ในความฝันเมื่อคืน พระพักตร์ของฮองเฮาฉายแววดุร้ายอย่างยิ่ง มือนางอาบไปด้วยเื ฉุดลากเหนียนอีหลานเข้าไปในความมืดมิด ความรู้สึกนั้นทวีความชัดเจนมากขึ้นอีกในยามนี้ ราวกับว่าฮองเฮา้าคร่าชีวิตนางไปก็ไม่ปาน
ฮองเฮา...ไม่ได้เป็อะไรแล้ว นางออกมาจากสวนร้อยสัตว์แล้วหรือ?
เป็ไปได้อย่างไร?
นางมั่นใจว่านางเห็นฟางเหอปิดประตูสวนร้อยสัตว์อย่างชัดเจน ไม่ควรมีผู้ใดรู้ว่าฮองเฮาอยู่ที่ใด ทว่า...
ทว่าเปี่ยวเกอบอกนางว่าท่านยายไปพบฮองเฮาในวัง นี่มันเกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่?
แล้วเหนียนยวี่เล่า
ในใจเหนียนอีหลานเกิดคำถามมากมาย และแต่ละคำถาม้าคำตอบอย่างเร่งด่วน
“เื่ที่เกิดไฟไหม้ในวังหลวงหรือ?” หนานกงจื้อขมวดคิ้ว เขารู้สึกสงสัยว่าเหตุใดนางถึงสนใจเื่นี้ แต่…หนานกงจื้อส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่รู้เหตุการณ์วันที่เกิดไฟไหม้ ประตูทุกจุดในวังหลวงล้วนถูกปิด ทว่าหลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้ ฝ่าาทรงรับสั่งให้ทุกคนในวังหลวงปิดเงียบเื่นี้ ห้ามเอ่ยถึงอีก ฉะนั้นจึงไม่มีผู้ใดรู้ว่าเหตุการณ์ไฟไหม้นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร”
คำตอบนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถเติมเต็มความพอใจของเหนียนอีหลานได้
ทว่าปิดข่าว...ให้ปิดเงียบห้ามเอ่ยถึง...คำพูดเหล่านี้ทำให้เื่นี้ฟังดูไม่ชอบมาพากลขึ้นไปอีก
ในขณะนั้น รอยยิ้มที่เบ่งบานบนใบหน้าของเหนียนอีหลานพลันหมองมัว ความกังวลในใจของนางกลับทวีความรุนแรงขึ้น
ตำหนักชีอู๋ วังหลวง
หลังจากเกิดเพลิงไหม้ในสวนร้อยสัตว์ในวันนั้น ฮ่องเต้หยวนเต๋อจึงรับสั่งลงมาให้ทำความสะอาดทั่วทุกหนแห่งของตำหนัก ตำหนักชีอู๋ในยามนี้ ยังคงเหมือนเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ณ ท้องพระโรง
ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงมาถึงั้แ่เช้า ยามที่มาถึง ฉางไทเฮากับหลีอ๋องจ้าวเยี่ยนเองก็อยู่ที่นั่น หลายคนร่วมดื่มชากันก่อน จนเข้ายามนี้ ฉางไทเฮายังคงมีท่าทีไม่อยากกลับไป
หนานกงจื้อเข้าไปในท้องพระโรงวังหลวงอย่างเร่งรีบ ในตำหนักราวกับกำลังสนทนาพาทีถึงเื่อะไรบางอย่างอย่างสนุกสนาน รอยยิ้มของฮองเฮาอวี่เหวินยิ้มแย้มสดใส
เมื่อเห็นหนานกงจื้อเข้ามา ทุกคนพลันตื่นใ โดยเฉพาะฮูหยินผู้เฒ่าหนานกง ราวกับมีประกายบางอย่างแวบผ่านดวงตานางและจางหายไปโดยพลัน
"วันนี้มิใช่ว่าเ้ามีงานต้องไปทำหรือ เหตุใดถึงได้เข้ามาในวังหลวงได้เล่า?" ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงยกยิ้มหัวเราะ หนานกงจื้อทำท่าทีสงบนิ่ง เขาไม่มีทางมาตำหนักชีอู๋โดยมิมีเหตุผลหรอก
เว้นแต่...จะมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น
หนานกงจื้อโค้งคำนับให้ทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นั่น ครั้นยามที่เขาโค้งคำนับฮูหยินผู้เฒ่าหนานกง เขาพลันกล่าวออกมาว่า “ท่านย่า อีหลานนางเกิดเื่ร้อนใจ ้าพบท่านอย่างเร่งด่วน ครั้นนางได้ยินว่าท่านย่าเข้าไปในวัง นางจึงขอให้หลานช่วยบอกท่านย่า ตอนนี้นางยืนรอท่านอยู่ที่หน้าประตูวัง”
“อีหลานหรือ?” ฮูหยินหนานกงขมวดคิ้ว เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลเหนียนรึ
ยามที่หนานกงจื้อเอ่ยชื่อนี้ออกมา สิ่งนี้ทำให้ผู้คนหวนนึกถึงคือเื่ในงานเลี้ยงฉีเฉี่ยววันนั้นอย่างอดมิได้ ดวงตาของฮองเฮาอวี่เหวินฉายแววรังเกียจวูบไหวผ่านเข้ามา
ในเวลาเดียวกันนั้น ดูเหมือนมีคลื่นอารมณ์สาดซัดปานประหนึ่งตื่นใพาดผ่านดวงตาสงบนิ่งของไทเฮา
หากเป็เมื่อก่อน ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงคงรีบเร่งเดินทางไปจวนเหนียนโดยมิเอ่ยถามหาเหตุผล ทว่าในสถานการณ์ยามนี้นั้น...
