ชย่าลิ่วอีมอบหมายโต๊ะสนุกเกอร์ที่เพิ่งเปิดใหม่ทั้งหมดให้เสี่ยวหม่าดูแล เสี่ยวหม่าที่เป็ ‘หงกุ้น’ คนใหม่เปลี่ยนลุคให้ไฉไลกว่าเดิมด้วยชุดสูทแบรนด์เนม ใส่สร้อยคอทองคำ และสวมนาฬิกาข้อมือทองคำข้างละเรือน เขาสวมแว่นกันแดดเชิดหน้าเดินกร่างโดยมีลูกน้องเดินตามคุมเชิงอยู่ด้านหลัง แขนสองข้างแกว่งไปมาเหมือนกอริลลา วางท่าใหญ่โตขณะตระเวนตรวจตราดูแลกิจการต่างๆ
วันหนึ่ง ขณะเขาพาลูกน้องไปตรวจดูร้านที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีหลงก่าง เพียงแค่ก้าวเข้าไปในร้านก็โดนไม้คิวฟาดเข้าที่หัวอย่างจัง! เสี่ยวหม่าร้อง “โอ๊ย” แล้วล้มลงไป!
“พี่เสี่ยวหม่า! พี่เสี่ยวหม่า!” เหล่าลูกน้องต่างกรูเข้ามาล้อมรอบ
“มารดาแกสิ...!” เสี่ยวหม่าเดือดดาลพร้อมะเิอารมณ์ ทันใดนั้นก็มีเสียงะโความเกรี้ยวกราดดังลั่นออกมาจากด้านในร้าน เสียงนั้นดังยิ่งกว่าเขาเสียอีก...
“ไอ้พวกสารเลว!”
โต๊ะสนุกเกอร์เพิ่งเปิดได้ไม่นาน ภายในห้องยังมีของวางเกะกะกระจายอยู่มากมาย ใกล้ประตูมีกล่องกระดาษใส่อุปกรณ์ที่วางกองซ้อนกันสูงจนเกือบถึงเพดาน เหอชูซานกำลังนั่งอยู่บนยอดสุดของกล่องนั้นในสภาพเหงื่อท่วมตัว เขากอดกระเป๋าหนังสือใบเล็กของเขาไว้แนบอก
ส่วนชย่าลิ่วอีนั้นกำลังยืนะโด่ากราดอยู่ข้างล่าง “ถ้าแน่จริงก็ลงมาสิ! ไอ้สารเลว! ฉันให้แกมาคารวะฉัน ไม่ได้ให้แกไปตายสักหน่อย!”
“คารวะอะไรกันเล่า? คารวะกับใคร?” เสี่ยวหม่าเดินกุมหัวเข้ามาพอดี เมื่อได้ยินประโยคนั้นก็รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
ชย่าลิ่วอีหยิบไม้คิวอีกอันขึ้นมาฟาดไปที่เขา “คารวะพี่ใหญ่! หุบปาก!”
“ผมไม่คารวะ ผมไม่ทำงานในวงการมาเฟีย”
เสี่ยวหม่าหลบไม้คิวอย่างรวดเร็ว เขาเลิกคิ้วสูง แล้วทำท่าทางดุดันะโใส่เหอชูซาน “พี่ใหญ่ของเราไม่ใช่คนธรรมดาที่ใครๆ ก็สามารถยอมรับได้! ไอ้พวกที่ให้หน้าแต่ไม่เอาหน้า [1]! รีบลงมาแล้วไปคารวะพี่ใหญ่ซะ! ไอ้พวกเวรเอ๊ย!”
“ไอ้พวกเวรนี่แกเรียกใครกัน?!” ชย่าลิ่วอีคว้าไม้คิวอีกหนึ่งไม้ขึ้นมาขว้างไปทางเขา “ไปให้พ้น!”
