ตอนที่ 1 ลมหายใจรวยริน
สายลมเหมันต์แห่งแคว้นต้าเว่ยนั้นโหดร้ายเสมอ มันหวีดหวิวผ่านทิวไผ่ครึ้มของหมู่ บ้านชายขอบ ราวกับเสียงคร่ำครวญของิญญาผู้หิวโหย ลมหนาวไม่ได้พัดพามา เพียงความเย็นะเืแต่ยังนำพาความสิ้นหวังแทรกซึมเข้าไปในทุกอณูของกระท่อมดินซอมซ่อท้ายหมู่บ้าน
"แค่ก... แค่กๆ ..."
เสียงไอแหบแห้งของผู้เป็มารดาบาดลึกลงในหัวใจของหลิวเยว์เอ๋อร์ยิ่งกว่าคมมีด เด็กสาวในวัยสิบหกปี ชะงักปลายนิ้วที่กำลังจะกรีดลงบนสายพิณ เธอวางกู่ฉินเก่าคร่ำ คร่า ลงบนตักอย่างแ่เบา สุ้มเสียงอันไพเราะที่กำลังจะเกิด พลันเงียบงันลงทันที พิณตัวนี้...มิใช่เพียงเครื่องดนตรี แต่คือลมหายใจสุดท้ายของบิดา คือจิติญญาของ ตระกูลหลิวที่สืบทอดกันมา ตัวพิณทำจากไม้ถงมู่โบราณผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานจน ผิวไม้ขึ้นเงาสะท้อนแสงจันทร์จางๆ ที่ลอดผ่านรูรั่วบนหลังคาบ้าน ทุกรอยบิ่นและขีดข่วนบนนั้นคือรอยแผลเป็แห่งกาลเวลา คือเื่ราวของบทเพลง นับร้อยนับพันที่เคยถูกบรรเลง นิ้วที่ควรจะเรียวงามตามประสาหญิงสาวของเยว์เอ๋อร์ กลับหยาบกร้านและมีรอยด้านจากการทำงานหนักและฝึกซ้อมดนตรีอย่างไม่เคยหยุดพัก มันคือมรดกแห่งความเ็ปที่บิดาผู้ล่วงลับฝากไว้ เขาเคยเป็นักดนตรีพเนจรผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในแถบนี้ คำสอนของเขายังคงก้องอยู่ในหู "เยว์เอ๋อร์... เสียงพิณจะซื่อสัตย์ต่อผู้บรรเลงเสมอ หากใจเ้ามั่นคง เสียงพิณก็จะทรงพลัง หากใจเ้าสั่นไหว เสียงพิณก็จะรวดร้าว" บัดนี้... ดูเหมือนว่าพิณของนางจะทำได้เพียงร่ำไห้เท่านั้น
นางขยับผ้าห่มเก่าที่บางจนแทบจะโปร่งแสงให้คลุมร่างอันสั่นเทาของมารดาให้มิดชิดขึ้น ภาพในอดีตซ้อนทับขึ้นมาอย่างเ็ป... ในวันวาน มารดาของนางคือนักขับขานผู้มีเสียงดุจนกไนติงเกล ทุกครั้งที่บิดากรีดพิณ มารดาก็จะขับขานบทเพลงประสานเสียงกันอย่างลงตัว "เพลงคู่พิณขับขาน" ของพวกเขาเคยสร้างความประทับใจให้แก่ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลัวเฟิง แต่แล้วาก็พรากทุกสิ่งไป บิดาถูกเกณฑ์ไปรบและไม่เคยได้กลับมาอีกเลย ทิ้งไว้เพียงพิณคู่ใจและสองชีวิตที่ไร้ที่พึ่งพิง ส่วนเสียงเพลงอันสดใสของมารดาก็ถูกความเจ็บป่วยและความทุกข์ระทมกลืนกินจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงเสียงไอแหบโหยที่ฉีกกระชากหัวใจของบุตรสาวทุกค่ำคืน
"ท่านแม่ ดื่มน้ำอีกสักหน่อยเถิดเ้าค่ะ" เยว์เอ๋อร์ประคองถ้วยดินเผาที่บิ่นจนน่ากลัวว่าจะบาดริมฝีปาก น้ำอุ่นในถ้วยคือสิ่งเดียวที่พอจะมอบความสบายให้มารดาได้ในยามนี้
แต่นางหลิวซื่อกลับส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า มืออันสั่นเทาของนางผลักถ้วยน้ำออกเบาๆ นางลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก แววตาที่เคยสดใสบัดนี้หมองเศร้า แต่ยังคงเปี่ยมด้วยความรักอันลึกซึ้งจับจ้องมาที่ใบหน้าของบุตรสาว ริมฝีปากแห้งแตกเป็ขุยแย้มยิ้มบางเบา เป็รอยยิ้มที่ยอมรับในชะตากรรม
"น้ำแก้วเดียว... ยื้อชีวิตแม่ไม่ได้หรอกลูก" เสียงของนางแหบพร่าและแ่เบาราวกับ กระซิบ "เยว์เอ๋อร์... สัญญากับแม่สักเื่ได้หรือไม่... เื่สุดท้าย"
หัวใจของเยว์เอ๋อร์พลันกระตุกวูบราวกับถูกบีบรัดอย่างแรง "ท่านแม่... อย่าพูดเช่นนั้นนะเ้าคะ ท่านต้องหายดี ท่านจะต้องไม่เป็อะไร"
นางหลิวซื่อไม่สนใจคำทัดทานนั้น นางยังคงจ้องมองบุตรสาวด้วยแววตาอ้อนวอน "ช่วยเล่น... เล่นเพลง คู่พิณขับขานให้แม่ฟังอีกสักครั้ง... เพลงของพ่อเ้า... เพลงที่พ่อเ้าแต่งให้แม่ในวันที่เราพบกันครั้งแรก"
น้ำตาของเยว์เอ๋อร์ไหลทะลักออกมาอย่างไม่อาจกลั้น "ไม่... ไม่นะเ้าคะ! ท่านจะต้องหายดี แล้วเราจะร้องเพลงนี้ด้วยกันอีกครั้งเหมือนวันวาน ท่านต้องกลับมาร้องเพลงคู่กับพิณของข้า!"
"ไม่มีอีกแล้ว... วันวานเ่าั้" นางหลิวซื่อเอื้อมมือที่ไร้เรี่ยวแรงมาััแก้มของเยว์เอ๋อร์อย่างแ่เบา "แม่รู้ตัวดี... เวลาของแม่ใกล้จะหมดแล้ว... แค่ก... แค่ก... แม่อยากจะจดจำท่วงทำนองของเขา... อยากจะรู้สึกเหมือนเขายังอยู่ตรงนี้เคียงข้างแม่... ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดดับไป... ถือว่าเป็คำขอร้องสุดท้าย... จากใจของแม่เถิดนะลูก"
คำพูดแต่ละคำของมารดาเป็ดั่งค้อนปอนด์ที่ทุบลงบนกำแพงความหวังของเยว์เอ๋อร์ จนพังทลายไม่เหลือชิ้นดี นางทรุดตัวลงข้างเตียง ร่ำไห้จนตัวโยน ความรู้สึกไร้พลังถาโถมเข้าใส่ราวกับคลื่นั์โหมซัด นางเป็เพียงเด็กสาวคนหนึ่ง จะไปต่อกรกับยมทูตที่กำลังจะพรากลมหายใจของมารดาไปได้อย่างไร!
