เช้าตรู่วันถัดมา
จ้าวหงยู่มาลงนามหนังสือสัญญาอย่างเป็ทางการโดยมีเ้าสี่เหวินและภรรยามาเป็เพื่อน
ห้องพักแขกของที่บ้านมีคนอาศัยอยู่เต็มแล้ว เหลือเพียงหนึ่งห้องที่เก็บไว้ให้ชายหญิงชราแห่งสกุลหูหนึ่งห้อง
ในวันปกติหลี่ซื่อชอบมานั่งทำงานเย็บปักที่ห้องนี้
เจินจูกับพานเสวี่ยหลันจึงจัดเก็บออกมาให้เป็ระเบียบ เพื่อให้จ้าวหงยู่อาศัยอยู่ชั่วคราว
เมื่อมีการช่วยเหลือจากจ้าวหงยู่ อาหารหนึ่งวันสามมื้อของสกุลหูก็ไม่ต้องให้เจินจูเป็ทุกข์ใจอีก
ฝีมือครัวของจ้าวหงยู่ไม่เลว โดยเฉพาะอาหารประเภทแป้งยิ่งโดดเด่นมากนัก
หมั่นโถว ซาลาเปา ฮวาเจวี่ยน [1] วอวอโถว เล่าปิ่ง [2] และอื่นๆ อีก... อาหารประเภทแป้งเหล่านี้ทุกวันตอนเช้าล้วนเวียนกันทำทีละชนิด
ในฐานะที่เจินจูเป็คนทางใต้ดั้งเดิม นางจะชอบทานอาหารพวกนี้มาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสกุลหูทั้งครอบครัวเลย
แต่อาหารเช้าที่เจินจูทำส่วนใหญ่จะชอบเคี่ยวโจ๊กข้าวขาว โจ๊กเนื้อหรือโจ๊กผัก ทานเข้าคู่กับผักดอง ไข่ไก่ หรือผัดผัก
หมั่นโถวและเล่าปิ่งอะไรเหล่านี้ นางทำไม่เป็สักอย่าง
หลี่ซื่อนอกจากนวดเส้นหมี่แล้ว อาหารประเภทแป้งอย่างอื่นก็ไม่ถนัดเช่นกัน มีนึ่งวอวอโถวเป็บางครั้ง แต่รสชาติก็ธรรมดาอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้ การที่สกุลหูจะสามารถทานอาหารประเภทแป้งได้จึงเป็เื่ที่พบเห็นได้น้อยนัก
สถานการณ์เป็เช่นนี้มาตลอด แต่หลังจากที่จ้าวหงยู่มาเป็คนครัวแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนเปลี่ยนแปลงไป
ผู้ชายทั้งบ้านล้วนชื่นชอบต่อการเปลี่ยนแปลงของอาหารเช้า อย่างไรเสียทุกวันก็ต้องออกไปทำงานข้างนอก การได้ทานอาหารประเภทแป้งจึงอิ่มกว่าทานโจ๊กเป็ไหนๆ
เจินจูเห็นพวกเขากัดหมั่นโถวและกินผักดอง ทานกันจนเรียกได้ว่าเอาจริงเอาจังเลยทีเดียว ช่างตระหนักได้ถึงความแตกต่างในการบริโภคของทางใต้และทางเหนืออย่างลึกซึ้ง
นางหยิบซาลาเปาขึ้นหนึ่งลูกเงียบๆ เทียบกับหมั่นโถวแล้ว นางชอบซาลาเปามากกว่า
การมีจ้าวหงยู่และพานเสวี่ยหลัน เจินจูจึงหลุดพ้นออกมาจากเื่จุกจิกภายในบ้านโดยสิ้นเชิง
