บทที่ 6 มิติหยกพันปี EP.1
แม้จะมีการประกาศแยกตระกูลอย่างเป็ทางการแล้ว แต่สถานะของพวกเขาก็ยังคงเป็เพียงนักโทษเนรเทศ ทุกชีวิตยังต้องก้าวเดินต่อไปภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวดของราชสำนัก ค่ำคืนนี้เป็คืนแรกที่ตระกูลไป๋มิได้เป็หนึ่งเดียวกันอีกต่อไป กองไฟถูกแยกออกจากกันอย่างชัดเจน ไป๋จ้านและไป๋เจิ้งนำครอบครัวของตนไปตั้งกลุ่มใหม่ แม้ขบวนเดินทางยังคงร่วมทาง แต่ใจของพวกเขาได้หันหลังให้กันราวกับคนแปลกหน้าไปเสียแล้ว
ไป๋อวี้เจียว เด็กน้อยนั่งกอดเข่ามองภาพเ่าั้อย่างเงียบงัน นางกระชับผ้าคลุมไหล่เก่าๆ ของมารดาแน่นขึ้น ลมหนาวที่พัดกรรโชกจนบาดผิว แต่ยังไม่หนาวเหน็บเท่าสายตาของท่านพ่อที่ทอดมองไปยังน้องชายทั้งสอง... แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความปวดร้าวสุดหยั่ง ลึกลงไปคือความผิดหวังและเหนื่อยล้าจนถึงก้นบึ้ง แต่บุรุษผู้แบกรับศักดิ์ศรีของผู้นำตระกูลผู้นี้กลับไม่เอื้อนเอ่ยคำตัดพ้อสิ่งใด นอกจากก้มหน้ายอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้น
เมื่อถึงเวลาอาหาร ไป๋อวี้เจียวได้รับชามไม้เก่า ๆ ใบหนึ่ง ไอร้อนจาง ๆ จากชามใบเล็กในมือช่วยคลายความหนาวเหน็บได้เพียงเล็กน้อย นางจ้องมองของเหลวขาวขุ่นเบื้องหน้า มันคือน้ำต้มข้าวที่ใสจนแทบมองไม่เห็นเม็ดข้าว ลอยคว้างอยู่อย่างน่าเวทนา ผู้คนรอบข้างที่ยังภักดีต่อท่านพ่อ ต่างได้รับเช่นเดียวกัน บางคนแม้แต่ชามของตนก็ยังต้องแบ่งกันซด เพราะเสบียงที่ติดตัวมานั้นร่อยหรอลงทุกลมหายใจ
มือเล็กขยับช้อนไม้ช้า ๆ แล้วพลันชะงักเมื่อสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ น้ำต้มข้าวในชามของนางและท่านแม่ กลับข้นคลั่กกว่าของผู้อื่น ภายในมีเนื้อข้าวขาวนวลลอยปะปนอยู่มากกว่าก้นชามอย่างเห็นได้ชัด... มีผู้ตั้งใจทำให้นางและท่านแม่ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด
นางไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็ฝีมือผู้ใด...ท่านพ่อ
หัวใจเล็ก ๆ ของไป๋อวี้เจียวบีบรัดแน่นจนเจ็บหนึบ นางเข้าใจความหมายของสิ่งที่อยู่ในชามทันที พ่อของนางคงเทส่วนที่เป็เนื้อข้าวของตนเองมาให้นางและท่านแม่จนหมดสิ้น โดยที่ในชามของท่านคงเหลือเพียงน้ำใส ๆ รสจืดชืดเพื่อประทังชีวิต