"์... หากท่านมีตาจริง เหตุใดจึงโหดร้ายกับเราถึงเพียงนี้!" นางกรีดร้องในใจ น้ำตาที่พรั่งพรูไหลหยดลงบนสายพิณที่วางอยู่บนพื้น
และในวินาทีที่หยาดน้ำตาแห่งความสิ้นหวังหยดแรก หยดลงบนสายพิณนั่นเอง...
วูบ!
แสงสีครามเรืองรองวาบขึ้นจากตัวพิณกู่ฉิน ปกคลุมร่างของเยว์เอ๋อร์ไว้ชั่วพริบตา ในห้วงความคิดของนาง ปรากฏหน้าต่างโปร่งแสงขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พร้อมกับเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นในหัว มันเป็เสียงที่ราบเรียบ ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น
[กำลังตรวจสอบโฮสต์... ตรวจพบดีเอ็นเอที่เข้ากันได้ 99.99%]
[กำลังติดตั้ง... ระบบคีตา์ เสร็จสิ้น 100%]
[ยินดีต้อนรับ หลิวเยว์เอ๋อร์สู่ระบบที่จะเปลี่ยนโชคชะตาของท่านด้วยพลังแห่งเสียง ดนตรี]
หลิวเยว์เอ๋อร์เบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก นางมองไปรอบตัวอย่างหวาดระแวง "ใคร? ใครพูดน่ะ! ออกมานะ!"
หลิวิสะดุ้ง "พี่ใหญ่ ท่านเป็อะไรไป?"
นางหลิวซื่อพยายามจะลืมตาขึ้น "เยว์เอ๋อร์... ลูก..."
แต่เยว์เอ๋อร์ไม่ได้ยินเสียงของใครอีกแล้ว ในหัวของนางมีเพียงเสียงประหลาดนั่นกับตัวอักษรที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า
[ตรวจพบสถานการณ์ฉุกเฉิน: มารดาของโฮสต์กำลังอยู่ในภาวะวิกฤตเนื่องจากวัณโรคระยะสุดท้าย]
[ภารกิจสำหรับผู้เริ่มต้น: บรรเทาทุกข์ของมารดา]
[รายละเอียด: ใช้พลังจากระบบเพื่อบรรเลงบทเพลงเยียวยาเบื้องต้น]
[รางวัล: ยาฟื้นฟูพลังชีวิตระดับต่ำ 1 เม็ด ปลดล็อก "หีบของขวัญมือใหม่"]
"ระบบ? ภารกิจ? นี่มันเื่บ้าอะไรกัน!" เยว์เอ๋อร์สับสนงุนงง นางคิดว่าตนเองคงจะเพี้ยนไปแล้วเพราะความเครียด
[คำแนะนำ: โปรดวางนิ้วลงบนสายพิณและถ่ายทอดความปรารถนาที่จะช่วยมารดาของท่านผ่าน เสียงดนตรี ระบบจะทำการแปลงเจตจำนงของท่านให้กลายเป็พลังงาน]
แม้จะไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นมารดาเริ่มหายใจติดขัด ความสิ้นหวังก็ผลักดันให้นางทำตามอย่างไม่มีทางเลือก เยว์เอ๋อร์สูดหายใจลึก เช็ดน้ำตา ปลายนิ้วที่สั่นเทาแตะลงบนสายพิณอีกครั้ง นางหลับตาลง ภาพรอยยิ้มอันอ่อนโยนของมารดาในวันที่ยังแข็งแรง ภาพของบิดาที่กำลังสอนนางดีดพิณใต้ต้นหลิวผุดขึ้นมาในความคิด ความรัก ความห่วงใยและความปรารถนาที่จะยื้อชีวิตของผู้เป็แม่หลั่งไหลจากหัวใจสู่ปลายนิ้ว
ติ๊ง...
เสียงพิณโน้ตแรกดังขึ้น มันแตกต่างจากทุกครั้งที่นางเคยดีดอย่างสิ้นเชิง
หากเสียงพิณก่อนหน้านี้เปรียบเสมือนลำธารใสที่ไหลเอื่อย...เสียงพิณในยามนี้กลับ กลายเป็สายธารแห่งชีวิตอันอบอุ่นโน้ตทุกตัวที่เคยแห้งแล้งและเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง บัดนี้กลับชุ่มชื่นและเปี่ยมไปด้วยพลังที่มองไม่เห็น ละอองแสงสีทองจางๆ ลอยออกมาจากสายพิณ ล่องลอยเข้าไปในร่างของนางหลิวซื่ออย่างช้าๆ
เพียงไม่ถึงสองลมหายใจ เสียงไอที่เคยดังกระเส่าติดต่อกัน ค่อยๆ สงบลง สีหน้าที่ซีดขาวราวกับกระดาษเริ่มมีเืฝาดจางๆ ปรากฏขึ้น ลมหายใจที่เคยติดขัดกลับผ่อนคลายและสม่ำเสมอขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ แม้นางจะยังคงหลับตา แต่ความเ็ปทรมานที่เคยฉายชัดบนใบหน้า บัดนี้ได้เลือนหายไป แล้ว
หลิวิเบิกตากว้าง อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง "พี่ใหญ่... พิณของท่าน... มัน... มันเรืองแสงได้!"
เยว์เอ๋อร์ลืมตาขึ้นมองผลลัพธ์ด้วยหัวใจที่เต้นระรัว นี่ไม่ใช่ความฝัน! พลังนี้... มันเป็ของจริง!
[ภารกิจสำหรับผู้เริ่มต้นเสร็จสิ้น]
[ท่านได้รับ: ยาฟื้นฟูพลังชีวิตระดับต่ำ 1 เม็ด หีบของขวัญมือใหม่]
[ท่าน้าเปิดหีบของขวัญหรือไม่?]
"เปิด! เปิดเดี๋ยวนี้!" นางตอบในใจอย่างร้อนรน
[กำลังเปิดหีบของขวัญมือใหม่... ท่านได้รับ: ยาฟื้นฟูพลังชีวิตระดับต่ำ 1 เม็ด
เงิน 1 ตำลึง]
แสงสว่างวาบขึ้นในมือของเยว์เอ๋อร์ ปรากฏขวดกระเบื้องเคลือบเล็กๆ และก้อนเงินหนักอึ้งขึ้นมาจริงๆ! นางแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง!
หลิวิที่นั่งมองอยู่ข้างๆ ถึงกับสะดุ้งสุดตัว! เด็กน้อยที่เคยเงียบขรึมมาตลอดพลันเบิกตากว้างจนแทบจะถลนออกมานอกเบ้า เขาอ้าปากค้าง ก่อนจะรีบยกมือเล็กๆ ทั้งสองข้างขึ้นมาปิดปากตัวเองแน่น ราวกับกลัวว่าเสียงร้องด้วยความใจะดังเล็ดลอดออกมา เขาจ้องมองวัตถุในมือของพี่สาวสลับกับใบหน้าของนางไปมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกพรึงเพริดระคนกับความไม่เชื่ออย่างสุดขีด
"พะ... พี่ใหญ่..." เสียงของเขาสั่นเครือลอดผ่านไรนิ้วออกมา "นั่น... นั่นมัน... ท่าน... ท่านเป็นางฟ้าหรือขอรับ?"