เวลาส่วนหนึ่งจึงเดินเล่นและทำงานเย็บปักถักร้อยเป็เพื่อนหลี่ซื่อ เวลาอีกส่วนหนึ่งก็เริ่มฝึกคัดลายมือ และยังมีเวลาหยอกแมวเดินเล่นกับสุนัข บางครั้งก็แอบหนีขึ้นูเาไปเล่นกับเสี่ยวจินอีกด้วย
ที่ผ่านมาไปซื้อของในเมืองไท่ผิงสองรอบ ไม่ได้เจอกู้ฉีแต่ได้ยินหลิวผิงกล่าวว่าร่างกายเขาค่อยๆ ดีขึ้นแล้ว จึงเริ่มไปสำรวจกิจการงานภายใต้ชื่อของจวนสกุลกู้บริเวณเอ้อโจว และมักจะไปถึงสี่หรือห้าวันจึงจะกลับ
ไม่ได้เจอเขาเจินจูก็ไม่ได้สนใจอีก ผักพวกแตงและถั่ว กระต่ายและไก่บ้านของที่บ้าน เว้นสองสามวันจะนำไปส่งให้ครั้งหนึ่ง บางครั้งเฉินเผิงเฟยก็จะมาด้วยตัวเอง สรุปแล้วไม่จำเป็ต้องทุกข์ใจจนเกินไป
ในขณะที่ไม่ทันได้รู้สึกตัว เวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านเดือนเจ็ดไปแล้ว
“ท่านพี่ ร้อนจะตายแล้ว วันนี้ต้มถั่วเขียวหรือไม่?” เมื่อผิงอันเข้าประตูมาก็ส่งเสียงะโทันที
“เพียะ” กิ่งต้นหลิวในมือของเจินจูตีบนกายเขา
“ไปเรียนข้อเสียนี้มาจากไหน ทำไมโวยวายเสียงดัง ท่านอาจารย์สอนพวกเ้าเช่นนี้หรือ?”
ผิงอันเกาศีรษะและยิ้มไปทางนางอย่างเอาใจ “ไม่ใช่ เมื่อครู่ข้าเรียนวิชาฝึกการต่อสู้ ใช้ดาบไม้ฝึกกับอีกฝ่าย เลยะโเสียงดังตอนฟาดดาบกันหนึ่งรอบ เสียงก็เลยะโออกมาดังไปหน่อย”
เจินจูชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง “ไปฝึกกระบวนท่าต่างๆ ตามอาชิงมาอีกแล้วล่ะสิ”
เด็กสองคนผิงอันและผิงซุ่น มีพร์ในการฝึกวรยุทธ์จริงๆ เรียนการต่อสู้กับอาจารย์ฟางได้ไม่นาน ตั้งกระบวนท่าขึ้นมาล้วนท่าทางคล้ายกันอย่างมาก ดังนั้น่นี้พวกเขาจึงชอบไปหาอาชิงแล้วฝึกกระบวนท่าต่างๆ อยู่ด้วยกัน
“แหะๆ ท่านพี่ อาชิงกับพี่ชายยู่เซิงก็ทำอยู่บ่อยๆ เพราะอย่างนั้น ความก้าวหน้าของพี่ชายยู่เซิงเลยพัฒนาไปมาก ท่านอาจารย์ฟางกล่าวว่าจากการฝึกฝนอย่างขยันหมั่นเพียรของเขานี้ ใช้เวลาไม่กี่ปีก็สามารถเป็ศิษย์ที่เก่งกว่าอาจารย์ได้แล้ว” ดวงตาของผิงอันเต็มไปด้วยความชื่นชมต่อหลัวจิ่ง
เจินจูไม่ได้ส่งเสียงอะไร ตักถั่วเขียวเย็นลงไปหนึ่งชามจากในกะละมังแล้วส่งให้เขา
ผิงอันส่งเสียงร้องดีใจหนึ่งที ใช้สองมือยกถ้วยขึ้นคิดจะซดเข้าไปเลย
เจินจูมองถลึงตาไปที่เขา เขาจึงรีบหยิบช้อนขึ้นมาอย่างว่าง่ายทันทีทันใดและตักทานทีละช้อนๆ
