นั่นคือความโกรธแค้น!
บุตรีอนุจวนเหนียนผู้นี้...
ฉู่ชิงจ้องมองแววตาของเหนียนยวี่ที่ยังไม่เปลี่ยนไป ทว่าในใจกลับดูเหมือนกำลังพินิจสตรีผู้นี้ใหม่อีกครั้ง
ความโกรธแค้นของนางมาจากผู้ใด?
ตระกูลเหนียนหรือ? นึกถึงครั้งแรกที่ได้รู้จักกันของพวกเขา จนถึงทุกเื่ราวหลังจากนั้น สตรีผู้นี้เผยชัดว่าไม่ธรรมดา ทว่าความโกรธแค้นของนาง...มาจากตระกูลเหนียนเท่านั้นเองหรือ?
ดวงตาของฉู่ชิงหรี่ลงเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า...
"ชีวิตหนึ่งต่อรองไม่ได้"
คำพูดไม่กี่คำที่ออกมาจากปากของฉู่ชิง น้ำเสียงนั่นมิอาจสอดแทรกเข้ามา ขณะเดียวกันก็ดึงให้เหนียนยวี่ได้สติ
เพียงครู่เดียว เหนียนยวี่ระงับอารมณ์ความรู้สึกกลับมาเป็ปกติ นางหันมองใบหน้าด้านของฉู่ชิง ก็ยังได้แต่ขอประนีประนอม
"ชีวิตเดียวก็คือชีวิตเดียว" เหนียนยวี่บ่นพึมพำ ทว่าทันใดนั้น รอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้า หันไปคำนับท่านแม่ทัพหลวง “เมื่อถึงยามที่ท่านแม่ทัพหลวงบอกให้เหนียนยวี่ชดใช้ชีวิตคืน ก็ขอให้ท่านได้โปรดออมมือด้วย”
ฉู่ชิงเหลือบมองเหนียนยวี่ การกระทำนั้นทำให้มุมปากใต้หน้ากากของเขายกขึ้นเล็กน้อย
ได้โปรดออมมืองั้นหรือ
อย่างไรก็ตามตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้ยึดติดกับชีวิตนางเยี่ยงนี้ ในใจรู้สึกยืนหยัดอย่างมิอาจบรรยายเป็คำพูดได้ เหมือนว่าแบบนี้จะทำให้เขากับนางผูกพันกันมากขึ้นอีกหน่อย
เปลวเพลิงในป่าพุ่มหนาม แผ่ขยายกินวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ และค่อยๆ ลามเข้าใกล้จุดของพวกเขา
เปลวเพลิงลุกโหมปกคลุมทั่วท้องนภา เสียงดังเปรี๊ยะปร๊ะแผดเผาภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่องร้อนแรง ทำให้ผู้คนที่ได้ยินรู้สึกตื่นตระหนกอย่างยิ่ง
"เปลวเพลิงวันนั้น ก็โหมไหม้ใหญ่โตเยี่ยงนี้..."
ท่ามกลางความเงียบอันแปลกประหลาด เสียงของบุรุษดังขึ้น แสงของเปลวเพลิงส่องกระทบบนหน้ากากสีเงินวาว กระทั่งเทพเทวดาต้องหลีกหนี ราวกับใบหน้าจะถูกเผาไหม้ไปด้วย
เปลวเพลิงวันนั้นหรือ?
คนเฉลียวฉลาดเฉกเช่นเหนียนยวี่ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็นึกถึงข่าวลือหนึ่งขึ้นมาได้...
ว่ากันว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อน เกิดเพลิงไหม้ขึ้นในจวนท่านแม่ทัพ ใบหน้าของบุตรชายท่านแม่ทัพก็เสียโฉมไปในเหตุการณ์ไฟไหม้ครานั้น
เหตุการณ์ไฟไหม้ครานั้นเป็เื่จริงงั้นหรือ?