เสี่ยวหม่ากุมหัววิ่งหนีหัวซุกหัวซุน กระทั่งวิ่งมาถึงถนนใหญ่แล้วถึงได้กล้าบ่นกับลูกน้องว่า “มารดาเถอะ ไอ้หมอนี่มันโคตรดี มีแต่พวกบิ๊กๆ เท่านั้นแหละถึงจะด่ามันได้”
ชย่าลิ่วอีด่าเหอชูซานไปชุดใหญ่แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น เลยหันไปสั่งพนักงานที่หลบอยู่ตามมุมห้องว่า “ยกโต๊ะตัวนั้นออกไป! แม่ง! ปีนขึ้นปีนลงอยู่ได้ ดูสิว่ามันจะลงมายังไง!”
“ลูกพี่ครับ” ผู้จัดการร้านเสนออย่างกล้าๆ กลัวๆ “หรือว่าจะใช้ไม้คิวเขี่ยลงมาดีครับ?”
“เขี่ยบ้าเขี่ยบออะไร! นั่นมันเด็กเรียนมหา’ลัยนะเว้ย! ถ้าหัวมันแตกขึ้นมาแล้วจะเอาหัวแกไปใช้แทนได้ไหม?! หาเงินมาใช้แทนได้ไหม?!”
ผู้จัดการร้านรีบหดหัวเข้าไปทันที เมื่อตระหนักได้ว่าลูกพี่กำลังหยอกล้อกับลูกน้องคนใหม่ เขาก็รีบพาลูกน้องไปยกโต๊ะออกอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเผ่นหนีไปอย่างไวโดยไม่ลืมสั่งให้คนไปติดป้าย “วันนี้ปิดร้าน” ที่หน้าประตู— ลูกพี่เหมาทั้งร้าน!
เมื่อเหอชูซานเห็นว่าทุกคนแยกย้ายกันไปหมดแล้ว เขาก็เผยธาตุแท้ออกมาทันที เขาทิ้งคราบเด็กนักศึกษาขี้ขลาดแล้วชะโงกหน้าจาก้าออกมาพูดกับชย่าลิ่วอีด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พี่ลิ่วอี ผมไม่อยากเป็มาเฟียจริงๆ นะ พี่ดูสิ พวกพี่ตีกันฆ่ากันทุกวัน อันตรายจะตาย แถมยังมีบ่อนพนัน ซ่องโสเภณี เงินกู้นอกระบบ ของพวกนี้มันทำลายชีวิตคนทั้งนั้น...”
“ไอ้เวรนี่” ชย่าลิ่วอีพูด “อย่ามาทำตัวเป็พระถังซัมจั๋งกับฉันนะ เรียนจบมหา’ลัยแล้วมันวิเศษมากนักเหรอ? อยากเป็สารวัตรใหญ่หรือไง? จะบอกให้เลยนะ แม้แต่ผู้บัญชาการตำรวจยังไม่กล้าแตะต้องฉันเลย! แล้วอีกอย่าง ฉันบอกให้นายไปเป็แมงดา เป็แมงโม้ตอนไหน?! ฉันจะให้นายดูแลโต๊ะสนุกเกอร์หลายโต๊ะ ได้แต๊ะเอียเดือนละเป็แสน นายเรียนหนังสือมาตั้งสิบกว่าปี จบมาได้เดือนละเท่าไรเอง?! สามพัน? หรือห้าพันหยวน?”
“ไม่ใช่เื่เงินมากหรือเงินน้อย แต่มันเป็เื่ผิดกฎหมาย...” เหอชูซานยังคงพยายามพูด ทว่าชย่าลิ่วอีกลับเตะกล่องกระดาษใบล่างสุดอย่างแรงจนทั้งกองกล่องกระดาษสั่นไปหมด
เหอชูซานเกาะขอบกล่องกระดาษไว้แน่น เขาไม่พูดอะไรออกมาอีก ในใจได้แต่ถอนหายใจ คงไม่ต้องหวังเื่เหตุผลกับพวกอันธพาลหรอก ดูตอนนี้สิ คุยกันเฉยๆ ยังไม่รู้เื่เลย!
เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้านนอกด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะหันกลับมาพยายามต่อรองกับชย่าลิ่วอีอีกครั้ง “พี่ลิ่วอี ห้องสมุดใกล้จะปิดแล้ว ขอผมลงไปคืนหนังสือก่อนได้ไหมครับ?”