เสียงของน้องชายดึงสติของเยว์เอ๋อร์กลับมาจากความตกตะลึง นางรีบหันไปหาน้องชายและทำในสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อน... นั่นคือการทำให้น้องชายสงบลง
นางรีบวางของในมือลงข้างตัว เอื้อมมือไปลูบศีรษะน้องชายเบาๆ และทำเสียง "ชู่ว์" เพื่อให้เขาเงียบเสียง
"ิเอ๋อร์... เงียบก่อนนะ" นางกระซิบเสียงเบา แม้ใจของนางเองจะยังเต้นระรัวอยู่ก็ตาม "พี่ไม่ใช่นางฟ้าหรอก... แต่... อาจจะเป็เพราะ์เมตตาพวกเรา...ท่านจึงได้ประทานของวิเศษนี้มาให้เพื่อช่วย รักษาท่านแม่"
นางเลือกใช้คำอธิบายที่ง่ายที่สุดที่เด็กน้อยพอจะเข้าใจได้
"นี่เป็ความลับระหว่างเราสองคนนะ" นางจ้องเข้าไปในดวงตาของน้องชายอย่างจริงจัง "ห้ามบอกเื่นี้กับใครเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่? รอให้ท่านแม่หายดีก่อน... แล้วพี่จะเล่าทุกอย่างให้เ้าฟัง"
หลิวิที่ยังคงอยู่ในอาการมึนงง แต่เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของพี่สาวก็ได้แต่พยักหน้ารับคำหงึกๆ อย่างว่าง่าย
เยว์เอ๋อร์ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะหันกลับมาสนใจสมบัติล้ำค่าที่อยู่ตรงหน้าอีก ครั้ง ในใจของนางมีแต่คำว่า... เงินหนึ่งตำลึง! เงินจำนวนนี้มากพอที่จะซื้อยาดีๆ ให้แม่ได้หลายเทียบ และซื้อข้าวสารให้ิเอ๋อร์ได้กินอิ่มไปหลายมื้อ! มันคือแสงสว่างที่สาดส่องลงมากลางความมืดมิดอย่างแท้จริง
นางไม่รอช้า ประคองร่างมารดาขึ้นและป้อนยาเม็ดสีเขียวอ่อนเข้าปากอย่างนุ่มนวล ยานั้นละลายในทันทีที่ััลิ้น พลังงานอันอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างของนางหลิวซื่ออย่างรวดเร็ว
"อึก..." มารดากลืนยาลงไป ก่อนจะล้มตัวลงนอนและเข้าสู่ห้วงนิทราที่สงบอย่างที่ไม่เคยเป็มานานหลายเดือน
เยว์เอ๋อร์มองภาพนั้นด้วยน้ำตาแห่งความยินดี นี่คือปาฏิหาริย์!
[ยาฟื้นฟูพลังชีวิตระดับต่ำสามารถยับยั้งอาการได้เพียง 3 วัน หาก้ารักษาให้หายขาด จำเป็ต้องใช้ "ยาเม็ดชำระไขกระดูก" ซึ่งมีราคา 100 ตำลึง]
ความสุขที่มีท่วมท้นเมื่อสักครู่ มลายหายไปในพริบตา ถูกแทนที่ด้วยความกดดันระลอกใหม่ที่หนักหน่วงกว่าเดิม หนึ่งร้อยตำลึง! สำหรับครอบครัวนักดนตรีตกยากที่หาเช้ากินค่ำอย่างนาง มันคือตัวเลขที่ราวกับอยู่บนฟากฟ้า ไม่มีทางเอื้อมถึงได้เลยตลอดชีวิตนี้
[ตรวจพบความท้าทายใหม่]
[ภารกิจหลักบทที่ 1: หนึ่งร้อยตำลึงแห่งความหวัง]
[รายละเอียด: จงหาเงินให้ครบ 100 ตำลึงภายในหนึ่งเดือนเพื่อซื้อยาเม็ดชำระไขกระดูก]
[คำใบ้: เมืองที่ใกล้ที่สุดคือเมืองหลัวเฟิง ซึ่งกำลังจะจัด "เทศกาลชมบุปผา" ในอีกห้าวันข้างหน้า ที่นั่นเต็มไปด้วยพ่อค้าและผู้มั่งคั่ง]
เยว์เอ๋อร์กำเงินหนึ่งตำลึงในมือแน่น ภารกิจนี้ไม่ทำคงไม่ได้แล้วเสียแล้ว ดวงตาของนางทอประกายกล้าแกร่งขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน ระบบคีตา์นี้คือฟางเส้นสุดท้ายของนาง คือแสงสว่างเดียวในความมืดมิด นางไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
นางหันไปมองน้องชายที่ยังคงตะลึงงัน "ิเอ๋อร์ ฟังพี่นะ"
"จ้ะ พี่ใหญ่"
"ดูแลท่านแม่ให้ดี อย่าให้ใครรบกวนท่าน พี่จะเข้าเมืองไปหาเงินมารักษาท่านแม่" น้ำเสียงของนางเด็ดเดี่ยวและหนักแน่น
"แต่... ในเมืองมีแต่คนน่ากลัวนะพี่ใหญ่" เด็กน้อยกังวล
เยว์เอ๋อร์ลูบศีรษะน้องชายเบาๆ รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าซีดเซียวของนาง "ไม่ต้องห่วง พี่ไม่ใช่หลิวเยว์เอ๋อร์คนเดิมอีกต่อไปแล้ว"
นางหันกลับไปมองพิณกู่ฉินเก่าคร่ำคร่าบนตัก มันไม่ใช่แค่เครื่องดนตรีอีกต่อไปแล้ว แต่มันคืออาวุธ คือเครื่องมือสร้างชีวิต คือเส้นทางเดียวที่จะฉุดครอบครัวของนางขึ้นมาจากขุมนรก แห่งความยากจน
เยว์เอ๋อร์บรรจงเก็บเงินหนึ่งตำลึงเข้าอกเสื้ออย่างดี แต่ก่อนที่ความคิดจะพุ่งทะยานไป ถึงเมืองหลัวเฟิง สติและความเป็จริงก็ดึงนางกลับมาสู่กระท่อมที่เหน็บหนาวแห่งนี้ การเดินทางต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งวันเต็ม แล้วระหว่างที่นางไม่อยู่เล่า? มารดาที่ยังคงหลับใหลและน้องชายที่ยังเล็ก...พวกเขาจะกินอะไร?
