เปลวไฟบนแท่นบูชายังคงลุกโชน ทว่าอ่อนแรงนัก
ยามที่องค์หญิงะโขึ้นมาแล้วตรัสว่าฆ่าทิ้ง เปลวไฟนั้นก็แทบจะมอดดับ
ราชครูน้อยเห็นเช่นนั้นก็แทบจะตาถลนจากเบ้า ใเสียจนแทบหยุดหายใจ
หากว่าไฟบนแท่นบวงสรวงเกิดมอดดับขึ้นมาจริงๆ แคว้นเชินก็คงดับดิ้นเช่นกัน ภารกิจที่ตระกูลจ้งส่งต่อกันมาจากรุ่นต่อรุ่น หากตนทำผิดพลาดความผิดนี้ย่อมมิอาจลบเลือน
เคราะห์ดีที่ฝ่าานั้นไม่ทันสังเกตเห็น
ขณะที่ฝ่าาหมุนกายเตรียมจะจากไป แสงไฟก็พลันมืดลงอีกครั้ง ทว่าก็ยังไม่ดับลง
ร่างของราชครูน้อยแข็งค้างยืนอยู่ที่เดิม เห็นว่าองค์หญิงน้อยหันมากะพริบตาให้ตน ในใจจึงค่อยๆ อบอุ่นขึ้นอีกครั้ง
เขาไม่ได้ทำผิดพลาดอันใด
องค์หญิงก็ตรัสได้ถูกต้อง บัดนี้แคว้นเชินเพิ่งจะมั่นคงขึ้นมา ไม่ควรจะปะทะกับกองทัพแคว้นจิงที่มีอาวุธครบเช่นนี้ แคว้นเชินยังจำเป็ต้องฝึกฝนอีกสักพักหนึ่ง
ผู้คนบนทุ่งหญ้ารกร้างนั้นมิอาจสั่งสอนให้มีการศึกษาได้ ถือเสียว่าให้พวกเขาพลีชีพเพื่อชาติก็แล้วกัน
ใช่แล้ว
คำว่า ‘พลีชีพ’ นี้ถูกต้องนัก
เดิมทีเขายังคิดว่าการ ‘พลีชีพ’ เป็เพียงเื่ที่ใช้ในการสักการะเท่านั้น เพราะการสักการะย่อมใช้เพียงสัตว์ในการบูชา
ทว่าที่องค์หญิงตรัสว่าคนพวกนั้นสมควรตาย ก็คงจะมีความหมายประมาณนี้กระมัง
เพียงแต่จ้งเยียนยังคงนั่งอยู่ลำพังหน้าแท่นบูชานั้น เขาพลันรู้สึกคิดถึงท่านอาจารย์ขึ้นมาเล็กน้อย
คงจะไม่เพียงเล็กน้อย เรียกว่าคิดถึงอย่างถึงที่สุดจะดีกว่า
หากไม่ใช่ว่าวังหลวงแห่งนี้มีองค์หญิงน้อย เขาคงจะรีบหนีไปหาท่านอาจารย์แล้ว
เขาไม่กล้าพูดมันออกมา เขาคิดว่าท่านอาจารย์คงจะสิ้นลมแล้ว ทว่าความจริงแล้วเขายังไม่สิ้นลม คนตระกูลจ้งจะมีเพลิงชีวิตอยู่
แต่เพลิงชีวิตของท่านอาจารย์กลับไม่รู้ไปซ่อนอยู่ที่ใด
ทุกครั้งเขาก็อาศัยการดูเพลิงชีวิตนี้จึงได้รู้ว่าท่านอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นถึงได้มีความกล้าที่จะรอคอยท่านอาจารย์อยู่ในวังแห่งนี้ต่อ
เขาคิดถึงท่านอาจารย์เหลือเกิน
แม้ท่านอาจารย์จะเข้มงวด ทว่าความจริงกลับดียิ่งนัก
ดียิ่งกว่าท่านพ่อของเขาด้วยซ้ำ
เขาไม่ใช่บุตรสายหลักของตระกูลจ้ง ทั้งยังไม่ใช่บุตรคนโต ชีวิตของเขาก่อนจะเข้ามาในวังหลวง มีแต่ความอึดอัด หวาดกลัว และทุกข์ทน
ทว่าท่านอาจารย์กลับเลือกเขา
เมื่อเขาเข้ามาอยู่ในวังหลวงแล้ว นับแต่นั้นกระทั่งท่านแม่ใหญ่ยามเข้าวังก็ยังต้องทำความเคารพเขา
เขารู้สึกเบิกบานเหลือเกิน