“คืนหนังสือบ้าอะไร” ชย่าลิ่วอีพูด “นายอยู่บนนั้นต่อไปนั่นแหละ คิดทบทวนสักคืนซะ!”
เหอชูซานเป็คนยืดหยุ่น รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว เขารีบทำตัวว่าง่ายทันที “พี่ลิ่วอี ผมรู้แล้วว่าผมผิด”
“ผิดตรงไหน?”
“ไม่น่าไปทำตัวเป็พระถังซัมจั๋งมาเทศนาสั่งสอนพี่เลย”
“แล้วอะไรอีก?”
“ไม่น่าพูดเื่ที่พี่ทำผิดกฎหมาย...”
“ไอ้เวรเอ๊ย!” ชย่าลิ่วอีเตะกล่องกระดาษอีกครั้ง!
“พี่ลิ่วอี” เหอชูซานเกาะกล่องกระดาษที่โยกไปมาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “ผมรู้แล้วจริงๆ ว่าผมผิด ปล่อยผมลงไปเถอะครับพี่ลิ่วอี ถ้าเกินกำหนดคืนหนังสือ ผมต้องเสียค่าปรับนะครับ”
“ค่าปรับเท่าไร เดี๋ยวฉันจ่ายให้เอง!”
“แล้วก็จะเสียประวัติ โดนห้ามไม่ให้ยืมหนังสืออีก แถมยังโดนตัดทุนการศึกษาด้วย” เหอชูซานพูดโกหกหน้าตายพลางร้องเรียกชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พี่ลิ่วอี พี่ลิ่วอี...”
ชย่าลิ่วอีรำคาญเสียงบ่นของเขาจนทนไม่ไหว จึงะโว่า “หุบปาก!”
เหอชูซานหุบปากทันที เหลือแค่หัวที่โผล่ออกมาจากขอบกล่อง้าสุดเพื่อแอบมองเขาเท่านั้น
ชย่าลิ่วอีดึงโต๊ะด้วยมือข้างเดียวทว่ามันไม่ขยับ เขาจึงหันไปมองรอบๆ แต่ผู้จัดการร้านก็หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
“ะโลงมา” เขาเงยหน้าขึ้น กางแขนออก “ฉันจะรับนายเอง”
เหอชูซานชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง อยากถามว่ารับไหวไหม แต่พอคิดถึงสิ่งที่จะตามมาถ้าพูดออกไป— เขาจึงตัดสินใจปีนไปที่ขอบลังกระดาษ หลับตา แล้วทิ้งตัวลงไป
‘ตุ้บ!’
ชย่าลิ่วอีถูกเหอชูซานทับจนล้มลงไปกองกับพื้น ทั้งคู่กลิ้งไปมาอยู่พักหนึ่ง โชคดีที่โต๊ะถูกยกออกไปก่อนหน้านี้แล้ว จึงไม่มีใครหัวแตกหรือได้รับาเ็
“เวรเอ๊ย! นายสูงขึ้นอีกแล้วเหรอ! กินอะไรเข้าไปเนี่ย!”
“เล่นไทเก๊ก” เหอชูซานพูดพลางกอดเอวของชย่าลิ่วอีที่ตัวเองทับอยู่ “พ่อผมบอกว่าผมยังสูงได้อีก”
“ฝันไปเถอะ” ชย่าลิ่วอีตบหลังเขา “ลุกขึ้น!”