ความมุ่งมั่นที่จะออกเดินทางทันทีพลันถูกระงับไว้ด้วยความห่วงใยอันหนักอึ้ง นางมองเงินในมือ... หนึ่งตำลึงนี้ไม่ใช่แค่ทุนรอนสำหรับอนาคต แต่มันคือความอยู่รอดในปัจจุบันด้วยเช่นกัน
"ไม่ได้... ข้าจะไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้" นางพึมพำกับตนเอง
เยว์เอ๋อร์ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวนางซ่อนเงินตำลึงไว้ในรอยแยกของผนังดินอย่างมิดชิด ก่อนจะทุบมันด้วยก้อนหินจนเศษเงินเล็กๆ ส่วนหนึ่งแตกออกมา กะปริมาณแล้วน่าจะราวๆ ยี่สิบอีแปะ นางกำเศษเงินนั้นไว้ในมือ คว้าตะกร้าสานใบเก่าแล้วหันไปพูดกับน้องชายที่ยังคงนั่งมองอย่างเงียบๆ
"ิเอ๋อร์ เฝ้าท่านแม่ไว้ให้ดี อย่าส่งเสียงดังรบกวนท่าน พี่จะไปตลาดในหมู่บ้านสักครู่ เดี๋ยวจะรีบกลับมาพร้อมของอร่อย"
แววตาของเด็กน้อยเป็ประกายขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำว่า "ของอร่อย" เขาพยักหน้ารับคำอย่างแข็งขัน
เยว์เอ๋อร์ก้าวออกจากกระท่อม สูดลมหายใจที่เย็นะเืเข้าเต็มปอด นางมุ่งหน้าไปยังร้านขายของชำเล็กๆ ของลุงหวังท้ายหมู่บ้าน ตลอดทางที่เดินไป สายตาของชาวบ้านที่มองมายังคงเต็มไปด้วยความสงสารระคนสมเพชเช่นเคย แต่วันนี้นางกลับไม่รู้สึกต่ำต้อยอีกต่อไป ในใจของนางมีเป้าหมายที่ชัดเจน และในมือนางมีเงินที่จะจับจ่าย
นางใช้เงินส่วนหนึ่งซื้อข้าวสารมาหนึ่งจินเล็กๆ ซื้อมันเทศแห้งสองสามหัว และที่สำคัญที่สุดคือนางซื้อสมุนไพรลดไข้อันเป็ยาพื้นบ้านที่ราคาถูกที่สุดเท่าที่จะหาได้ แม้มันจะเทียบไม่ได้เลยกับยาเม็ดจากระบบ แต่มันอาจช่วยประคับประคองอาการของมารดาได้บ้างในยามที่นางไม่อยู่ สุดท้ายนางใช้เหรียญทองแดงที่เหลืออีกเล็กน้อยแลกกับเศษเนื้อติดมันที่ร้านขายเนื้อ ซึ่งโดยปกติแล้วพวกเขาจะโยนทิ้งให้สุนัขจรจัด
เมื่อกลับถึงกระท่อม กลิ่นหอมของข้าวที่กำลังจะหุงกรุ่นขึ้นเป็ครั้งแรกในรอบหลาย สัปดาห์ หลิวินั่งมองพี่สาวด้วยตาไม่กะพริบ น้ำลายแทบจะไหลออกมาจากปาก
เยว์เอ๋อร์ไม่ได้หุงข้าวทั้งหมด นางแบ่งส่วนหนึ่งเก็บไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ นางต้มข้าวต้มร้อนๆ ใส่เนื้อมันลงไปเล็กน้อยเพื่อเพิ่มพลังงาน จากนั้นจึงต้มยาและกรอกใส่ขวดดินเผาเล็กๆ เตรียมไว้ข้างเตียงมารดา
นางเรียกน้องชายมากินข้าวต้ม เด็กน้อยซดกินอย่างหิวกระหายจนแก้มตุ่ย เยว์เอ๋อร์กินเพียงเล็กน้อยเพื่อให้มีแรงเดินทาง ที่เหลือทั้งหมดนางเก็บไว้ให้มารดา และน้องชาย
หลังจากกินอิ่มแล้ว นางก็ดึงหลิวิมานั่งข้างๆ และสั่งสอนเขาอย่างจริงจัง "ิเอ๋อร์ ฟังพี่ให้ดี"
"จ้ะ พี่ใหญ่"
"ข้าวสารที่เหลืออยู่ในไหนี้ มันเทศอยู่ในตะกร้านั่น ส่วนนี่คือยาของท่านแม่" นางชี้ให้ดูทีละอย่าง"พรุ่งนี้เช้าเ้าต้องอุ่นข้าวต้มให้ท่านแม่หากท่านยังไม่ตื่นก็ไม่ต้องปลุก ส่วนยา...เ้าต้องป้อนให้ท่านดื่มหนึ่งถ้วยหลังอาหารกลางวัน เข้าใจหรือไม่?"
เด็กชายวัยเจ็ดขวบพยักหน้ารับอย่างตั้งใจ แม้ภาระนี้จะหนักเกินวัยของเขาก็ตาม
"ประตูต้องลงกลอนไว้เสมอ อย่าเปิดให้คนแปลกหน้าเด็ดขาด ไม่ว่าใครจะมาเรียกก็ตาม" เยว์เอ๋อร์ย้ำเสียงเข้ม "พี่จะไปหาเงินมารักษาท่านแม่ แค่ไม่กี่วัน... ไม่กี่วันเท่านั้น แล้วพี่จะรีบกลับมา"
นางกอดน้องชายแน่นราวกับจะจดจำไออุ่นของเขาไว้ ก่อนจะลุกขึ้นไปคุกเข่าข้างเตียงของมารดา นางมองใบหน้าที่หลับใหลอย่างสงบนั้น เป็ครั้งสุดท้าย ก้มลงกราบเท้าท่านสามครั้งอย่างนอบน้อมที่สุด
"ท่านแม่... ลูกขออภัยที่ต้องทิ้งท่านไปในยามนี้ แต่เพื่อชีวิตของท่าน เพื่ออนาคตของพวกเรา ลูกจำเป็ต้องไป โปรดอวยพรให้ลูกด้วย"
พูดจบนางก็ลุกขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว นางหยิบเงินตำลึงที่ซ่อนไว้ออกมา เก็บเข้าอกเสื้อให้แ่าที่สุด จากนั้นจึงประคองพิณกู่ฉินคู่ใจขึ้นมาแนบกาย
นางเดินไปหยุดที่หน้าประตู เปิดบานประตูไม้ที่ผุพังออก แสงอาทิตย์ยามบ่ายคล้อยเริ่มเปลี่ยนเป็สีทอง ขับไล่ความอับชื้นภายในกระท่อมออกไป
เบื้องหน้าคือเส้นทางดินที่ทอดยาวไปยังเมืองหลัวเฟิง มันคือเส้นทางที่เต็มไปด้วยอันตราย ความไม่แน่นอน และการดูถูกเหยียดหยามที่นางเคยเผชิญมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้... นางไม่ได้เดินไปอย่างคนสิ้นหวังอีกแล้ว
ในแววตาของเด็กสาวผู้บอบบาง ฉายแววแห่งนักสู้ผู้ไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา
"เมืองหลัวเฟิง... หนึ่งร้อยตำลึง... ท่านแม่... รอข้านะเ้าคะ!"
นี่ไม่ใช่แค่การเดินทางเพื่อหาเงินอีกต่อไปแต่มันคือการเดินทางเพื่อลิขิตโชคชะตาของนางขึ้นมาใหม่ ด้วยสิบปลายนิ้วและเจ็ดสายพิณ!
