บทที่ 10 วังหลวง...
วังหลวง...
สองคำสั้นๆ ที่มีน้ำหนักดั่งขุนเขาพันลูกทับถมลงบนบ่าของลู่เมิ่ง มันคือสถานที่ที่นางเคยเห็นแค่ในภาพยนตร์และอ่านเจอในหนังสือประวัติศาสตร์ แต่บัดนี้... นางกำลังจะก้าวเท้าเข้าไปในสถานที่จริงแห่งนั้น สถานที่ซึ่งลมหายใจของัและกรงเล็บของพยัคฆ์ซ่อนเร้นอยู่ทุกซอกทุกมุม
คืนนั้นทั้งคืนลู่เมิ่งไม่ได้นอน ป้าจางและบ่าวรับใช้หญิงอีกสองคนวุ่นวายอยู่กับการเตรียมตัวให้นางราวกับจะส่งคุณหนูออกเรือน พวกนางอาบน้ำขัดผิวให้นางด้วย ไข่มุก์ ของนางเอง เลือกสรรเสื้อผ้าแพรไหมสีอ่อนที่ดูสุภาพเรียบร้อยแต่ก็ไม่จืดชืดจนเกินไป และพยายามเกล้าผมให้นางเป็ทรงต่างๆ นานา
"คุณหนูอาลู่มีผิวพรรณที่งดงามราวกับหยกแรกเจียระไนจริงๆ นะเ้าคะ" ป้าจางชมอย่างจริงใจ
ลู่เมิ่งได้แต่ฝืนยิ้ม นางรู้ดีว่าความงามภายนอกนั้นไร้ความหมายในสถานที่ที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม เพทุบายสิ่งที่จะทำให้นางรอดชีวิตกลับมาได้คือมันสมองและความสุขุมเยือกเย็น เท่านั้น
"เทียนฉี่ สรุปข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลสำคัญในวังหลวงที่ข้าอาจจะได้พบเจอในวันพรุ่งนี้"
[กำลังประมวลผล... บุคคลสำคัญสูงสุด องค์ไทเฮา สกุลจ้าว องค์จักรพรรดิเทียนหยวน พระชนมายุ 35 พรรษา ทรงเป็บุรุษที่เฉลียวฉลาดแต่ก็ทรงมีความระแวงสูง ฮองเฮา สกุลหลี่ มาจากตระกูลขุนนางฝ่ายบุ๋น มีพระโอรสหนึ่งพระองค์คือองค์รัชทายาท พระสนมเอกฮุ่ยเฟย สกุลเกา มาจากตระกูลทหาร เป็ที่โปรดปรานที่สุดและมีพระธิดาหนึ่งพระองค์... นอกจากนี้ยังมีเหล่าองค์หญิง องค์ชาย และขุนนางชั้นผู้ใหญ่อีกจำนวนมาก...
คำเตือน วังหลวงคือสนามรบที่ซับซ้อนที่สุดการกระทำและคำพูดทุกอย่างต้อง ผ่านการไตร่ ตรองอย่างรอบคอบ]
ข้อมูลมหาศาลไหลบ่าเข้ามาในหัวของนางราวกับคลื่นั์ ลู่เมิ่งหลับตาลง พยายามจัดลำดับความสำคัญและวางแผนรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น
เช้าวันรุ่งขึ้น รถจากวังหลวงมารับนางถึงหน้าเรือน มันไม่ใช่รถม้าธรรมดา แต่เป็เกี้ยวแปดคนหามที่สงวนไว้สำหรับเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงและแขกคนสำคัญของ ราชวงศ์เท่านั้น เว่ยจิ้งเดินทางมาส่งนางด้วยตนเอง
"จำไว้... ในวังหลวง จงฟังให้มาก พูดให้น้อย และอย่าเชื่อใจใคร" เขากำชับด้วยน้ำเสียงจริงจัง "โดยเฉพาะ... อย่าไว้ใจรอยยิ้มของสตรี"
"ขอบคุณสำหรับคำแนะนำเ้าค่ะ คุณชาย" ลู่เมิ่งโค้งคำนับให้เขา
"นี่ไม่ใช่คำแนะนำ... แต่เป็คำสั่ง" เขากล่าวแก้ ก่อนจะยื่นถุงหอมเล็กๆ ที่ปักลายเมฆมงคลให้นาง "พกนี่ติดตัวไว้ มันจะช่วยให้เ้าสงบสติอารมณ์ได้"
