โฉวฝูหัวเราะฮ่าๆ พลางยกมือขึ้นเปิดผ้าสีแดงที่คลุมถาดเอาไว้ พลันปรากฏแท่งเงินสิบตำลึงทั้งหมดยี่สิบแท่ง
ผู้เฒ่าเคอถึงกับตาค้าง กระทั่งเคอเจิ้งเป่ยที่หลบอยู่ในมุมห้องก็ยังก้าวเข้ามาอย่างเลื่อนลอยเพื่อจ้องมองเงินบนโต๊ะโดยมิอาจละสายตา
ใบหน้าอวบอ้วนของโฉวฝูแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม ดวงตาที่แต่เดิมก็ไม่ใหญ่นักได้ยกยิ้มตาหยีเสียจนกลายเป็เส้นขีด
“ท่านอาเคอ ก่วงเถียนบุตรสาวคนเล็กของท่านช่างน่าเอ็นดูนัก วันนั้นตอนข้ามายังหมู่บ้านเถาหยวนได้บังเอิญพบนางและต้องตาั้แ่แรกเห็นเลยขอรับ
วันนี้พาแม่สื่อมาก็เพราะอยากจะสู่ขอก่วงเถียนในเรือนของท่านมาเป็อนุของข้า ไม่ทราบว่าท่านอาเคอคิดเห็นเช่นไรขอรับ”
ภายในหัวของผู้เฒ่าเคอมีเพียงเงินที่อยู่บนโต๊ะ รวมถึงวาจายุยงไม่หยุดหย่อนของเคอเจิ้งเป่ยที่อยู่ด้านข้าง
“ท่านพ่อ หากน้องหญิงเล็กแต่งเข้าจวนสกุลโฉวจะต้องได้เสพสุขอย่างแน่นอน เื่ที่ดีเช่นนี้ ไม่ต่างกับขนมไส้อร่อยที่หล่นลงมาจากฟ้า รีบตอบรับเร็วเข้าเถิดขอรับ!”
เมื่อครู่ภายในหัวของผู้เฒ่าเคอล้วนเต็มไปด้วยเงิน ไม่ทันได้ฟังให้ชัดเจนเสียด้วยซ้ำว่าโฉวฝูกล่าวว่าอย่างไร?
อีกทั้งภายในหัวของเขายังคิดไปเองว่า นายท่านโฉวมาเพื่อสู่ขอให้บุตรชายตนเอง เขาจึงคิดในใจว่า
ก่วงเถียนอายุมากกว่าบุตรชายคนโตของนายท่านโฉวสองปี ผู้เฒ่าต่างกล่าวว่าสตรีแก่กว่าหุ้มทองสามก้อน [1] การแต่งงานครั้งนี้ของสกุลโฉวช่างไม่เลวจริงๆ
เมื่อคิดเช่นนี้ ผู้เฒ่าเคอพลันหัวเราะร่า มิได้ระแวดระวังตัวเช่นยามเพิ่งพบนายท่านโฉวแม้แต่นิด
“โฉวฝูเอ๋ย ขอบคุณยิ่งนักที่ท่านต้องตาก่วงเถียนในเรือนของข้า การแต่งงานในครั้งนี้นับว่าสกุลเคอของพวกข้าอาจเอื้อมเสียแล้ว”
ครั้นนายท่านโฉวได้ยินเช่นนั้น เท่ากับผู้เฒ่าเคอตอบตกลงแล้ว เขาจึงเอ่ยคล้อยตามด้วยความยินดีเช่นกัน “ที่ใดกันๆ เป็เพราะก่วงเถียนของท่านหน้าตางดงาม น่ารักน่าเอ็นดู ข้าหาฤกษ์เอาไว้แล้ว อีกสามวันให้หลังก็คือวันดี มิสู้พวกเรากำหนดวันแต่งงานเป็อีกสามวันให้หลังเถิด!”