ทั้งสองคนลุกขึ้นปัดฝุ่นออกจากตัว เหอชูซานหยิบไม้คิวมาเขี่ยกระเป๋าที่วางอยู่ข้างบนลงมาแล้วบอกลาอย่างว่าง่าย ทว่าในขณะที่กำลังจะเดินออกไป ชย่าลิ่วอีกลับเรียกรั้งไว้ก่อน “คืนหนังสือเสร็จแล้วรีบกลับมา เดี๋ยวจะพาไปกินจีเปา [2] ที่ย่านจั่วตุน [3]”
“ผมจะกลับบ้านไปทบทวน...” คำว่า ‘หนังสือ’ ถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอเมื่อถูกลูกพี่ชย่าตวาดผ่านสายตา
ชย่าลิ่วอีแทบจะหมดความอดทนกับเด็กคนนี้ เขาไม่เห็นค่าในสิ่งที่ตัวเองหยิบยื่นให้เลย ตัวเองเป็ถึงหัวหน้าของแก๊งใหญ่ ทำไมอยากจะรับลูกน้องสักคนถึงได้ลำบากขนาดนี้ แค่ชวนไปกินข้าวยังไม่อยากไปอีก! โธ่เว้ย!
มาเฟียแล้วมันอย่างไร? ข้าวของมาเฟียมันมีพิษหรืออย่างไร?!
แน่นอนว่าเขาไม่ได้มีความคิดแปลกๆ กับเหอชูซาน แค่รู้สึกไม่สบายใจที่ยังไม่ได้ ‘ลูกน้องที่เป็เด็กมหาวิทยาลัย’ มาไว้ในสังกัด— ่นี้กิจการของแก๊งเซียวฉีกำลังไปได้สวย ลูกพี่ชย่าเลยว่างมากเกินไป ไม่มีอะไรทำ
ยิ่งไปกว่านั้น ถึงไอ้เด็กนี่ดูเหมือนจะไม่ประสีประสา แต่จริงๆ แล้วมันเ้าเล่ห์ไม่ใช่เล่น ชย่าลิ่วอีต้องคอยต่อกรกับมันทุกวัน ถือว่าเป็การฝึกสมองคลายเครียดไปในตัว– ก็เหมือนกับพวกปัญญาชนที่ชอบซื้อหนังสือพิมพ์มาเล่นเกมไขปริศนาอักษรไขว้นั่นแหละ
เขาถึงกับฝึกความอดทนได้เพราะเด็กคนนี้เลยทีเดียวเชียว ทุกวันต้องทำหน้าขรึม แสร้งทำเป็ใจเย็น ไม่ซ้อมคนมั่วซั่วเหมือนเมื่อก่อน— ถ้าจะตีก็ต้องตีให้ตาย!
เหอชูซานวิ่งไปทางห้องสมุดของมหาวิทยาลัยพร้อมกับกอดกระเป๋าไว้ในอ้อมแขน ระหว่างวิ่งก็ได้แต่ถอนหายใจในใจ ถ้าถูกจับไปกินข้าวก็ไม่ว่ารู้จะต้องกินถึงเมื่อไร คืนนี้คงต้องอ่านหนังสือโต้รุ่งอีกแล้ว
คราแรกที่ตกลงไปยัง ‘ร้าน’ ของชย่าลิ่วอี เขาคิดว่าจะได้เรียนสนุกเกอร์เสียอีก วันนั้นชย่าลิ่วอีบอกว่าเขาเล่นไม่ได้เื่ เขาเลยสับสนแล้วตอบตกลงไปโดยไม่ทันคิด ส่วนครั้งหลังจากนั้นที่ต้องไปหาชย่าลิ่วอีบ่อยๆ ก็เพราะถูกบังคับ— นายใหญ่ส่งคนขับรถไปรับเขาถึงหน้ามหาวิทยาลัยต่อหน้าอาจารย์และเพื่อนนักศึกษา แถมเพื่อนหลายคนยังแอบคิดว่าเขาถูกเสี่ยเลี้ยงไว้ที่บ้านพักตากอากาศบนเขาอีกต่างหาก
เหอชูซานอายุ 22 ปีบริบูรณ์ หลังจากผ่านตรุษจีนปีนี้มาเขาก็สูงขึ้นมาก มีไหล่ที่กว้าง ขาที่ยาว และรูปร่างสูงโปร่งมีกล้ามเนื้อเล็กๆ ที่ได้สัดส่วนจากการฝึกไทเก๊กเป็ประจำ เขาแบกเป้ใบเล็กดูสะอาดสะอ้าน ดูขี้อายและไร้เดียงสา— ไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอกของหนุ่มน้อยหน้าใสที่สาวๆ รวยๆ ชอบหรอกหรือ?