นางรับมาและได้กลิ่นหอมเย็นของสมุนไพรบางชนิดที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆ "ขอบคุณเ้าค่ะ"
เมื่อเกี้ยวเคลื่อนตัวเข้าสู่เขตพระราชฐาน ลู่เมิ่งก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป อากาศรอบตัวดูจะหนักอึ้งและเต็มไปด้วยกฎระเบียบที่มองไม่เห็น ทหารยามในชุดเกราะเต็มยศยืนประจำตำแหน่งทุกระยะ กำแพงสีแดงและหลังคา กระเบื้องเคลือบสีทองสะท้อนแสงแดดจนดูน่าเกรงขาม ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนโอ่อ่าอลัง การ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเ็าและไร้ชีวิตชีวา
เกี้ยวพานางมาหยุดลงที่หน้า ตำหนักหนิงโซ่ว หรือ ตำหนักแห่งความสงบและอายุยืน ซึ่งเป็ที่ประทับขององค์ไทเฮา นางกำนัลผู้หนึ่งมารอต้อนรับนางและนำทางเข้าไปด้านใน
ทุกย่างก้าวที่เหยียบลงบนพื้นหินอ่อนขัดมัน ลู่เมิ่งรู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่บนคมมีด นางสงบสติอารมณ์ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ตามที่เว่ยจิ้งสอน พยายามซึมซับทุกรายละเอียดรอบตัว ทั้งการจัดวางของ สถาปัตยกรรม และแม้แต่กลิ่นเครื่องหอมที่ลอยอวลอยู่ในอากาศ
เมื่อมาถึงห้องโถงใหญ่ นางกำนัลผู้นั้นก็ให้นางคุกเข่ารออยู่ด้านนอกม่านมุกที่กั้นอยู่
"ทูลองค์ไทเฮา แม่หนูอาลู่มาถึงแล้วเพคะ"
เสียงแหบพร่าแต่ทรงอำนาจดังออกมาจากหลังม่าน "ให้เข้ามาได้"
ม่านมุกถูกเลิกขึ้นช้าๆ ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าทำเอาลู่เมิ่งแทบหยุดหายใจ
สตรีสูงวัยในชุดสีเหลืองทองปักลายหงส์กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ไม้จันทน์แดง แม้พระพักตร์จะมีริ้วรอยแห่งวัย แต่ดวงตาของพระนางยังคงเปี่ยมด้วยประกายแห่ง ปัญญาและอำนาจที่สั่งสมมาตลอดพระชนม์ชีพข้างๆ กายของพระนางมีสตรีนางหนึ่งกำลังนวดพระอังสา (บ่า) ให้อย่างเอาใจ นางคือพระสนมเอกฮุ่ยเฟย ผู้เลอโฉมและทรงอิทธิพลที่สุดในวังหลัง
ลู่เมิ่งหมอบกราบลงกับพื้นอย่างนอบน้อมที่สุด "ถวายพระพรองค์ไทเฮา ขอทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน… "
"ลุกขึ้นเถิด" องค์ไทเฮาตรัส "เงยหน้าขึ้นให้ข้าดูใกล้ๆ"
ลู่เมิ่งค่อยๆ เงยหน้าขึ้น สบกับสายพระเนตรที่กำลังจ้องมองนางอย่างพินิจพิเคราะห์ มันเป็สายตาที่อ่านยาก ราวกับกำลังประเมินราคาสินค้าชิ้นหนึ่ง
"อืม... หน้าตาสะอาดสะอ้านหมดจดดี" องค์ไทเฮาตรัสเรียบๆ "เ้าสินะ คือผู้ที่ปรุง หอมฝัน นั่น"
"เป็เกียรติของหม่อมฉันอย่างหาที่สุดมิได้เพคะ"
"ข้าชอบของขวัญของเ้า" องค์ไทเฮาตรัสต่อ "มันไม่ใช่แค่ของหอม แต่เป็ความเข้าใจ... หลายปีมานี้ มีแต่คนนำของล้ำค่ามาประเคนให้ข้า แต่ไม่มีใครเคยถามว่าข้า้าอะไรจริงๆ ... เ้าทำได้อย่างไร?"