มือเล็กกำช้อนแน่นจนข้อนิ้วซีดขาว นางก้มหน้าลงต่ำเพื่อซ่อนดวงตาที่ร้อนผ่าวและเอ่อล้นด้วยหยาดน้ำตา ในขณะที่คนรอบข้างต่างซดน้ำต้มข้าวเงียบ ๆ เพื่อกลืนกินความหิวโหย บรรยากาศที่เคยเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยของเครือญาติ บัดนี้กลับเงียบสงัดวังเวง มีเพียงเสียงหวีดหวิวของลมหนาว และเสียงไม้ฟืนแตกเปรี๊ยะในกองไฟเท่านั้น
นางเงยหน้ามองท่านพ่อที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เขายังคงสงบนิ่ง ใช้ท่อนไม้เขี่ยกองไฟ ร่างสูงที่เคยสง่างามดั่งขุนเขา บัดนี้กลับดูผ่ายผอมจนน่าใจหาย เสื้อคลุมตัวเก่าขาดวิ่นเป็รอยพอ ๆ กับหัวใจของทุกคน แต่สิ่งที่นางสังเกตเห็นชัดเจนคือ ชามในมือของท่านพ่อ... มีเพียงน้ำใสแจ๋ว แทบไม่มีเงาของเม็ดข้าวเลยแม้แต่เม็ดเดียว
ไป๋อวี้เจียวเม้มริมฝีปากแน่น นางอยากจะร้องบอกให้ท่านพ่อรับส่วนของนางคืนไป อยากจะลุกขึ้นทำอะไรสักอย่างเพื่อทัดทานความรักที่เจือความเสียสละอันน่าเ็ปนี้ แต่ในวินาทีนั้น นางเห็นท่านพ่อยกชามขึ้นจรดริมฝีปากแห้งผาก ค่อย ๆ ซดน้ำต้มข้าวอย่างสงบเยือกเย็น ราวกับมันเป็อาหารรสเลิศจากวังหลวง ทำให้นางจุกจนพูดไม่ออก สิ่งเดียวที่ทำได้คือกลืนก้อนสะอื้นลงคอ แล้วก้มหน้ากินข้าวต้มแห่งความเสียสละนั้นให้หมด เพื่อไม่ให้เจตนาของท่านพ่อสูญเปล่า
เมื่อมื้ออาหารอันแสนหดหู่ผ่านพ้นไป ร่างเล็กๆ เอนกายลงบนกองฟางในรถม้าที่โคลงเคลง ฤทธิ์ยาขมปร่าที่ท่านพ่อเจียดเงินก้อนสุดท้ายซื้อมาเริ่มออกฤทธิ์ ความอ่อนล้าก็เริ่มกัดกินสติ เปลือกตาหนักอึ้งค่อย ๆ ปิดลง ปล่อยจิติญญาให้ล่องลอยไปในห้วงนิทรา ภาพอดีตในยามที่นางคือ 'พันเอกไป๋อวี้เจียว' หวนคืนเข้ามาในความทรงจำอีกครา ราวกับม้วนฟิล์มที่ฉายซ้ำ โปรเจกต์ยาอายุวัฒนะ...ความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ที่นางทุ่มเททั้งชีวิตจิตใจ หากสำเร็จ มนุษยชาติอาจก้าวข้ามขีดจำกัดแห่งสังขาร เป็ดั่งพระเ้าผู้กำหนดความตาย แต่ทว่า... ความสำเร็จที่อยู่เพียงปลายนิ้ว กลับถูกพรากไปด้วยน้ำมือของคนทรยศและองค์กรลับ นำมาซึ่งจุดจบอันน่าเศร้าสลด
'พวกมัน... จะได้ยาอายุวัฒนะของข้าไปหรือไม่?'
ความกังวลแล่นริ้วในใจดั่งไฟลามทุ่ง หากพวกคนชั่วช้าได้ยาอายุวัฒนะ อำนาจของพวกมันจะยิ่งใหญ่เกินหยั่งถึง โลกใบนี้จะตกอยู่ในเงื้อมมือของปีศาจในคราบมนุษย์หรือไม่?