ทุกวันของท่านอาจารย์ล้วนแต่วุ่นวาย มีตำราที่ต้องอ่านมากมาย ทว่าอันที่จริงก็ยังคงดีต่อเขานัก แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยจะควบคุมการกระทำของเขา หากเขามีคำถาม ท่านอาจารย์ก็จะรีบตอบทันที เช่นนี้ท่านอาจารย์ก็นับว่าดีต่อเขามากแล้ว
ทว่าองค์หญิงก็ดีต่อเขามากเช่นกัน ดีมากๆ เลยด้วย นางคอยทำให้จ้งเยียนผู้แสนอ้างว้างในวังหลวงได้ััความรู้สึกที่หลากหลาย จนเด็กหนุ่มบังเกิดความรู้สึกชอบพอนางอย่างใสซื่อ
เด็กหนุ่มไม่รู้สึกเสียใจเลยสักนิด
เขายังคงนั่งอยู่หน้าแท่นบูชา แล้วจึงเปิดฝาที่ครอบไว้หน้าแท่นบูชาออก
ทันใดเขาก็เห็นเปลวไฟที่ยังปะทุ
ช่างมืดทะมึนนัก มืดมนเหลือเกิน เปลวไฟนี้ก็คือเพลิงชีวิตของท่านอาจารย์ ดูไม่ต่างกับเปลวไฟบนแท่นบูชา ที่เปลี่ยนเป็หม่นแสงลงเสียแล้ว
จ้งเยียนรีบปิดฝาเป็พัลวัน ขาทั้งสองก็ผงะถอยหลังไปหลายก้าว
ท่านอาจารย์อยู่บนทุ่งหญ้าป่าเถื่อนรึ
ท่านอาจารย์ก็เป็อีกคนหนึ่งที่องค์หญิงน้อยกล่าวว่าควรจะพลีชีพอย่างนั้นหรือ......
ณ ตำหนักจ้าวเหอ
ฮองเฮาจ้าวกำลังสรงน้ำให้พระธิดาด้วยตนเอง
พระธิดาของนางช่างเก่งกาจ ราวกับไม่มีสิ่งใดที่ทำไม่เป็
ถึงขั้นที่สามารถออกแบบธารน้ำร้อนให้เข้ามาในวังได้ จนทำให้นางนั้นสามารถอาบน้ำร้อนได้ตลอดวัน
ในอดีตการอาบน้ำเป็เื่หนึ่งที่ทั้งแสนลำบากและวุ่นวาย
เมื่อมีธารน้ำร้อนเื่นี้ย่อมง่ายดายขึ้นเป็กอง
ยามได้เดินลงไปกลางธารน้ำร้อน ช่างรู้สึกผ่อนคลายสบายกายอย่างถึงที่สุด
อีกทั้งความร้อนและความเย็นของน้ำยังสามารถให้นางกำนัลควบคุมได้
นางเองก็ชอบน้ำที่ร้อนมากหน่อย จึงให้เหล่านางกำนัลต้มให้ร้อนกว่าปกติ
อีกทั้งหากฝ่าาเสด็จมา หากฝ่าาไม่โปรดน้ำร้อน ก็ให้เหล่านางกำนัลต้มน้ำเพียงอุ่นสบายก็พอ
บัดนี้ฮองเฮาจ้าวและพระธิดาได้สรงน้ำอยู่ในสระน้ำร้อนอย่างสนุกสนาน ก่อนจะยกมือขึ้นเกาะขอบสระ พร้อมสองแก้มแดงระเรื่อ ใบหน้ามองแล้วงดงามกว่าหญิงใด
“เสด็จแม่ ทรงพระสิริโฉมงามเหลือเกินเพคะ” องค์หญิงน้อยตรัสออกมาพร้อมรอยยิ้ม
ยามนี้องค์หญิงเพียงสวมใส่อาภรณ์สีขาวเรียบง่าย เรือนผมเปียกไปด้วยไอน้ำ ใบหน้างดงามวิจิตร แตกต่างกับวันธรรมดาที่ดูแล้วเป็ผู้ใหญ่ ยามนี้กลับดูน่ารักมีชีวิตชีวา
ฮองเฮาโปรดท่าทางยามที่ได้สนทนากันเช่นนี้ของพระธิดาที่สุด
เพราะวันปกตินั้นนางมักจะรู้สึกเสมอว่าพระธิดาของตนไม่เหมือนบุตรสาวของตนเลย ราวกับมีปีศาจมาสิงร่างน้อยๆ ของนางก็ไม่ปาน ท่าทางเป็ผู้ใหญ่เสียจนน่ากลัว
ทว่าอีเอ๋อร์นั้นเป็ลูกสาวที่นางให้กำเนิดด้วยตนเอง มิใช่ผีสางที่ใด