คำถามนี้คือบททดสอบแรก!
"ทูลองค์ไทเฮา" ลู่เมิ่งตอบอย่างนอบน้อม "หม่อมฉันเป็เพียงหญิงชาวบ้านต่ำต้อย ไม่ได้มีความสามารถพิเศษอันใด เพียงแต่คิดว่า... สิ่งที่สูงค่าที่สุดในโลก ไม่ใช่แก้วแหวนเงินทอง แต่คือความสุขและความสงบในจิตใจ หม่อมฉันจึงเพียงแค่พยายามปรุงความสงบ นั้นออกมาเป็กลิ่นหอม เพื่อถวายแด่ฝ่าาผู้ทรงเป็ที่รักของปวงประชาก็เท่านั้นเพคะ"
คำตอบของนางถ่อมตนแต่ก็แฝงไว้ด้วยความฉลาดล้ำลึก มันยกย่ององค์ไทเฮาไปในตัว และแสดงให้เห็นว่านางไม่ได้ทำไปเพื่อหวังผลตอบแทน
องค์ไทเฮาแย้มพระสรวลออกมาเล็กน้อย เป็รอยยิ้มที่หาดูได้ยาก "ปากคอเราะร้ายนักนะ... ฮุ่ยเฟย เ้าคิดว่าอย่างไร?"
พระนางหันไปถามพระสนมเอกที่ยืนอยู่ข้างๆ
พระสนมเอกฮุ่ยเฟยส่งยิ้มหวานหยดย้อยมาให้ลู่เมิ่ง "ทูลองค์ไทเฮา หม่อมฉันคิดว่าแม่หนูผู้นี้ช่างฉลาดหลักแหลมนักเพคะ ไม่เพียงสร้างของวิเศษได้ แต่ยังมีวาจาที่ไพเราะน่าฟังอีกด้วย"
แม้จะเป็คำชม แต่ลู่เมิ่งกลับรู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบที่ซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มนั้น
"ในเมื่อเ้ามีความสามารถเช่นนี้ ข้าก็อยากจะให้รางวัลเ้า" องค์ไทเฮาตรัส "เ้าอยากได้อะไร? ทองคำ? ผ้าไหม? หรือตำแหน่งในวัง?"
บททดสอบที่สอง! และเป็บททดสอบที่อันตรายที่สุด!
หากนางขอรางวัลที่เป็วัตถุ ก็จะดูเป็คนละโมบโลภมาก หากขอตำแหน่ง ก็จะดูเป็คนทะเยอทะยานที่หวังจะแทรกซึมเข้ามาในวังหลวง
ลู่เมิ่งหมอบกราบลงอีกครั้ง "การที่ของของหม่อมฉันได้ต้องพระเนตรและเป็ที่พอพระทัยฝ่าานั้น ถือเป็เกียรติยศสูงสุดและเป็รางวัลที่ดีที่สุดในชีวิตของหม่อมฉันแล้วเพคะ หม่อมฉันไม่กล้าขอสิ่งใดอีกแล้ว"
"แต่ข้าอยากจะให้" องค์ไทเฮาตรัสย้ำ "ถือเป็คำสั่ง"
ลู่เมิ่งนิ่งคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบพระเนตรของพระนางอย่างตรงไปตรงมา "หากฝ่าาทรงมีพระเมตตา... หม่อมฉันมีเื่ที่อยากจะทูลขอเพียงเื่เดียวเพคะ"
"ว่ามา"
"หม่อมฉันมีน้องชายหนึ่งคน อายุเจ็ดขวบ บิดามารดาเสียชีวิตไปั้แ่ยังเล็ก พวกเราสองพี่น้องระหกระเหินมาด้วยกันอย่างยากลำบาก... สิ่งเดียวที่หม่อมฉันปรารถนาคืออยากเห็นเขาได้มีการศึกษาที่ดี ได้เติบโตขึ้นเป็คนดีของแผ่นดินเพื่อรับใช้เบื้องพระยุคลบาท... หากฝ่าาจะทรงพระเมตตา...โปรดประทานโอกาสทางการศึกษาที่ดีที่สุดให้แก่น้องชายของหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ"
นางไม่ได้ขออะไรเพื่อตัวเองแม้แต่น้อย แต่กลับขอเพื่ออนาคตของน้องชาย! การกระทำนี้แสดงให้เห็นถึงความรักอันบริสุทธิ์ของพี่สาว และยังแสดงความจงรักภักดีโดยการจะให้น้องชายเติบโตขึ้นมารับใช้ราชวงศ์อีกด้วย!