“ทำไมยู่เซิงยังไม่กลับมาอีก?” ไม่ใช่ว่าเลิกเรียนแล้วหรือ เวลานี้ยังไม่เห็นเงาคนเลย
“เขาอยู่กับอาจารย์ฟางทางนั้น ตอนกลางวันไม่กลับมาแล้ว อาจารย์ฟางกำลังให้คำชี้แนะเขาอยู่เลย” น้ำเสียงของผิงอันมีความอิจฉาอยู่สองสามส่วน
ยู่เซิง… พยายามฝึกฝนอย่างหนักเพียงนี้ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตกระมัง
ในเดือนนี้ฟ้ายังไม่สว่างก็เห็นเขาออกไปข้างนอกแล้ว เมื่อไรที่ท้องฟ้าฉาบสีมืดสนิทถึงเข้าบ้าน นอกจากกลับมาทานข้าวแล้ว โดยรวมล้วนอยู่รับการฝึกฝนจากอาจารย์ฟางด้วยกันกับอาชิง เสื้อผ้าที่สวมทุกวันเปียกเหงื่อชุ่มโชก บนใบหน้าก็มักเขียวหนึ่งที่ม่วงหนึ่งที่อยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยได้ยินเขาร้องเ็ปเลยสักนิดเดียว ในทางกลับกันเขายิ่งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จามากขึ้น
เฮ้อ เจินจูถอนหายใจข้างใน
นางยกถั่วเขียวต้มในกะละมังทั้งหมดขึ้นมา
“เ้าเอากะละมังถั่วเขียวต้มนี้ ไปให้อาจารย์ฟางเถอะ”
ผิงอันมองถั่วเขียวในถ้วยของตนเอง มองเห็นก้นถ้วยแล้ว รู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง เขาเพิ่งทานไปได้หนึ่งถ้วยเล็กเอง
เจินจูมองบนใส่เขาทีหนึ่งอย่างขบขัน “ห้องครัวยังมีอีก เ้าเอาไปส่งก่อน กลับมาค่อยทาน”
“อื้ม ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” เ้าเด็กตัวน้อยยกกะละมังวิ่งไปด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มทั้งดวง
“ช่างนิสัยเด็กน้อยจริงๆ” เจินจูหัวเราะและส่ายหน้า
หลัง่บ่ายที่แสนเงียบสงบ
เจินจูนั่งอยู่บนศาลาที่สร้างขึ้นใหม่ริมสระน้ำ สายลมอ่อนๆ โชยเชื่องช้า พัดจนนางง่วงงุนเล็กน้อย
ดอกบัวในสระน้ำยังคงผลิบานได้อย่างสว่างไสวไม่หยุด ในดอกสีขาวประดับแซมด้วยสีชมพู กลิ่นหอมกระจายไปทั่ว ไม่มีร่องรอยเหี่ยวเฉาและร่วงโรยเลยแม้แต่น้อย
เจินจูหาวหนึ่งที กำลังคิดว่าจะไปนอนบนเก้าอี้นอนสักครู่ดีหรือไม่
“ปังๆ” เสียงเคาะประตูดังขึ้นใน่เวลาที่เต็มไปด้วยความเงียบสงัดของ่พักเที่ยง
“โฮ่งๆ” เสี่ยวหวงที่อยู่ด้านนั้นลุกขึ้นยืนอย่างตื่นตัว
“ชู่... ห้ามเห่า” นางห้ามเสียงเห่าของมัน
เสี่ยวหวงจึงนั่งลงแต่โดยดี
“ผู้ใด?”