ทันใดนั้น ความรู้สึกเย็นวาบที่นิ้วก้อยข้างซ้ายก็ดึงนางกลับมาสู่ปัจจุบัน มือเรียวเล็กยกขึ้นช้า ๆ ที่นิ้วก้อยข้างซ้ายปรากฏรอยสักสีเขียวมรกต รูปวงแหวนหยก ลวดลายโบราณคุ้นตา หากแต่ความทรงจำกลับเลือนราง นางจำได้เพียงลาง ๆ ว่า มันคือแหวนหยกแตกร้าวในสุสานร้าง ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายของนางจะหลุดลอย รอยสักรูปแหวนหยกสีเขียวมรกตที่นิ้วก้อยเปล่งแสงเรืองรองวูบวาบ ลวดลายรอยร้าวที่เคยเห็นในสุสานก่อนตาย บัดนี้กลับผสานเป็เนื้อเดียวกัน
เหตุใด... แหวนหยกวงนั้น จึงกลายมาเป็รอยสักฝังแน่นบนนิ้วของข้าได้?
คำถามมากมายวนเวียนอยู่ในสมอง นางไม่เข้าใจกลไกแห่งการข้ามภพ การกลับชาติมาเกิด และปริศนาของแหวนหยกวงนี้เลยจริง ๆ นางยกมือข้างนั้นขึ้นมา ปลายนิ้วลูบไล้รอยสักเบา ๆ ััที่ได้รับกลับไม่ใช่ผิวเนื้ออุ่น ๆ แต่เป็ความเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง ขัดกับผิวเนื้อนุ่มเนียน ราวกับััหยกเนื้อดีที่มีชีวิต
ฉับพลันทันใด!! ภาพตรงหน้าพลันดับวูบ ความมืดมิดอนธการเข้าปกคลุม ััทั้งห้าดับสนิท ราวกับร่างและิญญาถูกกระชากด้วยแรงดึงดูดมหาศาล เหวี่ยงนางเข้าสู่ใจกลางพายุที่มองไม่เห็น!
วูบ!
เมื่อเปลือกตาเปิดขึ้นอีกครั้ง แสงสีทองสว่างจ้าเจิดจรัสแยงตาจนต้องยกมือขึ้นป้อง ไป๋อวี้เจียวขยี้ตาถี่ ๆ ปรับสายตาให้คุ้นชินกับแสง ภาพที่ค่อย ๆ ปรากฏชัดเบื้องหน้า ทำให้นางต้องเบิกตากว้าง อ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึงจนแทบหยุดหายใจ
"นี่มัน... เกิดอะไรขึ้นกันแน่!?"
นางยืนอยู่ท่ามกลางโลกใบใหม่ที่แตกต่างจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง! โลกที่เต็มไปด้วยแสงสีทองอร่ามเรืองรอง พื้นดินใต้เท้ามิใช่ดินโคลนสกปรก แต่ปูด้วยหยกขาวมันแพล็บเนื้อดีทอดยาวสุดลูกหูลูกตา เบื้องหน้าคือขุนเขาสูงตระหง่านเสียดฟ้าที่โอบล้อมพื้นที่แห่งนี้ไว้
ไป๋อวี้เจียวตกตะลึงจนตัวแข็งทื่อ สูดลมหายใจลึกรีบกวาดตามองรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง คล้ายหลุดเข้ามาในดินแดนเทพเซียนที่ไร้ผู้คน
“นี่มัน… ข้างในแหวนงั้นหรือ?เป็มิติอย่างนั้นรึ…บ้าน่า!!” พันเอกไป๋อวี้เจียวพึมพำกับตัวเอง ระหว่างที่นางกำลังสงสัย สายตาเหลือบไปเห็นกองมหึมาที่วางระเกะระกะอยู่ในมุมต่าง ๆ ของห้องโถง ซึ่งมีขนาดใหญ่โตมโหฬารยิ่งกว่าท้องพระโรงวังหลวงที่นางเคยเห็นในยุคโบราณนับร้อยเท่า! บางจุดเป็ หีบสมบัติทองคำ ที่วางซ้อนกันจนล้นทะลัก ปิดฝาไม่ลง บ้างก็เป็อาวุธรูปร่างพิสดาร แผ่ออราสังหารวางเรียงรายไว้บนแท่นศิลา บางจุดกองทับถมกันจนกลายเป็ูเาเลากา!