องค์ไทเฮาถึงกับนิ่งอึ้งไป พระนางจ้องมองเด็กสาวตรงหน้าด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มันไม่ใช่แววตาที่มอง ของเล่นชิ้นใหม่ อีกต่อไป แต่เป็แววตาที่เจือด้วยความเอ็นดูและชื่นชมอย่างแท้จริง
"ดี... ดีมาก!" พระนางตรัสด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด "เ้ารักน้องชายของเ้าอย่างสุดหัวใจ และยังรู้จักคิดถึงบ้านเมืองอีกด้วย... ได้! ข้าจะรับน้องชายของเ้าเป็ศิษย์ในสำนักศึกษาหลวง ให้เขาได้เรียนร่วมกับเหล่าองค์ชายและบุตรหลานขุนนางชั้นสูง! พอใจหรือไม่?"
ลู่เมิ่งน้ำตาไหลออกมาอย่างสุดจะกลั้น นางโขกศีรษะลงกับพื้นจนหน้าผากแดง "ขอบพระทัยเพคะองค์ไทเฮา! พระเมตตาครั้งนี้ หม่อมฉันและน้องชายจะจดจำไปชั่วชีวิต!"
การสนทนาในวันนั้นจบลงด้วยดีเกินคาด องค์ไทเฮาทรงพระราชทานรางวัลให้นางอีกมากมาย ทั้งทองคำ ผ้าไหม และเครื่องประดับ แต่สิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับนางคืออนาคตที่สดใสของอาเป่า
ทว่า... ขณะที่นางกำลังจะทูลลากลับนั้นเอง
"เดี๋ยวก่อน"
เสียงที่หยุดนางไว้ไม่ใช่เสียงขององค์ไทเฮา แต่เป็เสียงของพระสนมเอกฮุ่ยเฟย
"ข้าได้ยินว่าไข่มุก์ของเ้านั้นมีสรรพคุณช่วยให้ผิวพรรณงดงาม" นางกล่าวพลางลูบไล้ใบหน้าอันเรียบเนียนของตนเอง "ข้าเองก็อยากจะลองใช้ดูบ้าง ไม่รู้ว่าเ้าจะพอมีเหลือติดตัวมาหรือไม่?"
ลู่เมิ่งใจหายวาบ! นางรู้ทันทีว่านี่คือกับดัก!
หากนางบอกว่ามี ก็จะดูเหมือนนางเตรียมการมาเพื่อเสนอขายของในวังหลวง ซึ่งเป็ความผิดมหันต์ หากนางบอกว่าไม่มี ก็จะเป็การขัดพระประสงค์ของพระสนมเอกผู้เป็ที่โปรดปราน ซึ่งอาจจะสร้างความไม่พอใจให้แก่นางได้
[วิเคราะห์สถานการณ์... การปฏิเสธพระสนมเอกฮุ่ยเฟยมีความเสี่ยงที่จะสร้างศัตรูในวังหลัง 89%... การมอบสบู่ให้มีความเสี่ยงที่จะถูกกล่าวหาว่าทำการค้าในเขตพระราชฐาน 75%]
ไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็มีแต่ความเสี่ยง!
ลู่เมิ่งนิ่งไปเพียงชั่วอึดใจ ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ "ทูลพระสนม...ไข่มุก์ เป็เพียงของหยาบๆ ที่ทำขึ้นจากไขมันสัตว์ธรรมดา หม่อมฉันเกรงว่าจะไม่คู่ควรกับพระวรกายอันสูงส่งของพระองค์เพคะ"
นางถ่อมตัวและเลี่ยงที่จะตอบคำถามโดยตรง
แต่พระสนมเอกฮุ่ยเฟยยังไม่ยอมปล่อยนางไปง่ายๆ "ข้าไม่ถือ... ของที่องค์ไทเฮายังทรงใช้ได้ ข้าเป็เพียงสนมตัวเล็กๆ เหตุใดจะใช้ไม่ได้เล่า?"