“ไร้สาระเสียจริง เด็กน้อยนางนั้นเป็อะไร? มิเห็นหรือว่าข้ากำลังจิบชากับผู้สูงศักดิ์ทั้งสองท่านตรงนี้อยู่” ฮูหยินหนานกงเอ่ยตำหนิด้วยน้ำเสียงแ่เบา
“ฮ่าๆ ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกง ถ้าหากว่าเกิดเื่ด่วน...” ฮองเฮาอวี่เหวินหัวเราะพร้อมกับกล่าวว่า “เช่นนั้น ไม่สู้ให้เปิ่นกงเรียกคนไปตามเหนียนอีหลานให้เข้ามาและถามนางว่าเกิดเื่อะไรขึ้นไม่ดีกว่าหรือ”
“ไม่...ไม่เป็ไรเพคะ หม่อมฉันจะไปรบกวนฮองเฮาได้อย่างไรเพคะ” ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงรีบเร่งส่ายหัวอย่างรวดเร็ว วางถ้วยชาในมือลง “หม่อมฉันอยู่รบกวนเวลาของพระนางทั้งสองมากเกินไปแล้ว เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวลาก่อนเพคะ”
“อืม” ฮองเฮาอวี่เหวินยกยิ้มอย่างอ่อนโยน มิกล่าวทิ้งท้ายอะไรมาก
ทันทีที่ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงออกจากตำหนักชีอู๋ ฉางไทเฮาเอ่ยกับฮองเฮาอวี่เหวินอีกไม่กี่คำ แล้วจึงค่อยกลับออกไปพร้อมกับหลีอ๋องจ้าวเยี่ยน
ยามที่เดินออกจากตำหนักชีอู๋ ฉางไทเฮาก้าวเดินอย่างเร่งรีบ เพิ่มความเร็วในการก้าวเดินมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่ากลับมิได้มุ่งไปยังทิศทางของตำหนักฉางเล่อ
หลีอ๋องจ้าวเยี่ยนเดินตามหลัง สายตามองไปยังประตูอันชิ่งตรงหน้า คนเฉลียวฉลาดเช่นเขา เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นก็สามารถเข้าใจเจตนาของฉางไทเฮาได้ทันที “เสด็จแม่ เื่ของตระกูลเหนียน กระหม่อมไม่อยากเข้าไปยุ่ง”
ฝีเท้าของฉางไทเฮาหยุดชะงักเล็กน้อย นางปรายสายตามองจ้าวเยี่ยน ดวงตาฉายอารมณ์ขุ่นเคืองไม่พอใจ “เ้ารู้ตัวว่าเ้าไม่อยากเข้าไปยุ่งเื่ของคนตระกูลเหนียน เช่นนั้นเพลงฉินที่เ้าบรรเลงในตำหนักฉางเล่อวันนั้นทำไปเพื่ออะไรเล่า”
วันนั้น...
จ้าวเยี่ยนตกตะลึง เขาเข้าใจทันทีว่าฉางไทเฮาหมายถึงวันไหน
วันที่จ้าวอี้อุ้มเหนียนยวี่ออกมาจากสวนร้อยสัตว์ และเดินตรงไปยังตำหนักฉิ่นของตัวเองที่ตั้งอยู่ในวังหลวง ส่วนเขา...
วันนั้นเขาไม่รู้ว่าเหตุใดในใจเขาถึงได้รู้สึกหดหู่อย่างมาก ภาพที่เหนียนยวี่ปฏิเสธและปัดป้องเขาคอยวนเวียนอยู่ในหัว เขาบรรเลงฉินจนมิรู้เลยว่ายามบ่ายได้ล่วงเลยไปแล้ว ยิ่งมิรู้เลยว่า ในระหว่างที่ตัวเขาเล่นฉินอยู่นั้นมีอารมณ์ความรู้สึกแบบใด จนกระทั่งเสด็จแม่มาพบเจอเลยหรือ
“เหนียนยวี่? หญิงสาวผู้นั้น แท้จริงแล้วดูจะโดดเด่นไม่น้อย” ฉางไทเฮาครุ่นคิดถึงเงาร่างบางของหญิงสาวนางนั้น สีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้นทันใด คงมิใช่ว่า...
ฉางไทเฮาสบตาเขา น้ำเสียงเ็าขึ้นไม่น้อย “ข้ายังคงพูดเช่นเดิมว่า โดดเด่นคือโดดเด่น เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ความรู้สึกของเ้าควรอยู่กับพี่สาวของนาง เหนียนอีหลาน”
ฉางไทเฮาเอ่ยพลาง ก้าวไปพลาง
เหนียนอีหลานหรือ?