ทว่าเห็นได้ชัดว่าใบหน้าของเขาก็ยังคงครบถ้วนสมบูรณ์เช่นเดิมมิใช่หรือ?
เหนียนยวี่ยืนข้างกายฉู่ชิง นางจ้องมองบุรุษผู้นี้อย่างไม่ละสายตา ั้แ่ที่กล่าวประโยคนั้นออกมาเมื่อครู่ เขาก็ไม่เอ่ยวาจาใดๆ ออกมาอีก ราวกับจมดิ่งอยู่ในห้วงความทรงจำ
นางมองไม่เห็นอารมณ์บนใบหน้าภายใต้หน้ากากของเขาว่าเป็อย่างไร ทว่าในดวงตาดำล้ำลึกคู่นั้น กลับมีอารมณ์บางอย่างฉายแววออกมาอย่างไม่ชัดเจน
และพวกนั้น...คือความลับของเขาหรือ?
ทว่าความลับพวกนั้น...คืออะไร?
สิ่งที่เรียกว่าความอยากรู้อยากเห็นนั้นเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในใจเหนียนยวี่ มากจนกระทั่งนางอยากจะเอ่ยปากถามออกไปว่าแท้จริงแล้วเขากำลังปกปิดอะไรไว้เื้ัใบหน้าและหน้ากากนี้กันแน่ ทว่า...
เหตุผลเดียวที่มีอยู่บอกกับนางว่า บางสิ่งถึงถามแม่ทัพหลวงผู้นี้ไปก็ใช่ว่าจะบอกได้
ผู้ใดจะเอาความลับของตนมาเล่าให้คนที่ไม่สลักสำคัญฟังกัน
คิดถึงกริชที่เขาส่งมาให้่นั้น ก็หวนนึกเื่คืนนั้นอีกครั้ง น้ำเสียงทุ้มลึกของเขา...
"ข้าจะคอยจับตามองเ้า"
มุมปากเหนียนยวี่ยกโค้งขึ้นเล็กน้อย กลอกตาไปมา
ประมาณสองชั่วยามต่อมา เปลวเพลิงั์ลุกกระพือโหมลามจนถึงขอบป่าพุ่มหนาม ป่าทั้งป่ากลายเป็เถ้าถ่าน กว่าเปลวเพลิงจะมอดดับไปก็ผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วยาม
อุณหภูมิของเถ้าถ่านที่มอดไหม้ยังคงร้อนอยู่ ทว่าไม่รู้ว่าเป็เพราะ์ประทานความงดงามหรืออย่างไร พระอาทิตย์สีแดงร้อนแรงที่สาดส่องก่อนหน้า ผ่านไปไม่นานนัก ท้องนภาก็เริ่มมืดครึ้ม ฝนที่ตกลงมาชะล้างทั่วท้องนภาและเถ้าธุลี...
ฝุ่นควันคลุ้งโขมงยังคงหลงเหลือ เหนียนยวี่ ฉู่ชิงและฮองเฮาอวี่เหวิน ทั้งสามไม่รออีกต่อไป ฉู่ชิงเดินนำ ตามด้วยเหนียนยวี่ที่ประคองฮองเฮาอวี่เหวินก้าวเดินตามหลังอย่างใกล้ชิด
แม้ไร้ป่าไร้ค่ายกลแล้วก็ตาม ทว่าจากตรงนี้จนถึงทางเข้าของสวนร้อยสัตว์ก็ยังคงไม่ไกลเช่นเดิม
นอกสวนร้อยสัตว์ ผู้คนเฝ้ารอกันมาเนิ่นนาน รอจนแทบไม่ไหว
มู่อ๋องจ้าวอี้ เมื่อครึ่งชั่วยามก่อน รีบเร่งฝีเท้ามาที่นี่อย่างรีบร้อน สีหน้าท่าทางดูย่ำแย่ ราวกับไม่ได้นอนมาทั้งคืน
เขาจ้องมองประตูใหญ่ของสวนร้อยสัตว์ ใช้แรงทั้งหมดสะบัดหลุดออกมาจากการขังล้อมของทหารองครักษ์อย่างเกรี้ยวกราด พุ่งไปทางประตู เปิดกลไกและกระแทกใส่อย่างแรง ร่างนั้นแทบจะพุ่งเข้าไปทันทีที่ประตูสวนร้อยสัตว์เปิด
"อี้เอ๋อร์..."
