ชายหนุ่มใบหน้ากลมรูปร่างค่อนข้างท้วมเดินเข้ามาภายในศาลาที่กู้จิ่งเหยียนนั่งอยู่ เพราะความไม่ชอบให้ผู้ใดจับจ้องทำให้เขาไล่ให้บ่าวรับใช้ออกห่างจากที่นี่ กู้จิ่งเหยียนที่ก้มหน้าอ่านตำราในมือเงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อย ก่อนจะละความสนใจจากเขาหันไปอ่านหนังสือต่อ หยุนเจี้ยนเจี๋ย บุตรชายของราชเลขาหยุนและยังเป็น้องชายเพียงคนเดียวของหยุนหนิงหลงพระชายารัชทายาท เมื่อมีครอบครัวคอยหนุนหลังทำให้เขาเย่อหยิ่งไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตา อีกอย่างองค์รัชทายาทเฮ่อเหวินเจ๋อเป็พระโอรสองค์เดียวของราชวงศ์ ทำให้ขุนนางในราชสำนักต่างก็ให้ความสำคัญกับเขา และแน่นอนว่าความสำคัญนั้นย่อมต้องเผื่อแผ่ไปยังครอบครัวของพระชายาด้วย
“เ้ากล้าไม่สนใจตอบคำถามของข้าอย่างนั้นหรือ เ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือผู้ใด ทั้งเมืองหลวงแห่งนี้ไม่มีใครไม่รู้จักข้า หยุนเจี้ยนเจี๋ยผู้นี้ไม่ว่าจะไปที่ใดทุกคนก็ต้องคุกเข่าให้ เ้าเป็ใครถึงได้กล้าเมินเฉย”
เสียงร้องเย้วๆ อย่างไม่พอใจดังขึ้นข้างหูทำให้กู้จิ่งเหยียนรู้สึกรำคาญ เขาจึงเข็นรถเข็นออกจากศาลาไป แต่กลับถูกหยุนเจี้ยนเจี๋ยและบ่าวรับใช้สองคนขวางเอาไว้
“ข้าบอกให้เ้าจากไปได้แล้วหรือ เด็กๆ จับมันมาคุกเข่าต่อหน้าข้า สั่งสอนเ้าคนที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงคนนี้เสีย วันนี้ข้าจะทำให้เขารู้ว่าข้าเป็ใคร ทำให้มันได้รู้สำนึกว่าถ้าเมินเฉยต่อน้องชายของพระชายารัชทายาทจะต้องถูกลงโทษอย่างไร จัดการเ้าง่อยคนนี้!! ทุบตีมันให้ตายมันจะได้ไม่กล้าลุกขึ้นมาเผยออีก ทุบตีมันเข้าไป!! ทุบตีมันจนกว่ามันจะร้องขอชีวิต”
บ่าวรับใช้ชายที่ตามมาสองคนผลักรถเข็นของกู้จิ่งเหยียนจนล้มจากนั้นจึงลากเขาออกมาและเตะต่อยชายหนุ่มที่กำลังนอนตะแคงขดตัวอยู่ที่พื้น กู้จิ่งเหยียนมองคนทั้งสามด้วยดวงตาแดงก่ำราวกับจะกินเืกินเนื้อ เขากัดฟันอดทนเอาไว้โดยที่ไม่ร้องออกมาสักแอะ เพราะความแค้นของเขานั้นไม่ใช่อะไรที่เรียบง่ายเพียงแค่ขอโทษและจะจบกันไป เขาจะกลับไปคิดบัญชีกับคนพวกนี้ทีหลังอย่างแน่นอน หลังจากทำร้ายร่างกายของอีกฝ่ายจนพอใจ หยุนเจี้ยนเจี๋ยก็ถุยน้ำลายใส่ร่างที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นก่อนที่จะพาบ่าวทั้งสองเดินจากไป จากนั้นไม่นานบ่าวที่คอยติดตามกู้จิ่งเหยียนก็เดินออกมาจากด้านหลังต้นไม้ เขารีบพยุงร่างที่บอบช้ำของชายหนุ่มขึ้น พร้อมกับยกรถเข็นที่พังไม่เหลือชินดีขึ้นมา
“ห้ามบอกเื่นี้กับองค์รัชทายาทหรือผู้ใดเด็ดขาด ถ้าเื่นี้ถูกแพร่ออกไปเ้าจะเป็คนแรกที่ข้าจะจัดการ”
กู้จิ่งเหยียนเอ่ยลอดไรฟัน ก่อนสั่งให้บ่าวชายผู้นั้นพยุงตนเองกลับไปยังเรือนรับรอง สามวันต่อมา ข่าวลือที่ฮองเฮาพบตัวองค์ชายคนที่สองที่หายตัวไปั้แ่ยังเป็ทารกก็ได้เผยแพร่สู่ประชาชนแคว้นจิ้น งานเลี้ยงเปิดตัวภายในวังหลวงได้ถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในเมืองหลวงเองก็ถูกประดับประดาโคมไฟมากมายราวกับมีงานเทศกาลประจำปี งานนี้พระนางเซี่ยฮองเฮาเป็ผู้ลงมือสั่งการด้วยตนเอง เพราะนาง้าที่จะทำเพื่อบุตรชายที่หายตัวไปถึงยี่สิบสามปีของตน เวลานี้เขากลับคืนสู่ฐานะเดิมของตนแล้ว ดังนั้นเขาจะต้องได้กลับมาอย่างยิ่งใหญ่สมฐานะของเชื้อพระวงศ์แคว้นจิ้น