ไกลออกไป นางมองเห็นแปลงพืชผักสมุนไพรแปลกตา ใบของมันเรืองแสงสีเงินสีทองระยิบระยับ และทุ่งข้าวสาลีที่กำลังออกรวงสีทองอร่ามไหวลู่ตามลมที่ไม่มีที่มาที่ไป ไหนจะต้นไม้ใหญ่ั์ที่มีผลไม้สีสันสดใสออกผลดกจนกิ่งแทบหัก นางมองไม่ชัดว่ามีผลไม้อะไรบ้าง แต่ความอุดมสมบูรณ์นั้นเกินคำบรรยาย
เมื่อมองไปรอบ ๆ ตัวเอง ไป๋อวี้เจียวถึงกับขาอ่อนทรุดลงนั่ง...ูเาสมบัติ! ไม่ใช่คำเปรียบเปรย แต่มันคือูเาจริงๆ! กองทองคำแท่งสูงเสียดฟ้า กองอัญมณีหลากสีระยิบระยับราวกับดวงดาวที่ร่วงหล่นลงมา หีบสมบัติโบราณนับหมื่นใบวางเรียงรายซ้อนกันจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
เมื่อความตะลึงเริ่มจางหาย สติปัญญาเริ่มกลับคืนมา ไป๋อวี้เจียวตัดสินใจก้าวเท้าสำรวจลึกเข้าไปในมิติพิศวงแห่งนี้ แสงสีทองราวกับมีชีวิต คอยนำทางส่องสว่างไปยังโถงด้านใน ยามเมื่อนางย่างเท้าเข้าไป ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า ทำให้นางต้องหยุดชะงักอีกครั้ง หัวใจเต้นระรัวด้วยความอัศจรรย์ใจ
เสาหินั์แกะสลัก ต้นมหึมา ขนาดหลายสิบคนโอบ เรียงรายเป็ทิวแถวขนาบสองฝั่ง ทอดยาวสุดสายตา เสาแต่ละต้นสูงเสียดฟ้าจนมองไม่เห็นยอด ลวดลายแกะสลักวิจิตรบรรจงราวกับมิใช่ฝีมืุ์ บอกเล่าเื่ราวในอดีตกาล บนผิวเสาหินปรากฏอักขระโบราณสลับกับอักษรจากยุคสมัยอื่น เรืองแสงวูบวาบราวกับมีลมหายใจ ราวกับบันทึกประวัติศาสตร์ที่มีชีวิตของผู้ที่เคยแหวนวงนี้
ไป๋อวี้เจียวเดินช้า ๆ เลียบเสาหินทีละต้น สายตาไล่อ่านอักขระที่สลักเสลา น่าประหลาดที่แม้จะเป็อักษรโบราณคร่ำครึ นางกลับสามารถอ่านเข้าใจได้อย่างง่ายดาย ราวกับภาษาเ่าั้ถูกฝังลึกอยู่ในจิตสำนึกของนางมานานนับพันปี
“หรือว่า… นี่จะเป็เพราะข้าเป็เ้าของแหวน?”