"ท่านอ๋องมู่..."
ต่างคนต่างใกับการกระทำนี้ จนทั้งฮ่องเต้หยวนเต๋อและอวี่เหวินหรูเยียนยังเผลอเรียกออกมา
"เสด็จพี่ ให้เขาเข้าไปเถิด" องค์หญิงใหญ่ชิงเหอเอ่ยปาก ดูเหมือนนางจะเข้าใจความกระวนกระวายใจของจ้าวอี้แล้ว ยามนี้ป่าพุ่มหนามนั่นถูกไฟเผามอดไหม้ไปหมดแล้ว ค่ายกลเองก็ถูกทำลาย ภัยอันตรายลดน้อยถอยลงไปมาก
หวังเพียงแต่...ยวี่เอ๋อร์และคนอื่นๆ ยังคงอยู่ในสวนร้อยสัตว์
ฮ่องเต้หยวนเต๋อขมวดคิ้ว ความกังวลในดวงตายังคงไม่เลือนหาย ปรายตาให้ทหารองครักษ์ตรงนั้น และตรัสรับสั่งออกมาอย่างเฉียบขาดว่า “พวกเ้ายืนงงอะไรกันอยู่? รีบเข้าไปหาคนหายเสีย และต้องคุ้มครองภัยให้ท่านอ๋องมู่”
"พ่ะย่ะค่ะฝ่าา" ทหารองครักษ์รับสั่ง และเข้าไปในสวนร้อยสัตว์
การปฏิบัติกับจ้าวอี้อย่างพิเศษสำคัญของฮ่องเต้หยวนเต๋ออยู่ในสายตาของทุกคน
"ฝ่าา ขอพระกรุณาประทานพระาานุญาตให้หลานเข้าไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ" หลีอ๋องจ้าวเยี่ยนก้าวไปข้างหน้า ใบหน้าหล่อเหลาอัดแน่นไปด้วยความกังวล "หลาน...เป็ห่วงอี้เอ๋อร์พ่ะย่ะค่ะ"
"อืม ไปเถิด" ฮ่องเต้หยวนเต๋อโบกมือ
จ้าวเยี่ยนเมื่อได้รับอนุญาต ก็ไม่ชักช้ารีบตามเข้าไปทันที หลังจากจ้าวเยี่ยนเข้าไปในสวนร้อยสัตว์ อวี่เหวินหรูเยียนเองก็ทนไม่ได้แล้วเช่นกัน ขอาานุญาตจากฮ่องเต้หยวนเต๋อ และรีบเร่งเข้าไปในสวนร้อยสัตว์ อวี่เหวินเจี๋ยเองก็เดินเข้าไปอย่างใกล้ชิด
ในสวนร้อยสัตว์ ฝนยังคงตกกระหน่ำ มีฝุ่นควันหลงเหลือจากซากไม้ที่หักพังมอดไหม้ บดบังทัศนวิสัยของผู้คน มองเห็นระยะทางออกไปได้ไม่กี่เมตร
เหนียนยวี่ ฉู่ชิง คนทั้งสาม ร่างกายเปียกปอนจากฝนที่เทกระหน่ำลงมา
เดินมาได้ระยะหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงคนะโร้องเรียกมาจากที่ไกลๆ เหนียนยวี่รู้สึกดีใจ ะโตอบรับออกไปอย่างสุดเสียง
ดูเหมือนพวกเขาจะตามเสียงะโของเหนียนยวี่มา ผ่านไปไม่นาน ร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสายตาพร่ามัว
จ้าวอี้สวมชุดสีฟ้า เปียกปอนไปทั้งตัว ครั้นเห็นทั้งสามเดินมาด้วยกัน ร่างกายของเขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน ราวกับว่าความกังวลทั้งหมดที่มีถูกกำจัดลบเลือนออกจากตัวเขา
ไม่เป็ไร...ยังอยู่...พวกเขายังมีชีวิตอยู่
จ้าวอี้รีบวิ่งไปหาทั้งสามคนอย่างรวดเร็ว และหยุดอยู่ตรงหน้า ใบหน้ายากจะปกปิดความตื่นเต้น "พวกเ้า...เสด็จแม่ จื๋อหร่าน...ยวี่เอ๋อร์..."