จ้าวเยี่ยนเคยเห็นนาง ทว่าเขาจำไม่ได้ว่าเหนียนอีหลานหน้าตาเป็เช่นไร
ไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงประตูอันชิ่ง พวกเขาเห็นรถม้าตระกูลเหนียนจอดอยู่ด้านนอกประตูอันชิ่ง และยังประจวบเหมาะเห็นเหนียนอีหลานและหนานกงจื้อกำลังช่วยกันประคองฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงขึ้นรถม้าพอดี
“ฮูหยินหนานกง...”
ยามที่คนบนม้าได้ยินเสียงนั้นดังขึ้นมา พวกเขารู้สึกใเล็กน้อย ครั้นเงยหน้ามองผู้ที่มาเยือน ทั้งสามพลันรีบเร่งคารวะให้คนผู้นั้นทันที “คารวะฉางไทเฮา คารวะท่านอ๋องหลี”
“ฉางไทเฮา ท่าน...” สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงฉายอารมณ์ประหลาดใจ ฉางไทเฮาผู้ที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายมาตลอด มิเคยสุงสิงข้องเกี่ยวกับผู้ใด ยิ่งกับตระกูลหนานกงนั้นยิ่งมิเคยเข้าหากันเลยสักครา ทว่าเห็นได้ชัดว่าท่าทีของนางในวันนี้คือ นางกำลังเข้าหาตนเอง
“ฮูหยินจะไปตระกูลเหนียนใช่หรือไม่?” ฉางไทเฮาเอ่ยกับนาง พลางยกยิ้มอย่างอบอุ่น “ก่อนหน้านี้ไม่นานเท่าใดนัก ข้าเคยสานสัมพันธ์กับฮูหยินผู้เฒ่าเหนียน เราพบกันที่เขาฉีชาน คุยเพียงไม่นานก็เข้ากันได้อย่างดี ได้ยินว่าฮูหยินผู้เฒ่าเหนียนเองก็กลับมาเมืองชุ่นเทียนแล้วเช่นกัน ข้าคิดอยู่ตลอดว่าอยากจะไปขอดื่มชาสักถ้วยที่จวนเหนียนเสียหน่อย วันนี้ช่างบังเอิญนัก ข้าจึงสงสัยว่าจะขอไปกับฮูหยินได้หรือไม่?”
คำร้องขอของฉางไทเฮาผู้นี้ มิใช่เป็แค่พวกเด็กน้อย ทว่าแม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงยังรู้สึกแปลกใจ
ทว่านางที่เคยชินโลกใบนี้ จึงเข้าใจได้อย่างเป็ธรรมชาติ นางเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าขอดื่มชาที่ฉางไทเฮาเอ่ยนั้น มิได้เอ่ยผิดไป ทว่าความจริงแล้วนั้นเกรงว่าคงจะมีเป้าหมายอื่นแอบแฝงอยู่ด้วย
ทว่าเป้าหมายของนาง..ไปที่จวนเหนียน นาง้าทำอะไรกันแน่?
“มิขัดข้องเพคะ ย่อมต้องได้อยู่แล้ว ไทเฮาทรงขึ้นรถม้าก่อนเลยเพคะ” ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงไม่ปฏิเสธ แม้จะไม่ชัดเจนว่าฉางไทเฮามีเป้าหมายอะไรแอบซ่อนอยู่ ทว่านางจะรับความเมตตานี้ไว้แล้วกัน
เมื่อนึกถึงเื่ที่เหนียนอีหลานบอกนาง ฮูหยินผู้เฒ่าหนานกงหรี่ดวงตาลง หากฉางไทเฮาไปด้วย เช่นนั้นน่าจะดีขึ้นบ้างมิใช่หรือ?
ฉางไทเฮาและฮูหยินหนานกงนั่งรถม้าคันเดียวกัน เหนียนอีหลานติดตามอย่างใกล้ชิด หลีอ๋องจ้าวเยี่ยนและหนานกงจื้อขี่ม้าตามหลังไปอย่างประชิด
ทันทีที่คนกลุ่มนี้ผ่านประตูจูเชวี่ย รถม้าหยุดที่ด้านนอกประตู เหนียนยวี่โผล่หัวออกมานอกรถม้า ปะทะเข้ากับสายตาของหลีอ๋องจ้าวเยี่ยนที่กำลังขี่ม้าอยู่พอดี
เหนียนยวี่หรือ?
ชื่อสองพยางค์นี้ผุดขึ้นมาในหัว สายตาของหญิงสาวลับจากสายตาไปเสียแล้ว ทั้งนางยังหลบตัวเข้าไปในรถม้าเรียบร้อยแล้ว
การจ้องมองอย่างเฉยเมยและหลบหน้า สถานการณ์เช่นนี้ราวกับจะตบหน้าจ้าวเยี่ยน
มือของจ้าวเยี่ยนจับบังเหียนแน่น นางไม่อยากเห็นเขามากขนาดนี้เลยหรือ?