บทเพลงแห่งตำนาน... เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
สายลมเหมันต์แห่งแคว้นต้าเว่ยนั้นโหดร้ายเสมอ มันหวีดหวิวผ่านทิวไผ่ครึ้มของหมู่ บ้านชายขอบ ราวกับเสียงคร่ำครวญของิญญาผู้หิวโหย ลมหนาวไม่ได้พัดพามา เพียงความเย็นะเืแต่ยังนำพาความสิ้นหวังแทรกซึมเข้าไปในทุกอณูของกระท่อมดินซอมซ่อท้ายหมู่บ้าน
"แค่ก... แค่กๆ ..."
เสียงไอแหบแห้งของผู้เป็มารดาบาดลึกลงในหัวใจของหลิวเยว์เอ๋อร์ยิ่งกว่าคมมีด เด็กสาวในวัยสิบหกปี ชะงักปลายนิ้วที่กำลังจะกรีดลงบนสายพิณ เธอวางกู่ฉินเก่าคร่ำ คร่า ลงบนตักอย่างแ่เบา สุ้มเสียงอันไพเราะที่กำลังจะเกิด พลันเงียบงันลงทันที พิณตัวนี้...มิใช่เพียงเครื่องดนตรี แต่คือลมหายใจสุดท้ายของบิดา คือจิติญญาของ ตระกูลหลิวที่สืบทอดกันมา ตัวพิณทำจากไม้ถงมู่โบราณผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานจน ผิวไม้ขึ้นเงาสะท้อนแสงจันทร์จางๆ ที่ลอดผ่านรูรั่วบนหลังคาบ้าน ทุกรอยบิ่นและขีดข่วนบนนั้นคือรอยแผลเป็แห่งกาลเวลา คือเื่ราวของบทเพลง นับร้อยนับพันที่เคยถูกบรรเลง นิ้วที่ควรจะเรียวงามตามประสาหญิงสาวของเยว์เอ๋อร์ กลับหยาบกร้านและมีรอยด้านจากการทำงานหนักและฝึกซ้อมดนตรีอย่างไม่เคยหยุดพัก มันคือมรดกแห่งความเ็ปที่บิดาผู้ล่วงลับฝากไว้ เขาเคยเป็นักดนตรีพเนจรผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือในแถบนี้ คำสอนของเขายังคงก้องอยู่ในหู "เยว์เอ๋อร์... เสียงพิณจะซื่อสัตย์ต่อผู้บรรเลงเสมอ หากใจเ้ามั่นคง เสียงพิณก็จะทรงพลัง หากใจเ้าสั่นไหว เสียงพิณก็จะรวดร้าว" บัดนี้... ดูเหมือนว่าพิณของนางจะทำได้เพียงร่ำไห้เท่านั้น
นางขยับผ้าห่มเก่าที่บางจนแทบจะโปร่งแสงให้คลุมร่างอันสั่นเทาของมารดาให้มิดชิดขึ้น ภาพในอดีตซ้อนทับขึ้นมาอย่างเ็ป... ในวันวาน มารดาของนางคือนักขับขานผู้มีเสียงดุจนกไนติงเกล ทุกครั้งที่บิดากรีดพิณ มารดาก็จะขับขานบทเพลงประสานเสียงกันอย่างลงตัว "เพลงคู่พิณขับขาน" ของพวกเขาเคยสร้างความประทับใจให้แก่ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลัวเฟิง แต่แล้วาก็พรากทุกสิ่งไป บิดาถูกเกณฑ์ไปรบและไม่เคยได้กลับมาอีกเลย ทิ้งไว้เพียงพิณคู่ใจและสองชีวิตที่ไร้ที่พึ่งพิง ส่วนเสียงเพลงอันสดใสของมารดาก็ถูกความเจ็บป่วยและความทุกข์ระทมกลืนกินจนหมดสิ้น เหลือไว้เพียงเสียงไอแหบโหยที่ฉีกกระชากหัวใจของบุตรสาวทุกค่ำคืน
"ท่านแม่ ดื่มน้ำอีกสักหน่อยเถิดเ้าค่ะ" เยว์เอ๋อร์ประคองถ้วยดินเผาที่บิ่นจนน่ากลัวว่าจะบาดริมฝีปาก น้ำอุ่นในถ้วยคือสิ่งเดียวที่พอจะมอบความสบายให้มารดาได้ในยามนี้
แต่นางหลิวซื่อกลับส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า มืออันสั่นเทาของนางผลักถ้วยน้ำออกเบาๆ นางลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก แววตาที่เคยสดใสบัดนี้หมองเศร้า แต่ยังคงเปี่ยมด้วยความรักอันลึกซึ้งจับจ้องมาที่ใบหน้าของบุตรสาว ริมฝีปากแห้งแตกเป็ขุยแย้มยิ้มบางเบา เป็รอยยิ้มที่ยอมรับในชะตากรรม
"น้ำแก้วเดียว... ยื้อชีวิตแม่ไม่ได้หรอกลูก" เสียงของนางแหบพร่าและแ่เบาราวกับ กระซิบ "เยว์เอ๋อร์... สัญญากับแม่สักเื่ได้หรือไม่... เื่สุดท้าย"
หัวใจของเยว์เอ๋อร์พลันกระตุกวูบราวกับถูกบีบรัดอย่างแรง "ท่านแม่... อย่าพูดเช่นนั้นนะเ้าคะ ท่านต้องหายดี ท่านจะต้องไม่เป็อะไร"
นางหลิวซื่อไม่สนใจคำทัดทานนั้น นางยังคงจ้องมองบุตรสาวด้วยแววตาอ้อนวอน "ช่วยเล่น... เล่นเพลง คู่พิณขับขานให้แม่ฟังอีกสักครั้ง... เพลงของพ่อเ้า... เพลงที่พ่อเ้าแต่งให้แม่ในวันที่เราพบกันครั้งแรก"
น้ำตาของเยว์เอ๋อร์ไหลทะลักออกมาอย่างไม่อาจกลั้น "ไม่... ไม่นะเ้าคะ! ท่านจะต้องหายดี แล้วเราจะร้องเพลงนี้ด้วยกันอีกครั้งเหมือนวันวาน ท่านต้องกลับมาร้องเพลงคู่กับพิณของข้า!"
"ไม่มีอีกแล้ว... วันวานเ่าั้" นางหลิวซื่อเอื้อมมือที่ไร้เรี่ยวแรงมาััแก้มของเยว์เอ๋อร์อย่างแ่เบา "แม่รู้ตัวดี... เวลาของแม่ใกล้จะหมดแล้ว... แค่ก... แค่ก... แม่อยากจะจดจำท่วงทำนองของเขา... อยากจะรู้สึกเหมือนเขายังอยู่ตรงนี้เคียงข้างแม่... ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดดับไป... ถือว่าเป็คำขอร้องสุดท้าย... จากใจของแม่เถิดนะลูก"
คำพูดแต่ละคำของมารดาเป็ดั่งค้อนปอนด์ที่ทุบลงบนกำแพงความหวังของเยว์เอ๋อร์ จนพังทลายไม่เหลือชิ้นดี นางทรุดตัวลงข้างเตียง ร่ำไห้จนตัวโยน ความรู้สึกไร้พลังถาโถมเข้าใส่ราวกับคลื่นั์โหมซัด นางเป็เพียงเด็กสาวคนหนึ่ง จะไปต่อกรกับยมทูตที่กำลังจะพรากลมหายใจของมารดาไปได้อย่างไร!