หางตาของผู้เฒ่าเคอกระตุก พลันโพล่งออกไปว่า “รีบร้อนถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
นายท่านโฉวยกยิ้มพลางเอ่ย “มิใช่ว่าข้าอยากจะรีบร้อนถึงเพียงนี้ แต่อีกหลายเดือนให้หลังไม่มีฤกษ์งามยามดีนัก ดังนั้นถึงได้กำหนดเป็อีกสามวันให้หลังขอรับ
ท่านอาเคอโปรดวางใจ สกุลโฉวของพวกข้าไม่มีทางปฏิบัติต่อก่วงเถียนอย่างไม่ยุติธรรมเป็แน่ แม้เวลาจะกระชั้นชิด ทว่าย่อมจัดงานแต่งงานให้นางอย่างมีเกียรติแน่นอนขอรับ”
ผู้เฒ่าเคอนึกถึงความร่ำรวยของสกุลโฉวก่อนจะยกยิ้มจนใบหน้ายับย่น
“ในเมื่อเป็เยี่ยงนี้ เช่นนั้นก็เอาตามนี้เถิด ภายหน้าสกุลเคอกับสกุลโฉวคือสกุลเกี่ยวดองกันแล้ว นายท่านโฉวโปรดดูแลเอาใจใส่ให้มากนะขอรับ!”
โฉวฝูหัวเราะฮ่าๆ จากนั้นหยิบหนังสือหมั้นหมายและทะเบียนสมรสมาจากแม่สื่อแล้วส่งให้ผู้เฒ่าเคอ
ผู้เฒ่าเคอไม่รู้หนังสือแต่อย่างใด เขาจึงให้เคอเจิ้งเป่ยช่วยตรวจดูว่ามีสิ่งใดผิดพลาดหรือไม่
จิตใจทั้งหมดของเคอเจิ้งเป่ยล้วนอยู่ที่เงินในถาด นึกอยากให้เื่นี้สำเร็จโดยเร็วเสียด้วยซ้ำ
เขาไม่แยแสเลยสักนิดว่าน้องสาวคนเล็กของตนจะออกเรือนกับผู้ใด? บนทะเบียนสมรสเขียนสิ่งใดเอาไว้? หรือแม้แต่จะจัดงานแต่งงานด้วยพิธีเช่นใด?...
เคอเจิ้งเป่ยพลันพยักหน้าด้วยความยินดี “ท่านพ่อ ไม่มีปัญหาอันใดขอรับ รีบลงนามเถิด!”
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างลงนามบนทะเบียนสมรสและหนังสือหมั้นหมายด้วยความยินดี การแต่งงานของเคอก่วงเถียนจึงถูกผู้เฒ่าเคอจัดแจงอย่างเลินเล่อทั้งเช่นนี้
ครั้นเห็นทั้งสองสกุลต่างตรงไปตรงมา แม่สื่อก็ยกยิ้มจนไม่เห็นดวงตา
การแต่งงานในครั้งนี้เป็การหารือที่ง่ายดายที่สุดเท่าที่นางเคยจัดแจงมา ทันทีที่เข้ามาในห้อง ตนยังไม่ทันได้พูดอันใดแม้แต่ประโยคเดียวอีกฝ่ายก็ตอบตกลงและได้เงินค่าแม่สื่อห้าตำลึงแล้ว!
กล่าวไปแล้วนายท่านโฉวผู้นี้ช่างใจกว้างจริงๆ เงินค่าแม่สื่อในครั้งนี้เยอะกว่าเงินที่นางหามาได้ตลอดทั้งครึ่งปีเสียอีก
หลังจากหารือกับนายท่านโฉวเสร็จสิ้น ทั้งความคิดจิตใจของผู้เฒ่าเคอก็คือการแต่งงานในอีกสามวันให้หลังของเคอก่วงเถียน
มีหรือจะยังจำได้ว่าต้องไปเรือนสกุลต้วนเพื่อตำหนิเคอเจิ้งตงว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงไปเรียนหนังสือในสำนักศึกษา?
เคอเจิ้งเป่ยถูกเงินบนโต๊ะทำให้หน้ามืดตาลาย ถึงขึ้นหลงลืมเื่พี่ใหญ่ของตนไว้ในกลีบเมฆ คอยรบเร้าผู้เฒ่าเคอว่าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมอบเงินให้ตนไปซื้อสี่สมบัติในห้องตำรา [2] สักสิบตำลึงเงิน
ผู้เฒ่าเคอรู้ว่าปีนี้เคอเจิ้งเป่ยต้องสอบซิ่วไฉ นับเป็่เวลาที่สำคัญที่สุด เงินตั้งมากมายถึงเพียงนี้ แบ่งให้เขาสักสิบตำลึงจะเป็อันใดไป?