คนที่บ้านส่วนใหญ่นอนกลางวันอยู่ในบ้าน ไม่อาจเอะอะจนปลุกทุกคนให้ตื่นขึ้นมาได้
“แม่นางหู เป็ข้า” เสียงหัวเราะเบิกบานของเฉินเผิงเฟยดังขึ้น
เจินจูเปิดประตูลานบ้าน
ภาพด้านหลังเป็กายสูงชะลูดของกู้ฉีกำลังยืนเอามือไพล่หลัง
“ฮ่าๆ คุณชายของพวกข้าก็มาด้วยเช่นกัน” เฉินเผิงเฟยผูกรถม้าไว้ข้างประตู
“พี่ชายกู้อู่ ไม่ได้เจอกันนานเลย” เจินจูทักทายอย่างยิ้มตาหยี
ไม่ได้เจอกันนานจริงๆ นับั้แ่ครั้งก่อน หลังจากที่เขาวิ่งมาชมดอกบัวโดยเฉพาะ เกือบหนึ่งเดือนแล้วที่ไม่มาปรากฏกายอยู่บ้านสกุลหู
กู้ฉีหมุนกายมา ร่างกายที่เริ่มแข็งแรงขึ้นช้าๆ ทำให้สีหน้าซีดขาวตลอดทั้งปีของเขาดีขึ้นมาก ความตอบลึกของแก้มก็ค่อยๆ มีเนื้อมีหนังมากขึ้นด้วย คนทั้งกายมีชีวิตชีวาและหล่อเหลาอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสุภาพเยือกเย็นและยังอ่อนโยน
“น้องสาวเจินจู ไม่ได้เจอกันนานจริงๆ”
เขายิ้มแ่เบาพร้อมกับมองไปรอบๆ ด้วยท่าทางที่งดงาม
เจินจูตกตะลึงนิดหน่อย และหมุนกายต้อนรับคนเข้ามาในศาลาริมสระน้ำ
“ศาลาหลังนี้สร้างขึ้นเมื่อไรกัน?” กู้ฉีถามด้วยความประหลาดใจ
มาครั้งก่อน เขายังไม่เห็นเลย
“ฮ่าๆ เพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่นาน พี่ชายกู้อู่ ท่านนั่งก่อน ข้าจะไปชงชาให้พวกท่าน”
เงากายเพรียวบางของสาวน้อยเดินไปทางหลังบ้าน
กู้ฉีนั่งอยู่บนศาลา สายลมเย็นโชยผ่านเบาๆ พัดกระจายอากาศร้อนอบอ้าวของหน้าร้อนไป
ดอกบัวในสระน้ำผลิบานสะพรั่ง สะอาดสดชื่นและบริสุทธิ์ สวยงามไม่เป็สองรองใคร
สกุลหู... แม้แต่ดอกบัวก็ล้วนผลิบานได้อย่างมีชีวิตชีวายิ่งกว่าเมืองหลวงเสียอีก
กู้ฉีประคองรับถ้วยน้ำชาที่เจินจูยื่นมาให้ กลิ่นหอมของดอกเบญจมาศโชยเข้าจมูกเป็พักๆ คือชาดอกเบญจมาศหรือนี่
“นี่เป็ชาดอกเบญจมาศ?”
เปิดฝาถ้วยชาออก ดอกเบญจมาศสีเหลืองอ่อนลอยอยู่เหนือผิวน้ำชา
“ใช่แล้ว ท่านลองดื่มดู” นี่เป็ผลผลิตใหม่จากมิติช่องว่างของเจินจู นางปลูกไว้ไม่น้อยเลย
พอปลูกดอกเบญจมาศ กลิ่นหอมแต่เดิมในมิติช่องว่างล้วนถูกกลิ่นหอมอันเข้มข้นของดอกเบญจมาศปกคลุมเข้าไปแทนที่
นางเด็ดมาเก็บไว้ในมิติช่องว่างไม่น้อย และแอบชงขึ้นมาเองสองสามครั้ง ผลลัพธ์คือรสชาติดีมาก
กู้ฉีจิบเบาๆ หนึ่งอึก กลิ่นหอมของดอกเบญจมาศแผ่กระจายทั่วทั้งปากและจมูก ล้วนเป็กลิ่นหอมเย็นของดอกเบญจมาศที่หอมสดชื่น
“อร่อยมาก นี่เป็ดอกเบญจมาศที่บ้านเ้าปลูกเองหรือ?”