นางกำลังบีบบังคับให้นางต้องเลือกระหว่างการขัดใจนาง กับการดูิ่องค์ไทเฮา!
ลู่เมิ่งสงบสติอารมณ์ นางล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ หยิบบางสิ่งออกมา... มันไม่ใช่สบู่ แต่เป็ถุงหอมเล็กๆ ที่เว่ยจิ้งมอบให้
"หม่อมฉันไม่มีไข่มุก์ติดตัวมาจริงๆ เพคะ" นางกล่าว "แต่หม่อมฉันมีถุงหอมใบนี้... ซึ่งคุณชายสามแห่งจวนแม่ทัพเว่ยเป็ผู้มอบให้หม่อมฉันก่อนจะเข้าวัง ท่านกล่าวว่ากลิ่นหอมของมันจะช่วยให้จิตใจสงบและเป็เครื่องรางคุ้มภัย... หม่อมฉันคิดว่าของมงคลเช่นนี้ เหมาะสมที่จะถวายแด่พระสนมผู้ทรงมีบุญบารมีมากกว่าที่คนต่ำต้อยเช่นหม่อมฉัน จะเก็บไว้กับตัวเพคะ"
การกระทำของนางนั้นฉลาดล้ำเลิศ!
หนึ่ง นางปฏิเสธที่จะให้สบู่ได้อย่างแเี
สอง นางมอบของกำนัลให้พระสนมเพื่อไม่ให้เป็การเสียหน้า
สาม และที่สำคัญที่สุด... นางดึงชื่อของ เว่ยจิ้ง และ จวนแม่ทัพใหญ่เข้ามาเป็เกราะกำบัง!
การปฏิเสธของขวัญที่มาจากจวนแม่ทัพเว่ย ย่อมหมายถึงการสร้างความขุ่นเคืองให้กับตระกูลทหารที่ทรงอิทธิพลที่สุดในแผ่นดิน!
ใบหน้าของพระสนมเอกฮุ่ยเฟยกระตุกเล็กน้อย รอยยิ้มของนางแข็งค้างไปชั่วขณะ นางย่อมไม่โง่พอที่จะสร้างศัตรูกับตระกูลเว่ยในเื่ไม่เป็เื่เช่นนี้
"เช่นนั้นรึ... คุณชายสามช่างมีน้ำใจนัก" นางกล่าวพลางรับถุงหอมไป "ในเมื่อเป็ของมงคล ข้าก็จะรับไว้... ขอบใจเ้ามาก"
ศึกที่มองไม่เห็นครั้งนี้... ลู่เมิ่งเป็ฝ่ายชนะอีกครั้ง
นางทูลลาออกมาจากตำหนักหนิงโซ่วด้วยร่างกายที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นเฉียบ วันนี้เป็วันที่นางใช้พลังสมองและพลังใจมากที่สุดในชีวิต
เมื่อกลับถึงเรือนพักและเล่าเื่ทั้งหมดให้เว่ยจิ้งฟัง เขาก็หัวเราะออกมาอย่างถูกใจ
"เ้าใช้ชื่อข้าเป็โล่กำบังได้ดีนี่"
"ก็ท่านบอกเองว่าเป็การลงทุน... ข้าก็ต้องปกป้อง ทรัพย์สิน ของท่านให้ดีที่สุดมิใช่หรือเ้าคะ" นางยอกย้อนกลับอย่างไม่ยอมแพ้
เว่ยจิ้งมองนางด้วยแววตาที่ซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม
"อาลู่...เ้าทำให้ข้าประหลาดใจได้เสมอ...ข้าเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าการที่ข้าพาเ้าเข้า มาในโลกของข้านั้น...เป็การที่ข้าได้พบกับขุมทรัพย์...หรือเป็การที่ข้าได้ปล่อย พยัคฆ์ร้ายออกจากกรงกันแน่"
ลู่เมิ่งเพียงแค่ยิ้มตอบ... คำตอบนั้น... มีเพียงอนาคตเท่านั้นที่จะให้ได้...