ท้ายที่สุด เคอเจิ้งเป่ยก็เอาเงินสิบตำลึงกลับสำนักศึกษาด้วยความยินดี ทางด้านเคอก่วงเถียนเมื่อรู้ว่าตนจะได้ออกเรือนกับบุตรชายคนโตของสกุลโฉว นางพลันดีใจจนร่างทั้งร่างแทบจะลอยขึ้นฟ้า
วันนั้นนางจึงสวมหมวกเหวยเม่าและนำเงินจำนวนสามสิบตำลึงจากเงินหนึ่งร้อยเก้าสิบตำลึงที่เหลืออยู่ออกมา จากนั้นลากแม่เฒ่าเคอเข้าไปในตัวเมืองเพื่อจัดแจงสินเดิมของตนเองภายในวันเดียวกัน
ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไร นางก็ต้องทำให้งานแต่งงานของตนเอิกเกริกอย่างถึงที่สุด จะได้ทำให้นังเคอโยวหรานผู้นั้นโมโหเจียนตาย
เคอก่วงเถียนคิดอย่างชั่วร้าย : เคอโยวหราน ผู้ใดใช้ให้เ้าจองหอง ฉีกหน้าข้าต่อหน้านายช่างกับชาวบ้านกันเล่า ครั้งนี้ข้าได้ออกเรือนดีกว่าเ้า ภายหน้าจะมีเงินทองมากกว่าเ้า เกี๊ยวแค่มื้อเดียวมิใช่หรือ? ภายหน้าข้าจะกินทุกวันก็ย่อมได้ ทำให้เ้าได้อิจฉาเจียนตาย
ทางด้านเคอโยวหรานที่ถูกนึกถึง ยามนี้เพิ่งจะออกมาจากมิติวิเศษพร้อมกับต้วนเหลยถิง
หมาป่าน้อยยังมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้จากพ่อหมาป่า ดังนั้นจึงยังคงอยู่ในมิติวิเศษ
เพียงแต่ครั้งนี้เคอโยวหรานกับต้วนเหลยถิงไม่ได้รู้สึกมิอาจหักใจถึงเพียงนั้นแล้ว เพราะพันธสัญญาที่มีกับมิติวิเศษของพวกเขา คนทั้งสองจึงสามารถเข้าไปเยี่ยมหมาป่าน้อยได้ทุกเมื่อ
นอกจากนี้จิตใจของพวกเขายังเชื่อมโยงกับหมาป่าน้อย สามารถสื่อสารกับพวกมันทางกระแสจิตได้ทุกเวลา
รอกระทั่งอิ๋นเยวี่ยกับโม่เจวี๋ยเติบใหญ่กว่านี้อีกสักนิดและสามารถปกป้องตนเองได้ เช่นนั้นนางก็จะพาพวกมันออกมาวิ่งเล่นอย่างอิสระอยู่ข้างนอก
ปรมาจารย์แพทย์พิษยังคงทำตามที่พวกเขากล่าวเอาไว้และพักอาศัยอยู่ในมิติวิเศษจริงๆ ยามนี้หากเคอโยวหราน้าตามหาผู้เฒ่าทั้งสอง ก็เรียกได้ว่าสะดวกสบายยิ่งนัก
เคอโยวหรานกับต้วนเหลยถิงเพิ่งจะเดินเข้าลานเรือนสกุลต้วน พวกเขาก็บังเอิญพบกับต้วนเอ้อร์หลางและช่างหวงที่กำลังจะไปตรวจสอบโรงงานเต้าหู้เข้าพอดี
ช่างหวงกล่าวด้วยความยินดีว่า “ไอ้หยา ช่างบังเอิญนัก คุณชายสามกับฮูหยินน้อยสามมาได้จังหวะเหลือเกิน พวกข้ากำลังจะไปตรวจสอบโรงงานเต้าหู้สักหน่อย ดูว่ามีส่วนใดที่มิได้มาตรฐานหรือไม่ จะได้ชี้แนะให้พวกเขาแก้ไขสักหน่อยขอรับ”
เคอโยวหรานเอ่ยด้วยความสงสัย “สร้างเสร็จแล้วหรือ? รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียว?”