“ฮ่าๆ แน่นอนว่าไม่ใช่ ที่บ้านข้าปลูกยังโตได้ไม่เท่าไรเลย นี่เก็บมาจากบนูเา” เจินจูหาข้ออ้างไปเรื่อยเปื่อย
“ดอกเบญจมาศบนูเาหรือ ผลิบานได้สวยงามจริงๆ” กู้ฉีแกว่งดอกไม้ในถ้วยชา แล้วประคองขึ้นดื่มอีกหนึ่งอึก ไม่เลวจริงๆ ด้วย
“ฮ่าๆ” เจินจูหัวเราะ แล้วมองกองของขวัญเล็กใหญ่บนโต๊ะหินแวบหนึ่ง
“พี่ชายกู้อู่ นี่กลับมาจากไหนกัน ถึงได้เอาของมามากมายเพียงนี้”
“ไปรัฐโจวมาหนึ่งรอบ ซื้อผลิตผลพื้นเมืองในท้องถิ่นมาเล็กน้อย” กู้ฉียิ้มแล้วกล่าว “รัฐโจวมีเนื้อแห้งที่ทำขึ้นเป็พิเศษ ได้ยินคนในพื้นที่ว่ากันว่ารสชาติไม่เลว เลยเอามาด้วยนิดหน่อย”
“ขอบคุณพี่ชายกู้อู่ เมืองไท่ผิงไปรัฐโจวต้องใช้เวลานานเท่าไรหรือ?” เจินจูถามด้วยความอยากรู้ หากมีเวลานางก็อยากไปดูสักหน่อยเช่นกัน
“รถม้าจำเป็ต้องวิ่งใช้เวลาค่อนวันโดยประมาณ”
กู้ฉีเห็นนางมีความสนใจเล็กน้อย จึงบรรยายประเพณีและทิวทัศน์บริเวณรัฐโจวให้นางฟังนิดหน่อย
เจินจูฟังจนเกิดความสนใจเป็อย่างมาก
ผ่านไปไม่นาน ทุกคนที่พักผ่อนเวลากลางวันต่างก็เริ่มตื่นขึ้น
หูฉางกุ้ยขยี้ตาเดินออกมานอกห้อง เมื่อก่อนแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยมีนิสัยนอนพักกลางวันเลย นับั้แ่ย้ายเข้ามาบ้านใหม่ ผิงอันเริ่มเข้าโรงเรียน เจินจูจึงขอให้เขาพักกลางวันครึ่งชั่วยาม เวลาตอนเที่ยงของที่บ้านจึงเงียบลงไปเป็ธรรมดา
แต่เดิมหูฉางกุ้ยคิดจะพักอยู่เป็เพื่อนหลี่ซื่อพักหนึ่ง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าตนเองก็หลับไปด้วยเช่นกัน
เพิ่งออกมาถึงหน้าบ้าน หูฉางกุ้ยก็เห็นแขกที่มาในศาลา
เขารีบไปพบปะอย่างมีมารยาท ทักทายอยู่สองสามประโยค
เวลาไม่กี่ประโยคนั้น ทำให้ทุกคนที่เตรียมออกจากบ้าน ล้วนทยอยกันเข้ามาทักทายอย่างตระหนักได้
คนในบ้านส่วนใหญ่กู้ฉีรู้จัก เว้นก็แต่จ้าวหงยู่ที่เพิ่งมาใหม่
จ้าวหงยู่กังวลเล็กน้อย การกระทำจึงไม่เป็ธรรมชาติ กล่าวอย่างตะกุกตะกักอยู่บ้างแล้วเลี่ยงออกไป
กู้ฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย ในสายตาของเขาการจ้างผู้ทำงานระยะยาวที่กลัวหัวหดและขี้ขลาดเช่นนี้มาทำงาน ไม่สู้จ่ายเงินซื้อคนรับใช้หญิงและหญิงชราที่ฝึกอบรมแล้วสองสามคนมาไม่ดีกว่าหรือ