เหอชูซานไม่สามารถควบคุมความคิดของผู้อื่นและไม่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้ เขาคิดว่าตัวเองเป็ตัวอย่างของคนดีที่ถูกแก๊งมาเฟียข่มเหงและหลอกลวงในโลกที่แสนวุ่นวายและดำมืดนี้ เขา้าหลุดพ้นจากความทุกข์ยากและกลับใจ แต่ก็ทำไม่ได้ เขาจึงรู้สึกกังวลมาก
ชย่าลิ่วอีคนน้ำซุปในหม้อจีเปาพลางพูดกับเขาว่า “เดือนหน้าฉันจะถ่ายหนังเื่ใหม่ นายมาเขียนบทให้หน่อย”
เหอชูซานถอนหายใจ
ชย่าลิ่วอีวางตะเกียบเสียงดังทันที เหอชูซานรีบอธิบายว่า “เทอมนี้เรียนหนักมาก แล้วก็ใกล้สอบกลางภาคแล้ว รอปิดเทอมก่อนแล้วค่อยเขียนได้ไหม?”
“ได้สิ ฉันจะไล่ทีมงานทั้งหมดออก อุปกรณ์ทั้งหมดก็จะถูกทิ้งไว้ในโกดังให้เป็สนิม นักแสดงทุกคนจะถูกแช่แข็งจนกลายเป็แท่งน้ำแข็งเพื่อรอนาย แบบนั้นได้ใช่ไหม?” ลูกพี่ชย่าพูด
เหอชูซานก้มหน้าคีบเห็ดหอมขึ้นมาแล้วพูดอย่างว่าง่าย “ผมจะเขียนให้อาทิตย์หน้าครับ”
“ไอ้เวรนี่ ชอบขัดใจฉันจัง” ชย่าลิ่วอีสบถพลางใช้ตะเกียบคีบเห็ดหอมที่เขากำลังจะเอาเข้าปากออกมาโยนกลับลงไปในหม้อ “ต้มต่ออีกหน่อย ยังไม่สุก”
เหอชูซานคีบตีนไก่มาแทะแทนอย่างสงบเสงี่ยม
“แกนี่มันหาเื่จริงๆ อยากลองของดีนัก ชอบทำให้เื่มันยาก” ลูกพี่ชย่าพูด
“ผมขอพยายามก่อน จากนั้นค่อยว่ากัน” เหอชูซานพูด
“เลิกปากดีได้แล้ว เงียบไปซะ! เฮีย! เบียร์สองขวด!”
“มาแล้วจ้า!” เฒ่าแก่พุ่งเข้าไปร้านเพียงครู่หนึ่งแล้วพุ่งออกมาพร้อมเบียร์สองขวดตามที่สั่ง “ลูกพี่! เบียร์ครับ!”
ลูกน้องที่นั่งเป็บอดี้การ์ดอยู่ตรงโต๊ะไกลๆ ก็ะโสั่งบ้าง “เฮีย! ทางนี้เอาสี่!”
“ดื่มบ้าอะไร! แล้วใครจะขับรถ?” ชย่าลิ่วอีหันมาด่า
ลูกน้องเป่ายิงฉุบกันแป๊บเดียวก็ได้คนโชคร้ายสองคนที่อดดื่มเบียร์ ส่วนคนอื่นๆ ได้เมากันสมใจ
ส่วนเื่ภารกิจคุ้มกันน่ะหรือ? เหอะ! ใครมันจะกล้ามาแหย็มกับลูกพี่ชย่าผู้ยิ่งใหญ่แห่งเกาลูนกัน?
เชิงอรรถ
[1] ให้หน้าแต่ไม่เอาหน้า ในภาษาจีนมาความหมายว่า ไม่รู้จักคุณค่าของโอกาส
[2] จีเปา คือ เมนูไก่ตุ๋นหม้อไฟ
[3] ย่านจั่วตุน คือ ย่านจอร์แดนในฮ่องกง