ราวกับไม่รู้ว่าจะแสดงความรู้สึกตอนนี้ออกมาอย่างไร จู่ๆ จ้าวอี้ก็ก้าวไปข้างหน้าตามปกติ เหยียดแขนและเกี่ยวคอของเหนียนยวี่ ส่งเสียงหัวเราะฮ่าๆ ดังขึ้น “ข้ารู้ว่าเ้าโชคดี เปี่ยวเม่ยของข้า ‘จ้าวอี้’ จะไปก่อเื่อะไรได้อย่างไร?”
การกระทำอย่างกะทันหันนั้น ทำให้เหนียนยวี่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ นางรู้ว่าจ้าวอี้เป็ห่วงนางจริงๆ แต่ในตอนนี้ ไม่ใช่ว่าเขาควรใส่ใจฮองเฮาอวี่เหวินมากที่สุดหรือไร?
เหนียนยวี่ยกยิ้มอย่างเก้อเขินพะอืดพะอม จ้องมองคิ้วที่ขมวดเล็กน้อยของฮองเฮาอวี่เหวิน เกรงว่านางจะเข้าใจอะไรผิดไปเสียแล้ว
เหนียนยวี่กำลังจะเอ่ยปากพูดบางอย่าง กลับมีเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาก่อน...
"ท่านอ๋องมู่ ท่านกำลังทำให้นางเจ็บ" ฉู่ชิงเอ่ยปาก น้ำเสียงเ็าจนเป็นิสัย
จ้าวอี้ใเล็กน้อย เขาทำให้นางเจ็บงั้นหรือ?
จ้าวอี้จ้องมองเหนียนยวี่โดยไม่รู้ตัว เห็นใบหน้าคิ้วขมวดของเหนียนยวี่ จึงปล่อยมือออกทันที และแทบจะเด้งตัวออกไป
“เ้า...ได้รับาเ็หรือ?” จ้าวอี้ไม่มีความตื่นเต้นเฉกเช่นในตอนแรกแล้ว จึงสังเกตเห็นว่าร่างกายของเหนียนยวี่เปียกชื้นไปด้วยคราบเื คราบเืถูกชะล้างด้วยสายฝน แทบจะชะล้างเสื้อผ้าทั้งตัว เดิมทีเป็เสื้อชุดสีขาว ยามนี้ชุดตัวนั้นกลับถูกย้อมเป็สีแดงอ่อน
เมื่อเห็นาแที่แขนของเหนียนยวี่ จ้าวอี้ก็รีบรุดก้าวเข้าไปข้างหน้า ตำหนิกล่าวว่าตัวเอง "ข้า...สมควรตายจริงๆ เ้ายังเจ็บตรงไหนอีกหรือไม่?"
จ้าวอี้ไม่ปกปิดความกังวลแม้แต่น้อย นิสัยใจดีใสซื่อของบุรุษผู้นี้ก็ไม่รู้จักอำพราง ทว่าการกระทำที่ไม่รู้จักปกปิดเช่นนี้ เมื่อเข้าตาผู้อื่น กลับเป็การกระตุ้นหลายสิ่งหลายอย่าง...