"์... หากท่านมีตาจริง เหตุใดจึงโหดร้ายกับเราถึงเพียงนี้!" นางกรีดร้องในใจ น้ำตาที่พรั่งพรูไหลหยดลงบนสายพิณที่วางอยู่บนพื้น
และในวินาทีที่หยาดน้ำตาแห่งความสิ้นหวังหยดแรก หยดลงบนสายพิณนั่นเอง...
วูบ!
แสงสีครามเรืองรองวาบขึ้นจากตัวพิณกู่ฉิน ปกคลุมร่างของเยว์เอ๋อร์ไว้ชั่วพริบตา ในห้วงความคิดของนาง ปรากฏหน้าต่างโปร่งแสงขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน พร้อมกับเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นในหัว มันเป็เสียงที่ราบเรียบ ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น
[กำลังตรวจสอบโฮสต์... ตรวจพบดีเอ็นเอที่เข้ากันได้ 99.99%]
[กำลังติดตั้ง... ระบบคีตา์ เสร็จสิ้น 100%]
[ยินดีต้อนรับ หลิวเยว์เอ๋อร์สู่ระบบที่จะเปลี่ยนโชคชะตาของท่านด้วยพลังแห่งเสียง ดนตรี]
หลิวเยว์เอ๋อร์เบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก นางมองไปรอบตัวอย่างหวาดระแวง "ใคร? ใครพูดน่ะ! ออกมานะ!"
หลิวิสะดุ้ง "พี่ใหญ่ ท่านเป็อะไรไป?"
นางหลิวซื่อพยายามจะลืมตาขึ้น "เยว์เอ๋อร์... ลูก..."
แต่เยว์เอ๋อร์ไม่ได้ยินเสียงของใครอีกแล้ว ในหัวของนางมีเพียงเสียงประหลาดนั่นกับตัวอักษรที่ลอยเด่นอยู่ตรงหน้า
[ตรวจพบสถานการณ์ฉุกเฉิน: มารดาของโฮสต์กำลังอยู่ในภาวะวิกฤตเนื่องจากวัณโรคระยะสุดท้าย]
[ภารกิจสำหรับผู้เริ่มต้น: บรรเทาทุกข์ของมารดา]
[รายละเอียด: ใช้พลังจากระบบเพื่อบรรเลงบทเพลงเยียวยาเบื้องต้น]
[รางวัล: ยาฟื้นฟูพลังชีวิตระดับต่ำ 1 เม็ด ปลดล็อก "หีบของขวัญมือใหม่"]
"ระบบ? ภารกิจ? นี่มันเื่บ้าอะไรกัน!" เยว์เอ๋อร์สับสนงุนงง นางคิดว่าตนเองคงจะเพี้ยนไปแล้วเพราะความเครียด
[คำแนะนำ: โปรดวางนิ้วลงบนสายพิณและถ่ายทอดความปรารถนาที่จะช่วยมารดาของท่านผ่าน เสียงดนตรี ระบบจะทำการแปลงเจตจำนงของท่านให้กลายเป็พลังงาน]
แม้จะไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นมารดาเริ่มหายใจติดขัด ความสิ้นหวังก็ผลักดันให้นางทำตามอย่างไม่มีทางเลือก เยว์เอ๋อร์สูดหายใจลึก เช็ดน้ำตา ปลายนิ้วที่สั่นเทาแตะลงบนสายพิณอีกครั้ง นางหลับตาลง ภาพรอยยิ้มอันอ่อนโยนของมารดาในวันที่ยังแข็งแรง ภาพของบิดาที่กำลังสอนนางดีดพิณใต้ต้นหลิวผุดขึ้นมาในความคิด ความรัก ความห่วงใยและความปรารถนาที่จะยื้อชีวิตของผู้เป็แม่หลั่งไหลจากหัวใจสู่ปลายนิ้ว
ติ๊ง...
เสียงพิณโน้ตแรกดังขึ้น มันแตกต่างจากทุกครั้งที่นางเคยดีดอย่างสิ้นเชิง
หากเสียงพิณก่อนหน้านี้เปรียบเสมือนลำธารใสที่ไหลเอื่อย...เสียงพิณในยามนี้กลับ กลายเป็สายธารแห่งชีวิตอันอบอุ่นโน้ตทุกตัวที่เคยแห้งแล้งและเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง บัดนี้กลับชุ่มชื่นและเปี่ยมไปด้วยพลังที่มองไม่เห็น ละอองแสงสีทองจางๆ ลอยออกมาจากสายพิณ ล่องลอยเข้าไปในร่างของนางหลิวซื่ออย่างช้าๆ
เพียงไม่ถึงสองลมหายใจ เสียงไอที่เคยดังกระเส่าติดต่อกัน ค่อยๆ สงบลง สีหน้าที่ซีดขาวราวกับกระดาษเริ่มมีเืฝาดจางๆ ปรากฏขึ้น ลมหายใจที่เคยติดขัดกลับผ่อนคลายและสม่ำเสมอขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ แม้นางจะยังคงหลับตา แต่ความเ็ปทรมานที่เคยฉายชัดบนใบหน้า บัดนี้ได้เลือนหายไป แล้ว
หลิวิเบิกตากว้าง อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง "พี่ใหญ่... พิณของท่าน... มัน... มันเรืองแสงได้!"
เยว์เอ๋อร์ลืมตาขึ้นมองผลลัพธ์ด้วยหัวใจที่เต้นระรัว นี่ไม่ใช่ความฝัน! พลังนี้... มันเป็ของจริง!
[ภารกิจสำหรับผู้เริ่มต้นเสร็จสิ้น]
[ท่านได้รับ: ยาฟื้นฟูพลังชีวิตระดับต่ำ 1 เม็ด หีบของขวัญมือใหม่]
[ท่าน้าเปิดหีบของขวัญหรือไม่?]
"เปิด! เปิดเดี๋ยวนี้!" นางตอบในใจอย่างร้อนรน
[กำลังเปิดหีบของขวัญมือใหม่... ท่านได้รับ: ยาฟื้นฟูพลังชีวิตระดับต่ำ 1 เม็ด
เงิน 1 ตำลึง]
แสงสว่างวาบขึ้นในมือของเยว์เอ๋อร์ ปรากฏขวดกระเบื้องเคลือบเล็กๆ และก้อนเงินหนักอึ้งขึ้นมาจริงๆ! นางแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง!
หลิวิที่นั่งมองอยู่ข้างๆ ถึงกับสะดุ้งสุดตัว! เด็กน้อยที่เคยเงียบขรึมมาตลอดพลันเบิกตากว้างจนแทบจะถลนออกมานอกเบ้า เขาอ้าปากค้าง ก่อนจะรีบยกมือเล็กๆ ทั้งสองข้างขึ้นมาปิดปากตัวเองแน่น ราวกับกลัวว่าเสียงร้องด้วยความใจะดังเล็ดลอดออกมา เขาจ้องมองวัตถุในมือของพี่สาวสลับกับใบหน้าของนางไปมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกพรึงเพริดระคนกับความไม่เชื่ออย่างสุดขีด
"พะ... พี่ใหญ่..." เสียงของเขาสั่นเครือลอดผ่านไรนิ้วออกมา "นั่น... นั่นมัน... ท่าน... ท่านเป็นางฟ้าหรือขอรับ?"