แต่อย่างไรเสียก็เป็เื่ส่วนตัวของสกุลหู เขาเองเข้ามาแทรกแซงอะไรมากไม่ได้
ทุกคนในสกุลหูต่างเริ่มยุ่งกับงาน่บ่าย มีเพียงหลี่ซื่อที่ไม่ได้เดินออกมาข้างนอก
คิดๆ ไปแล้วคงไม่อยากเจอกู้ฉี แล้วจะพาลคิดไปถึงเื่ราวในอดีตที่ผ่านมาอีก
เจินจูไปเติมน้ำชาให้กู้ฉีที่ห้องครัว หลังจากนั้นมอบหมายงานให้พานเสวี่ยหลันไปแปลงผักจัดเก็บผักออกมาให้เป็ระเบียบ อีกเดี๋ยวจะให้กู้ฉีนำกลับไป
งานนี้พานเสวี่ยหลันทำได้คล่องแคล่วและราบรื่น เวลาหลายวันมานี้นางเริ่มรู้แล้วว่าผักพวกแตงและถั่วในแปลงผักของสกุลหู ต้องเก็บไว้ขายครึ่งหนึ่ง
เว้นห่างไปสองหรือสามวันก็เก็บหนึ่งรอบ และนำไปส่งให้คนเขา
กู้ฉีดื่มน้ำชา ไตร่ตรองอยู่พักหนึ่งและเอ่ยถามอย่างพิจารณา “น้องสาวเจินจู ครั้งก่อนบ้านเ้าขายโสมคนให้หลิวผิงไปขุดมาจากที่ไหนหรือ? บอกข้าได้หรือไม่?”
โสมคน? มองความระมัดระวังของกู้ฉีออก ดวงตาเจินจูสั่นไหวเล็กน้อย เป็โสมคนที่นางเพาะเลี้ยงไว้ในมิติช่องว่างระยะเวลาสั้นๆ กระมัง เขาใช้ไปกับร่างกายของผู้ใดหรือ?
“แน่นอนว่าขุดบนูเาสิ นู่น... เป็ูเาผืนนู้น” นางชี้ไปยังทิศทางหลังูเาด้วยสีหน้าท่าทางอย่างเป็ธรรมชาติ
กู้ฉีหันไปยังทิศทางที่นางชี้และเหม่อมองจนสุดลูกตา กลุ่มเขายาวเหยียดไม่ขาดสาย ผืนป่ากว้างใหญ่เต็มไปด้วยต้นไม้พุ่มไม้
“เป็โสมคนที่น้องสาวขุดได้หรือ?” กู้ฉีถามต่อ
“อืม... เป็ข้าขุด แต่เป็เสี่ยวเฮยพาข้าไปถึงยอดเขาแล้วขุดมาได้” เจินจูไม่กลัวเปิดโปงความสามารถของเสี่ยวเฮย เสี่ยวเฮยฝีมือว่องไว ไม่ใช่คนทั่วไปจะสามารถจับไว้ได้
ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่เชื่อหรอกว่าเพื่อประโยชน์เล็กน้อยกู้ฉีจะทำเื่เลวทรามต่ำช้าเช่นนั้น
แม้นางไม่มีสายตาที่มองคนออก แต่นางเชื่อความรู้สึกของตัวเอง
กู้ฉีไม่ใช่คนแบบนั้น
เชิงอรรถ
[1] ฮวาเจวี่ยน (花卷) คือ หมั่นโถวชนิดหนึ่ง ที่ยืดแป้งออกเป็เส้น และม้วนเป็รูปดอกไม้ สามารถเพิ่มเนื้อลงไปเช่นเดียวกับซาลาเปาได้
[2] เล่าปิ่ง (烙饼) คือ ขนมแผ่นกลมๆ ได้ชื่อว่าเป็ขนมแพนเค้กของจีน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้