“ใช่แล้วขอรับ” ช่างหวงอุทาน “สกุลต้วนมีเมตตา จัดหาอาหารให้อย่างดียิ่ง ทั้งยังจ่ายค่าแรงตรงเวลาอีกด้วย เหล่านายช่างจึงพากันทำงานอย่างเต็มกำลังทีเดียว
กล่าวตามตรง ข้าขึ้นเหนือล่องใต้มานานปีถึงเพียงนี้ เพิ่งจะเคยพบนายจ้างที่ดีเช่นพวกท่านเป็ครั้งแรกจริงๆ”
เคอโยวหรานแย้มยิ้มเอ่ย “ที่ใดกัน เป็เพราะบรรดาศิษย์ของช่างหวงทุ่มเทกำลังแรงกาย พวกเราไม่ต้องคอยห่วงสิ่งใดก็สร้างโรงงานจนเสร็จเสียแล้ว”
มุมปากของต้วนเหลยถิงแต้มยิ้มบางเช่นกัน พลันร้องเรียกไปทางด้านในเรือนว่า “อิ่งซาน ไปเรือนผู้ใหญ่บ้านเฉินสักหน เชิญพวกเขาให้ไปตรวจดูโรงงานเต้าหู้ด้วยกัน”
“ขอรับ” อิ่งซานขานรับ จากนั้นหายลับไปอย่างไร้ร่องรอยภายในชั่วพริบตา
ครั้นพวกเคอโยวหรานเดินทางมายังโรงงานอย่างสำราญใจ ที่แห่งนี้ได้ล้อมรอบด้วยผู้คนจนเต็มไปหมด
บ้านเรือนที่ชาวบ้านอยู่อาศัยต่างทำจากโคลนแดงผสมฟางข้าวกับกาวข้าวเหนียว บนหลังคาล้วนมุงด้วยฟางข้าว
มีหรือจะเคยพบเห็นเรือนทำจากอิฐมุงกระเบื้องเช่นนี้ รวมถึงกำแพงสูงตระหง่านที่ถูกก่อด้วยอิฐ
บนยอดกำแพงยังสอดไว้ด้วยเครื่องลายครามที่แตกหักเพื่อเป็การป้องกัน...
เมื่อเห็นโรงงานเช่นนี้ คนสกุลเคอต่างแย่งกันเอ่ยวาจาถากถางว่า
“สกุลต้วนต้องมีเงินทองมากมายเท่าใดกัน ถึงได้ไม่เห็นค่าของเงินจนสุรุ่ยสุร่ายถึงเพียงนี้?”
“ใช่แล้ว ข้าไม่เคยพบเห็นที่ใดมาก่อน เรือนของตนยังมุงด้วยฟางข้าวแท้ๆ กลับใช้เงินมาสร้างโรงงานเสียดิบดีขนาดนี้ คงมิได้สมองมีปัญหาแล้วกระมัง?”
“ผู้อื่นขายสูตรเคล็ดลับเกี๊ยวน้ำมรกตจนมีเงินมีทอง ทำเช่นนี้ก็เพราะมีเงินทองเยอะแยะจนตื่นตระหนกใช่หรือไม่?”
“นึกไม่ถึงว่าเคอโยวหรานจะจับพลัดจับผลูได้ออกเรือนกับสกุลที่ดีถึงเพียงนี้ กระทั่งทั้งครอบครัวของเคอต้าส่ายังพลอยมีสง่าราศีไปด้วยเช่นกัน”
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] สตรีแก่กว่าหุ้มทองสามก้อน 女大三抱金砖 หมายถึง ข้อดีสามข้อที่ภรรยาทั่วไปไม่สามารถทำได้ โดยผู้หญิงที่แก่กว่าสามปีจะมีทั้งความอ่อนโยน เห็นอกเห็นใจ ใส่ใจ บุรุษจะได้ไม่ต้องกังวลเื่ครอบครัวและเอาเวลาไปทุ่มเทกับการทำงาน
[2] สี่สมบัติในห้องตำรา 文房四宝 หมายถึง สิ่งสำคัญสี่อย่างที่เป็อุปกรณ์สำคัญในห้องหนังสือ ได้แก่ พู่กัน หมึก กระดาษ และจานฝนหมึก