นางพึมพำกับตัวเอง พลางก้มลงพิจารณารอยสักรูปแหวนบนนิ้วก้อย ความเชื่อมโยงระหว่างนางกับแหวนมิติ เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
เื่ราวบนเสาหิน เปิดเผยชีวิตและชะตากรรมของผู้แหวนในอดีต เสาต้นหนึ่งสลักเื่ราวของผู้แหวนลำดับที่ 15
“มหาโจรลือนามหวงหงเฟย… ปล้นสะดมทรัพย์สมบัติมหาศาล… เก็บไว้ในแหวน… จบชีวิตด้วยการถูกลูกน้องคนสนิทสังหารเพื่อแย่งชิงแหวน”
ไป๋อวี้เจียวอ่านพลางนึกภาพตาม มหาโจรผู้องอาจกวาดล้างทรัพย์สินจากทั่วหล้า แล้วนำมากองไว้ในมิติแห่งนี้ กลิ่นคาวเืดูเหมือนจะยังติดอยู่ที่เสาต้นนี้
อีกเสาต้นหนึ่ง ลำดับที่ 24 เล่าถึงเ้าของแหวนที่เป็ “จักรพรรดิหลี่จวิน… เรืองอำนาจตีดินแดนรอบแคว้นจนกระทั่งเป็ใหญ่แต่เพียงผู้เดียว จนกระทั่งอายุได้ 50 ปีจบชีวิตด้วยคำสาปเืของตระกูล…”
นางอ่านแล้วขนลุกซู่ อำนาจและวาสนา มิอาจเหนือกฎแห่งกรรม แม้แต่จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ก็มิอาจหลีกพ้นชะตากรรม
เสาต้นที่ 31 เล่าถึง จอมเวทเนตรทิพย์ นามว่าซุนเฮยหลง “ผู้มีดวงตาสามารถหยั่งรู้ทุกสรรพสิ่งในจักรวาล… เพียงแค่ชายตามองก็ล่วงรู้ถึงอดีต ปัจจุบัน และอนาคต… ทรัพย์สินของเขานั้นมากมายเกินคณานับ ว่ากันว่าเพียงแค่ค่าดูดวงชะตาครั้งเดียวก็สามารถซื้อเมืองเล็ก ๆ ได้ทั้งเมือง… เขาสะสมตำราเวทมนตร์โบราณและวัตถุวิเศษหายากไว้มากมาย… แต่สุดท้าย… ซุนเฮยหลงกลับต้องจบชีวิตอย่างน่าอนาถ… เขาพยายามที่จะมองทะลุถึงความลับของการเกิดและดับ… และในขณะที่เขากำลังเพ่งมองเข้าไปในห้วงแห่งความว่างเปล่า… ดวงตาของเขาก็ไหม้เป็จุณ… ร่างกายสลายกลายเป็เถ้าธุลี ราวกับถูกพลังงานลึกลับบางอย่างลงโทษ…”
เสาต้นที่ 40 หมอเทวดา นามว่า ฮัวโถวเซียน “ผู้มีฝีมือในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บเหนือกว่าผู้ใดในแผ่นดิน… ไม่ว่าจะเป็โรคร้ายที่หมอคนอื่นต่างส่ายหน้าฮัวโถวเซียนก็สามารถรักษาให้หายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ผู้คนจากทั่วทุกสารทิศต่างหลั่งไหลมาขอความช่วยเหลือ และแน่นอนว่าค่ารักษาของเขานั้นก็สูงเสียดฟ้า ว่ากันว่าทองคำและอัญมณีที่เขาสะสมไว้นั้นสามารถนำมาสร้างหอคอยทองคำได้เสียด้วยซ้ำ แต่แล้ว ฮัวโถวเซียนกลับต้องมาจบชีวิตด้วยโรคประหลาดที่ไม่เคยมีใครรู้จัก แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถหาสาเหตุและรักษาตัวเองได้ ร่างกายของเขาค่อย ๆ เน่าเปื่อยผุพังไปทีละน้อย… ท่ามกลางความร่ำรวยมหาศาลและความสามารถอันไร้ขีดจำกัด… เขากลับต้องตายอย่างทรมาน…”
เสาต้นที่ 55 แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ นามว่า จ้าวเทียนหลง “ผู้บัญชาการกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ เขาออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับจักรพรรดิ กวาดล้างศัตรูและขยายอาณาเขตจนแผ่ไพศาล ชัยชนะทุกครั้งนำมาซึ่งทรัพย์สินและยศถาบรรดาศักดิ์มากมาย เมืองขึ้นต่าง ๆ ต่างส่งบรรณาการมาให้เขาอย่างไม่ขาดสาย คลังสมบัติส่วนตัวของเขานั้นเต็มไปด้วยทองคำ อาวุธหายาก และของมีค่าจากทั่วทุกมุมโลก แต่ในที่สุด จ้าวเทียนหลงกลับต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า… หลังจากที่เขาสร้างคุณูปการมากมายจนไม่มีใครเทียบได้ จักรพรรดิกลับเกิดความหวาดระแวงในอำนาจของเขา และสั่งปะาเขาอย่างไร้ความปราณี ราวกับว่าความสำเร็จและความมั่งคั่งของเขานั้น เป็เพียงชนวนที่นำไปสู่จุดจบอันน่าสลดใจ…”
ยิ่งอ่าน ขนอ่อนทั่วร่างยิ่งลุกชัน เ้าของแหวนแต่ละคนล้วนเป็ตำนาน เป็ผู้ยิ่งใหญ่ในยุคสมัยของตน ทั้งจักรพรรดิ แม่ทัพ หมอเทวดา จอมเวท แต่จุดร่วมเดียวของพวกเขาคือจุดจบอันน่าสยดสยอง
เท้าของนางหยุดลงที่เสาต้นสุดท้าย...