เสียงของน้องชายดึงสติของเยว์เอ๋อร์กลับมาจากความตกตะลึง นางรีบหันไปหาน้องชายและทำในสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อน... นั่นคือการทำให้น้องชายสงบลง
นางรีบวางของในมือลงข้างตัว เอื้อมมือไปลูบศีรษะน้องชายเบาๆ และทำเสียง "ชู่ว์" เพื่อให้เขาเงียบเสียง
"ิเอ๋อร์... เงียบก่อนนะ" นางกระซิบเสียงเบา แม้ใจของนางเองจะยังเต้นระรัวอยู่ก็ตาม "พี่ไม่ใช่นางฟ้าหรอก... แต่... อาจจะเป็เพราะ์เมตตาพวกเรา...ท่านจึงได้ประทานของวิเศษนี้มาให้เพื่อช่วย รักษาท่านแม่"
นางเลือกใช้คำอธิบายที่ง่ายที่สุดที่เด็กน้อยพอจะเข้าใจได้
"นี่เป็ความลับระหว่างเราสองคนนะ" นางจ้องเข้าไปในดวงตาของน้องชายอย่างจริงจัง "ห้ามบอกเื่นี้กับใครเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่? รอให้ท่านแม่หายดีก่อน... แล้วพี่จะเล่าทุกอย่างให้เ้าฟัง"
หลิวิที่ยังคงอยู่ในอาการมึนงง แต่เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของพี่สาวก็ได้แต่พยักหน้ารับคำหงึกๆ อย่างว่าง่าย
เยว์เอ๋อร์ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะหันกลับมาสนใจสมบัติล้ำค่าที่อยู่ตรงหน้าอีก ครั้ง ในใจของนางมีแต่คำว่า... เงินหนึ่งตำลึง! เงินจำนวนนี้มากพอที่จะซื้อยาดีๆ ให้แม่ได้หลายเทียบ และซื้อข้าวสารให้ิเอ๋อร์ได้กินอิ่มไปหลายมื้อ! มันคือแสงสว่างที่สาดส่องลงมากลางความมืดมิดอย่างแท้จริง
นางไม่รอช้า ประคองร่างมารดาขึ้นและป้อนยาเม็ดสีเขียวอ่อนเข้าปากอย่างนุ่มนวล ยานั้นละลายในทันทีที่ััลิ้น พลังงานอันอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่างของนางหลิวซื่ออย่างรวดเร็ว
"อึก..." มารดากลืนยาลงไป ก่อนจะล้มตัวลงนอนและเข้าสู่ห้วงนิทราที่สงบอย่างที่ไม่เคยเป็มานานหลายเดือน
เยว์เอ๋อร์มองภาพนั้นด้วยน้ำตาแห่งความยินดี นี่คือปาฏิหาริย์!
[ยาฟื้นฟูพลังชีวิตระดับต่ำสามารถยับยั้งอาการได้เพียง 3 วัน หาก้ารักษาให้หายขาด จำเป็ต้องใช้ "ยาเม็ดชำระไขกระดูก" ซึ่งมีราคา 100 ตำลึง]
ความสุขที่มีท่วมท้นเมื่อสักครู่ มลายหายไปในพริบตา ถูกแทนที่ด้วยความกดดันระลอกใหม่ที่หนักหน่วงกว่าเดิม หนึ่งร้อยตำลึง! สำหรับครอบครัวนักดนตรีตกยากที่หาเช้ากินค่ำอย่างนาง มันคือตัวเลขที่ราวกับอยู่บนฟากฟ้า ไม่มีทางเอื้อมถึงได้เลยตลอดชีวิตนี้
[ตรวจพบความท้าทายใหม่]
[ภารกิจหลักบทที่ 1: หนึ่งร้อยตำลึงแห่งความหวัง]
[รายละเอียด: จงหาเงินให้ครบ 100 ตำลึงภายในหนึ่งเดือนเพื่อซื้อยาเม็ดชำระไขกระดูก]
[คำใบ้: เมืองที่ใกล้ที่สุดคือเมืองหลัวเฟิง ซึ่งกำลังจะจัด "เทศกาลชมบุปผา" ในอีกห้าวันข้างหน้า ที่นั่นเต็มไปด้วยพ่อค้าและผู้มั่งคั่ง]
เยว์เอ๋อร์กำเงินหนึ่งตำลึงในมือแน่น ภารกิจนี้ไม่ทำคงไม่ได้แล้วเสียแล้ว ดวงตาของนางทอประกายกล้าแกร่งขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน ระบบคีตา์นี้คือฟางเส้นสุดท้ายของนาง คือแสงสว่างเดียวในความมืดมิด นางไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
นางหันไปมองน้องชายที่ยังคงตะลึงงัน "ิเอ๋อร์ ฟังพี่นะ"
"จ้ะ พี่ใหญ่"
"ดูแลท่านแม่ให้ดี อย่าให้ใครรบกวนท่าน พี่จะเข้าเมืองไปหาเงินมารักษาท่านแม่" น้ำเสียงของนางเด็ดเดี่ยวและหนักแน่น
"แต่... ในเมืองมีแต่คนน่ากลัวนะพี่ใหญ่" เด็กน้อยกังวล
เยว์เอ๋อร์ลูบศีรษะน้องชายเบาๆ รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าซีดเซียวของนาง "ไม่ต้องห่วง พี่ไม่ใช่หลิวเยว์เอ๋อร์คนเดิมอีกต่อไปแล้ว"
นางหันกลับไปมองพิณกู่ฉินเก่าคร่ำคร่าบนตัก มันไม่ใช่แค่เครื่องดนตรีอีกต่อไปแล้ว แต่มันคืออาวุธ คือเครื่องมือสร้างชีวิต คือเส้นทางเดียวที่จะฉุดครอบครัวของนางขึ้นมาจากขุมนรก แห่งความยากจน
เยว์เอ๋อร์บรรจงเก็บเงินหนึ่งตำลึงเข้าอกเสื้ออย่างดี แต่ก่อนที่ความคิดจะพุ่งทะยานไป ถึงเมืองหลัวเฟิง สติและความเป็จริงก็ดึงนางกลับมาสู่กระท่อมที่เหน็บหนาวแห่งนี้ การเดินทางต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งวันเต็ม แล้วระหว่างที่นางไม่อยู่เล่า? มารดาที่ยังคงหลับใหลและน้องชายที่ยังเล็ก...พวกเขาจะกินอะไร?