เสียงขันทีขานดังขึ้นที่หน้าประตูทางเข้า ร่างสูงใหญ่กำยำของฮ่องเต้เฮ่อเหวินซุนหลงและร่างบอบบางของฮองเฮาเซี่ยฉางเยว่เดินเข้ามาภายในงานเลี้ยงพร้อมกันอย่างสง่างาม ด้านหลังมีองค์รัชทายาทเฮ่อเหวินเจ๋อที่กำลังเข็นรถเข็นเข้ามาภายในโถงงานเลี้ยง เหล่าขุนนางและครอบครัวที่เข้าร่วมงานเลี้ยง มีั้แ่ขุนนางขั้นสี่ขึ้นไปจนถึงเหล่าเชื้อพระวงศ์และองค์หญิงต่างก็ลุกขึ้นยืนถวายพระพรพร้อมกันเพื่อเป็เกียรติแก่ราชวงศ์ แต่มีคนผู้หนึ่งที่เมื่อได้เห็นใบหน้าของกู้จิ่งเหยียนแล้วหน้าของเขาก็ซีดเผือดขึ้นมาทันที ร่างท้วมเซไปด้านข้างจนไม่สามารถประคองตนเองเอาไว้ได้
“เป็อะไรไปอย่างนั้นหรือเจี๋ยเอ๋อ รีบลุกขึ้นเร็วเข้าอย่าได้เสียมารยาทต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าา”
ราชเลขาหยุนผู้เป็บิดาดุบุตรชายเสียงเบาก่อนที่จะดึงเขาให้ลุกขึ้นยืน เพราะตามใจบุตรชายผู้นี้มาโดยตลอดจึงมิได้ดุเขาอย่างจริงจังนัก แต่เวลานี้หยุนเจี้ยนเจี๋ยไม่มีแรงเหลืออยู่แล้ว หลังจากที่ได้รู้ว่าคนที่ตนเองพึ่งจะทุบตีไปเมื่อสองวันก่อนเป็ผู้ใด ใบหน้ากลมมนรีบก้มหน้าลนลานเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะจดจำตนเองได้
“รีบหลบหน้าไปไยเล่า มิใช่เ้าเคยบอกว่าในเมืองหลวงแห่งนี้เ้าใหญ่ที่สุดไม่ว่าผู้ใดก็ต้องคุกเขาให้อย่างนั้นหรือ หากไม่เห็นกับตาข้าคงจะเข้าใจผิดว่าบิดาของเ้าเป็ฮ่องเต้หาใช่บิดาข้า”
เสียงทุ้มกังวานเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาเหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ มองไปยังองค์ชายพลัดถิ่นด้วยความสงสัย
“ลูกหมายความว่าอย่างไรเหยียนเอ๋อ”
เป็เซี่ยฮองเฮาผู้ที่รักบุตรชายสุดหัวใจ ร้อนใจจนต้องเดินเข้ามาถามด้วยตนเอง กู้จิ่งเหยียนยกยิ้มเล็กน้อยก่อนชี้นิ้วไปยังร่างท้วมที่ยืนก้มหน้าหลบอยู่ด้านหลังบิดา
“เขาอย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ คนผู้นั้น ไม่กี่วันก่อนเขาได้ร่วมมือกับบ่าวรับใช้ทุบตีลูกที่ศาลาริมสระบัวในตำหนักองค์รัชทายาท ทั้งยังเอ่ยวาจาเหยียดหยามลูกบอกว่าลูกเป็ไอ้ง่อยขาเป๋ เท่านั้นยังไม่พอเขายังพูดว่าตัวเขาไม่ว่าจะเดินไปที่ใดก็ต้องมีผู้คนคุกเข่าให้ เพราะเขาเป็บุตรชายของราชเลขาขุนนางใหญ่และน้องชายของพระชายารัชทายาท ในเมืองหลวงแห่งนี้ตระกูลหยุนของเขาใหญ่ที่สุด”
กู้จิ่งเหยียนเมื่อก่อนที่ยังเป็ขุนนางแคว้นจ้าว เขามิเคยปล่อยให้ใครหรือผู้ใดเหยียดหยามหรือก้าวล่วงตนเองได้ ต่อให้เวลานี้ขาของเขาจะไม่สามารถเดินเหินแต่สมองของเขายังคงทำงานได้เหมือนเดิม ทั้งยังดูจะดีมากกว่าเดิมเสียอีก ดังนั้นวันนี้นอกจากคนที่กล้าเหยียดหยามเขาแล้ว แม้แต่ครอบครัวหรือคนรอบกายของคนผู้นั้นเขาก็จะดึงลงมาให้จมโคลน