“เสาต้นที่ 99…” สายตาของไป๋อวี้เจียว หยุดอยู่ที่เสาหินต้นสุดท้าย รูปสลักบนเสาเป็ภาพชายชรา ใบหน้าเคร่งขรึม ดวงตาเปล่งประกายอำนาจและดูคุ้นเคยอย่างประหลาด ราวกับนางเคยเห็นหน้าเขาที่ไหนสักแห่งในโลกอนาคต ใต้รูปสลัก มีคำอธิบายสั้น ๆ ที่ทำให้นางแทบหยุดหายใจ
“ท่านผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ แหวนนาน 32 ปี สิ้นชีพด้วยการถูกแทงทะลุหัวใจ…”
“ถูกแทงทะลุหัวใจ…?”
ไป๋อวี้เจียวยกมือปิดปาก ความเย็นเยียบแล่นพล่านไปทั่วไขสันหลัง ท่านผู้นำคนนั้น...คนในยุคของนาง ก็เป็หนึ่งในผู้แหวนวงนี้ด้วยหรือ!นางกวาดสายตามองไปรอบๆ อาณาจักรแห่งสมบัตินี้อีกครั้งด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไป มันไม่ใช่แค่กองสมบัติ...แต่มันคือ มรดกเื ที่สืบทอดกันมากว่าพันปี ผ่านมือคนตายมาแล้ว 99 คน
และบัดนี้ นาง…ไป๋อวี้เจียว ได้กลายเป็ ผู้คนที่ 100 โดยสมบูรณ์!
"นะ... นี่มัน... บ้าไปแล้ว!"
ไป๋อวี้เจียวอุทานออกมาในที่สุด ก่อนจะก้มหน้าลงมองดูรอยสักที่ดูเหมือนจะฝังแน่นลงในเนื้อของนางมากขึ้น สะท้อนความตื่นตะลึงที่จุกอก นางก้าวเท้าถอยหลังราวกับกลัวว่าภาพตรงหน้าจะเป็เพียงภาพลวงตา หากขยับตัวทุกสิ่งจะพลันหายวับไป
"นี่... นี่คือเื่จริงหรือนี่?" นางพึมพำกับตัวเองเสียงแ่เบาจนแทบไม่ได้ยิน มือสั่นระริกยกขึ้นััแก้ม เนื้อนุ่มนิ่ม ความเจ็บแปลบเล็กน้อย ยืนยันว่านางไม่ได้ฝันไป
"สมบัติ..มากมายขนาดนี้..."
สายตากวาดไปทั่วบริเวณ ไล่เรียงูเาทองคำ ูเาหยก ูเาอัญมณี แต่ละกองสูงเสียดฟ้า ไหนจะอาวุธมากมายเ่าั้อีก แสงทองส่องประกายเจิดจ้าจนแทบพร่ามัว
"นี่คือ… ของที่เ้าของแหวนแต่ละคนเก็บสะสมมาใช่ไหม?”
แหวนหยกที่ผ่านมือเ้าของมาแล้ว 99 คน และทุกคนล้วนฝากทรัพย์สมบัติ หรือของล้ำค่าของตัวเองไว้ในนี้ และดูเหมือนว่าทุกคนไม่มีผู้ใดตายดีสักคน...เอาไงดีล่ะทีนี้!
*****