ความมุ่งมั่นที่จะออกเดินทางทันทีพลันถูกระงับไว้ด้วยความห่วงใยอันหนักอึ้ง นางมองเงินในมือ... หนึ่งตำลึงนี้ไม่ใช่แค่ทุนรอนสำหรับอนาคต แต่มันคือความอยู่รอดในปัจจุบันด้วยเช่นกัน
"ไม่ได้... ข้าจะไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้" นางพึมพำกับตนเอง
เยว์เอ๋อร์ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวนางซ่อนเงินตำลึงไว้ในรอยแยกของผนังดินอย่างมิดชิด ก่อนจะทุบมันด้วยก้อนหินจนเศษเงินเล็กๆ ส่วนหนึ่งแตกออกมา กะปริมาณแล้วน่าจะราวๆ ยี่สิบอีแปะ นางกำเศษเงินนั้นไว้ในมือ คว้าตะกร้าสานใบเก่าแล้วหันไปพูดกับน้องชายที่ยังคงนั่งมองอย่างเงียบๆ
"ิเอ๋อร์ เฝ้าท่านแม่ไว้ให้ดี อย่าส่งเสียงดังรบกวนท่าน พี่จะไปตลาดในหมู่บ้านสักครู่ เดี๋ยวจะรีบกลับมาพร้อมของอร่อย"
แววตาของเด็กน้อยเป็ประกายขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำว่า "ของอร่อย" เขาพยักหน้ารับคำอย่างแข็งขัน
เยว์เอ๋อร์ก้าวออกจากกระท่อม สูดลมหายใจที่เย็นะเืเข้าเต็มปอด นางมุ่งหน้าไปยังร้านขายของชำเล็กๆ ของลุงหวังท้ายหมู่บ้าน ตลอดทางที่เดินไป สายตาของชาวบ้านที่มองมายังคงเต็มไปด้วยความสงสารระคนสมเพชเช่นเคย แต่วันนี้นางกลับไม่รู้สึกต่ำต้อยอีกต่อไป ในใจของนางมีเป้าหมายที่ชัดเจน และในมือนางมีเงินที่จะจับจ่าย
นางใช้เงินส่วนหนึ่งซื้อข้าวสารมาหนึ่งจินเล็กๆ ซื้อมันเทศแห้งสองสามหัว และที่สำคัญที่สุดคือนางซื้อสมุนไพรลดไข้อันเป็ยาพื้นบ้านที่ราคาถูกที่สุดเท่าที่จะหาได้ แม้มันจะเทียบไม่ได้เลยกับยาเม็ดจากระบบ แต่มันอาจช่วยประคับประคองอาการของมารดาได้บ้างในยามที่นางไม่อยู่ สุดท้ายนางใช้เหรียญทองแดงที่เหลืออีกเล็กน้อยแลกกับเศษเนื้อติดมันที่ร้านขายเนื้อ ซึ่งโดยปกติแล้วพวกเขาจะโยนทิ้งให้สุนัขจรจัด
เมื่อกลับถึงกระท่อม กลิ่นหอมของข้าวที่กำลังจะหุงกรุ่นขึ้นเป็ครั้งแรกในรอบหลาย สัปดาห์ หลิวินั่งมองพี่สาวด้วยตาไม่กะพริบ น้ำลายแทบจะไหลออกมาจากปาก
เยว์เอ๋อร์ไม่ได้หุงข้าวทั้งหมด นางแบ่งส่วนหนึ่งเก็บไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ นางต้มข้าวต้มร้อนๆ ใส่เนื้อมันลงไปเล็กน้อยเพื่อเพิ่มพลังงาน จากนั้นจึงต้มยาและกรอกใส่ขวดดินเผาเล็กๆ เตรียมไว้ข้างเตียงมารดา
นางเรียกน้องชายมากินข้าวต้ม เด็กน้อยซดกินอย่างหิวกระหายจนแก้มตุ่ย เยว์เอ๋อร์กินเพียงเล็กน้อยเพื่อให้มีแรงเดินทาง ที่เหลือทั้งหมดนางเก็บไว้ให้มารดา และน้องชาย
หลังจากกินอิ่มแล้ว นางก็ดึงหลิวิมานั่งข้างๆ และสั่งสอนเขาอย่างจริงจัง "ิเอ๋อร์ ฟังพี่ให้ดี"
"จ้ะ พี่ใหญ่"
"ข้าวสารที่เหลืออยู่ในไหนี้ มันเทศอยู่ในตะกร้านั่น ส่วนนี่คือยาของท่านแม่" นางชี้ให้ดูทีละอย่าง"พรุ่งนี้เช้าเ้าต้องอุ่นข้าวต้มให้ท่านแม่หากท่านยังไม่ตื่นก็ไม่ต้องปลุก ส่วนยา...เ้าต้องป้อนให้ท่านดื่มหนึ่งถ้วยหลังอาหารกลางวัน เข้าใจหรือไม่?"
เด็กชายวัยเจ็ดขวบพยักหน้ารับอย่างตั้งใจ แม้ภาระนี้จะหนักเกินวัยของเขาก็ตาม
"ประตูต้องลงกลอนไว้เสมอ อย่าเปิดให้คนแปลกหน้าเด็ดขาด ไม่ว่าใครจะมาเรียกก็ตาม" เยว์เอ๋อร์ย้ำเสียงเข้ม "พี่จะไปหาเงินมารักษาท่านแม่ แค่ไม่กี่วัน... ไม่กี่วันเท่านั้น แล้วพี่จะรีบกลับมา"
นางกอดน้องชายแน่นราวกับจะจดจำไออุ่นของเขาไว้ ก่อนจะลุกขึ้นไปคุกเข่าข้างเตียงของมารดา นางมองใบหน้าที่หลับใหลอย่างสงบนั้น เป็ครั้งสุดท้าย ก้มลงกราบเท้าท่านสามครั้งอย่างนอบน้อมที่สุด
"ท่านแม่... ลูกขออภัยที่ต้องทิ้งท่านไปในยามนี้ แต่เพื่อชีวิตของท่าน เพื่ออนาคตของพวกเรา ลูกจำเป็ต้องไป โปรดอวยพรให้ลูกด้วย"
พูดจบนางก็ลุกขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว นางหยิบเงินตำลึงที่ซ่อนไว้ออกมา เก็บเข้าอกเสื้อให้แ่าที่สุด จากนั้นจึงประคองพิณกู่ฉินคู่ใจขึ้นมาแนบกาย
นางเดินไปหยุดที่หน้าประตู เปิดบานประตูไม้ที่ผุพังออก แสงอาทิตย์ยามบ่ายคล้อยเริ่มเปลี่ยนเป็สีทอง ขับไล่ความอับชื้นภายในกระท่อมออกไป
เบื้องหน้าคือเส้นทางดินที่ทอดยาวไปยังเมืองหลัวเฟิง มันคือเส้นทางที่เต็มไปด้วยอันตราย ความไม่แน่นอน และการดูถูกเหยียดหยามที่นางเคยเผชิญมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้... นางไม่ได้เดินไปอย่างคนสิ้นหวังอีกแล้ว
ในแววตาของเด็กสาวผู้บอบบาง ฉายแววแห่งนักสู้ผู้ไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา
"เมืองหลัวเฟิง... หนึ่งร้อยตำลึง... ท่านแม่... รอข้านะเ้าคะ!"
นี่ไม่ใช่แค่การเดินทางเพื่อหาเงินอีกต่อไปแต่มันคือการเดินทางเพื่อลิขิตโชคชะตาของนางขึ้นมาใหม่ ด้วยสิบปลายนิ้วและเจ็ดสายพิณ!
บทเพลงแห่งตำนาน... เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น