงเฉิง ณ กรุงปักกิ่งเสียนี่ ในหนึ่งวันมีคนมากมายขนาดนี้มาจากเผิงเฉิง และมาพบเธอเป็คนแรก!
“คุณอาทังอยากกินข้าวที่ไหนหรือคะ?”
เสี่ยวหวังยิ้มแย้มแจ่มใส “หัวหน้าบอกว่ากินของง่ายๆ ในมหาวิทยาลัยหัวชิงก็พอ”
นี่หมายความว่าตั้งใจมาเพื่อรับประทานอาหารกับเธอ อีกทั้งอำนวยความสะดวกให้เธอโดยเลือกรับประทานในมหาวิทยาลัยหัวชิง? ต่อให้เธอเป็ผู้รับผิดชอบของสำนักงานผู้แทนเผิงเฉิง ณ กรุงปักกิ่งจริง ก็ไม่ได้รับเกียรติเช่นนี้หรอก!
เชิงอรรถ
[1]二环 วงแหวนสอง คือ ถนนวงแหวนรอบเมืองที่สอง ค่อนข้างใกล้ใจกลางเมืองกรุงปักกิ่ง
[2]小生 เสี่ยวเซิง คือ บทบาทในอุปรากรจีน เป็บทย่อยของ 生 เซิง ซึ่งเซิงก็คือบทตัวละครชายทั้งหลาย โดยเสี่ยวเซิงแสดงถึงตัวละครชายหนุ่มวัยรุ่น บทเสี่ยวเซิงนั้นจะไม่ใส่หนวดเครา ร้องและพูดด้วยเสียงเทเนอร์ผสมกับเสียงหลบ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้