หรือบางทีอาจเป็เื่ที่นางกับท่านป้าลงมือทำไปในตอนนั้น ที่ทำให้นางยังกระวนกระวายใจมาจนถึงบัดนี้
ทว่าภาพตรงหน้า พระธิดาของนางก็ยังคงเป็เพียงเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่ง
“หวังเอ๋อร์ทรงโปรดราชครูน้อยหรือไม่” มือของฮองเฮาสางลงไปบนผมที่เปียกชื้นขององค์หญิง ก่อนจะตรัสถาม
องค์หญิงน้อยยามได้ยินเสด็จแม่เรียกตนว่าหวังเอ๋อร์ก็รู้สึกประหลาดทุกครา ราวกับกำลังเรียกเด็กชายคนหนึ่งอยู่ก็ไม่ปาน
ทว่าเมื่อได้ยินคำถามที่เสด็จแม่ตรัสถาม ก็รีบส่ายหน้าโดยพลัน
“ไม่มีทางเพคะ ลูกกับจ้งเยียนเป็เพียงสหายร่วมเรียนเท่านั้น ทั้งเขาก็ยังเป็แค่เด็กคนหนึ่ง” องค์หญิงตรัสแล้วก็พุ่งกายลงไปในน้ำ ก่อนจะเริ่มตีน้ำเล่น
ฮองเฮามองน้ำที่ไหลจากอุ้งมือน้อยๆ นั้น ตรัสขึ้นอย่างนึกขัน “เ้ายังเด็กกว่าจ้งเยียนเสียอีก ยังจะกล้าพูดว่าคนอื่นเป็เด็กอีกหรือ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แม่ขอเตือนเ้าไว้ก่อนว่าราชครูมิอาจสมรสได้ ทั้งแม่ก็ไม่มีวันจะยอมให้เ้ามีความสัมพันธ์กับราชครู”
ฮองเฮาตรัสขึ้นมาอย่างเข้มงวด
รอยยิ้มบนใบหน้าน้อยขององค์หญิงพลันหุบลง นางมิได้รู้สึกอันใดกับจ้งเยียนแม้แต่น้อย เพียงแค่เห็นว่าเขารูปงาม ทั้งในวังหลวงแห่งนี้นางก็ไม่มีสหายคนอื่น เป็คนเหล่านี้ที่คิดมากไปแล้ว
เมื่อเห็นเช่นนั้นนางจึงเล่นน้ำต่อ
ฮองเฮาพลันหลีกกายจากเหล่านางกำนัลซ้ายขวาที่รายล้อมอยู่
เห็นได้ชัดว่าคงมีเื่ด่วนที่อยากจะตรัสถาม
องค์หญิงน้อยที่ยังเล่นน้ำอยู่ เมื่อเล่นไปก็เห็นใบหน้าของเสด็จแม่ตนมาหยุดอยู่ตรงหน้า
“เหตุใดเ้าจึงให้ราชครูน้อยบอกว่าด่านชายแดนมิเป็อันใด ได้ยินมาว่ากองทัพแคว้นจิงพากันบุกเข้ามาแล้ว ทั้งยังมีคนตายอีกนับไม่ถ้วน” ฮองเฮาตรัสถามขึ้นทันใด
มือขององค์หญิงที่ยังอยู่ในน้ำพลันชะงักค้าง
“เสด็จแม่คือคนแคว้นจิง ต่อให้เสด็จแม่ทรงลืมไปแล้ว แต่คนอื่นไม่” องค์หญิงน้อยเมื่อตรัสจบก็ปีนขึ้นมาจากขอบสระ
ก่อนจะหยัดกายขึ้นยืน ก้มมองเสด็จแม่ของตนที่พิงขอบสระอยู่ แววตาของนางแฝงแววเห็นใจ
“เสด็จแม่ ขอแค่เสด็จแม่ใช้ชีวิตให้เกษมสำราญก็พอ ส่วนเื่อื่นๆ ลูกจะจัดการเอง”
เมื่อองค์หญิงกล่าวจบก็แหวกม่านออกไปทันที
……
ณ ด่านชายแดน
อู๋เจียงตาแดงก่ำ ในมือยังคงกำมีดแน่น สายตาจับจ้องกองทัพแคว้นจิงที่กำลังรุกคืบเข้ามา
ด้านหลังมีศพพี่น้องมากมายยังคงเรียงราย ด้านหน้าก็แน่นขนัดด้วยศพของทหารแคว้นจิง รอบกายของเขาแท้จริงแล้วกำลังรายล้อมด้วยศพจำนวนนับไม่ถ้วน
มองจากไกลๆ ก็เห็นทหารแคว้นจิงมากมายกำลังควบม้าพุ่งมาทางเมืองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จึงได้เร่งส่งนายทหารให้เดินทางไปยังเมืองหลวงเพื่อแจ้งข่าว
ทว่าราชสำนักที่รอคอยกลับไม่ได้ส่งกองกำลังมา ส่งมาเพียงจดหมายตำหนิเท่านั้น
์คงอยากจะทำลายแคว้นเชินเสียแล้ว
เหล่าขุนนางที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในเมืองหลวง เพียงแต่ใช้ภาษาสวยหรูเขียนจดหมายตำหนิฉบับหนึ่งมาเท่านั้น สำนวนโวหารอะไรพวกนั้นเขาล้วนไม่เข้าใจ รู้เพียงแค่อ่านแล้วก็รู้สึกว่าไพเราะดี
ทุกประโยคทั้งจับใจ และคล้องจอง
ว่ากันว่าองค์หญิงโปรดกวี บัดนี้ใต้หล้าจึงพากันเรียนบทกวี
เขาแทบจะยืนต่อไม่ไหวแล้ว
แต่จำต้องกำมีดไว้ เพื่อร่างกายจะได้ไม่ล้มลงไป
หยาดเืก็ไหลออกมาตามแนวมีดนั้น ค่อยๆ หยดลงพื้น
มีดเล่มนี้เป็เล่มที่เขาตั้งใจซื้อมา
ความจริงแล้วมันก็คืออาวุธแคว้นจิงที่ทุ่งหญ้าป่าเถื่อนแห่งนี้ลักลอบนำมาขาย
ใช้อาวุธจิงฆ่าทหารจิง ช่างสาแก่ใจนัก!
เขาอยากจะหัวเราะให้ดังลั่น
ทว่ากลับหัวเราะไม่ออก
เขาอยากยืนหยัดอย่างสง่าผ่าเผยมองศัตรูค่อยๆ เคลื่อนทัพมา
หากต้องตาย เขาก็ขอตายบนแผ่นดินมาตุภูมิ
เขาเบิกตาโพลง ยามตายก็ไม่ขอหลับตา ให้ได้รู้ว่าเขานั้นตายอย่างไม่สงบ
ในตอนนั้นเองลูกธนูดอกหนึ่งก็แหวกอากาศพุ่งเข้ามา
เขากำลังจะตายแล้ว...ช่างรวดเร็วนัก ชายหนุ่มรีบหันกลับหลังอย่างพรั่นพรึง ลูกธนูในไม่ได้ถูกยิงมาจากด้านหน้า แต่มันกลับแหวกมาจากด้านหลัง
ทว่ากลับไปได้ปักลงมาบนร่างเขา แต่ปักลงบนร่างทหารชาวจิงที่กำลังง้างมีดอยู่ตรงหน้าเขา
ทหารจิงพลันทรุดลงพื้น
ทว่าอู๋เจียงยังคงไม่ล้มลง
ต่อมาร่างเขาพลันลอยสูงขึ้น
มีคนมาช่วยเขาแล้ว เื่ครั้งนี้ช่างน่าขันเสียจริง
เขาถูกช่วยขึ้นมาบนหลังม้า ทว่าเพราะฝ่ามือไร้เรี่ยวแรง มีดเล่มนั้นจึงตกลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง เขาพลันกระวนกระวายรีบร้องขึ้น “มีดเล่มนั้นคืออาวุธจิง ต้องไปเก็บกลับมา”
จากนั้นชายหนุ่มจึงได้ยินชายคนที่ช่วยตนหัวเราะขึ้น “ไม่เป็ไร มีดเล่มนั้นประเดี๋ยวข้าจะชดใช้ให้เ้าอีกร้อยเล่ม”
หลังจากที่ผ่านเื่ร้ายๆ มาได้ ชายหนุ่มก็ดีใจเป็ล้นพ้น ราชสำนักยังไม่ได้ทอดทิ้งพวกเขา
“พวกท่านคือคนที่ราชสำนักส่งมาหรือ มีทหารกันทั้งหมดเท่าใด”
ต่อมาจึงได้เห็นว่าชายหนุ่มด้านหลังนั้นกำลังเหวี่ยงโซ่เหล็ก ที่ปลายโซ่มีลูกเหล็กสองลูกฟาดลงไปที่ตัวทหารจิง เมื่อเหวี่ยงโดนแล้วก็หัวเราะขึ้น “พวกเราไม่ใช่ทหาร พวกเราเป็โจร”
