ฮ่องเต้ใช้บทลงโทษที่มีต่อตระกูลิหลันมาสร้างความตื่นตะลึงให้บรรดาจอมเสเพลแห่งเมืองหลวง ทั้งยังเป็การบังคับกลายๆ ให้เหล่าคุณชายตระกูลขุนนางทั้งหลายที่ชื่นชอบไปยังสถานที่อโคจรต้องกลับตัวกลับใจ เพราะคงไม่มีใครอยากจะให้ครั้งต่อไปผู้ที่ตนบังเอิญไปหาเื่เข้าเป็บุคคลที่ตนไม่อาจหาเื่ได้ อีกทั้ง ฝ่าายังตรัสด้วยว่า หากจัดการเ้าสิ่งนั้นของตนไว้ไม่ได้ ในวังหลวงก็ไม่ว่าหากจะต้องมีขันทีเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย
หลังจากที่ิหลันเฟิงตายแล้ว คนในตระกูลิหลันเองก็ถูกขับไล่ออกไปจนหมดสิ้น ชั่วขณะนั้นเมืองหลวงก็ถึงคราวสงบเงียบอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน แม้แต่กิจการหอโคมเขียวเองก็เงียบลงไปไม่น้อยเช่นกัน
ส่วนทรัพย์สมบัติของตระกูลิหลันสามโคตร ยามนี้ถูกริบเข้ากองกลางหมดแล้ว ทำให้ท้องพระคลังอัดแน่นไปด้วยสมบัติล้ำค่าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งเรียกได้ว่า ต่อให้แคว้นหนานเย่าไม่เก็บส่วยไปสิบปี ก็ยังสามารถเลี้ยงเหล่าทหารหาญแห่งหนานเย่ากี่ล้านคนไหว
ชั่วขณะนั้นเสี้ยวเหวินตี้ก็เบิกบานพระทัยยิ่ง และมีรับสั่งให้งดเว้นการเก็บส่วยในพื้นที่ยากจนทุรกันดารไปสองปีที่ส่งผลให้ชื่อเสียงของฮ่องเต้ในใจประชาชนเพิ่มพูนมากขึ้น
อีกทั้ง ในวันสามอาบ [1] ของคุณชายน้อยทั้งสองแห่งจวนอ๋อง ฮ่องเต้ก็ได้พระราชทานบ้านเก่าที่เคยเป็ของตระกูลิหลันให้เป็ของขวัญแก่คุณชายใหญ่ ส่วนคุณชายรองก็ได้รับพระราชทานเป็จวนห้าชั้นอันหรูหราในเมืองหลวงของตระกูลิหลันอีกเช่นกัน ทั้งยังพระราชทานทองคำหมื่นตำลึง และเงินอีกแสนตำลึงให้คุณชายทั้งสอง ส่วนมารดาผู้ให้กำเนิดพวกเขาอย่างชายาหนิงอ๋องเองก็ได้รับพระราชทานของจากฮ่องเต้มาไม่น้อย
นอกจากนี้ เสี้ยวเหวินตี้ก็ยังได้พระราชทานนามให้คุณชายใหญ่และคุณชายรองด้วยพระองค์เอง อันได้แก่ โอวหยางฉางรุ่ย และโอวหยางฉางฮว๋าย ทั้งนี้ แต่งตั้งคุณชายใหญ่เป็ซื่อจื่อแห่งจวนหนิงอ๋อง ส่วนคุณชายรองเป็ฝูเจียงจวิ้นอ๋อง
ชั่วขณะนั้นจวนหนิงอ๋องก็ถูกเสี้ยวเหวินตี้ผลักไปยังปากคลื่นปากพายุอีกครั้ง และรอจนพิธีสามอาบเสร็จสิ้นแล้ว อวิ๋นซีก็มีสีหน้าดำคล้ำขณะมองสามีตน “เสด็จพ่อของท่านทรงคิดจะทำอันใดกันแน่? เหตุที่พระองค์ทรงสนับสนุนอุ้มชูครอบครัวเราอย่างเต็มกำลังเช่นนี้ เพราะ้าให้ท่านเป็เป้าหมายเพื่อรับการโจมตีจากคนทุกฝ่ายหรือ? ”
หากว่าลูกชายของพวกเขาเป็พระนัดดาองค์โตของฝ่าาที่เมื่อเกิดมาก็ได้รับการแต่งตั้งเลย พวกเขาก็คงไม่จำเป็ต้องกังวลสิ่งใด แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ก่อนหน้าฉางรุ่ยและฉางฮว๋าย ฮ่องเต้ได้มีพระนัดดาองค์โตไปแล้ว นั่นก็คือโอรสองค์โตขององค์ชายห้าโอวหยางหง ตอนที่คนถือกำเนิด ฮ่องเต้ทำเพียงพระราชทานของขวัญให้คล้ายกับเป็การกระทำเชิงสัญลักษณ์ ส่วนพระนามขององค์ชายก็ให้กรมพิธีการเป็ผู้ตั้งให้ ก่อนจะส่งรายนามเ่าั้ให้องค์ชายห้าและชายาเป็คนเลือกสรร
ทว่า สำหรับเด็กๆ ทั้งสามของจวนหนิงอ๋อง ไม่ว่าจะนามของหวานหว่าน หรือว่านามของเ้าตัวเล็กทั้งสองก็ล้วนเป็ฮ่องเต้ที่ตั้งให้ด้วยพระองค์เอง ซึ่งฉางรุ่ย ฉางฮว๋าย หว่านเกอ ทั้งสามชื่อนี้ล้วนไม่ได้ตั้งตามลำดับศักดิ์ [2] ของราชวงศ์เลย
ด้วยเหตุนี้ นี่ก็เปรียบเสมือนเป็การแสดงให้เห็นว่าฮ่องเต้ทรงมอบความหวังอันยิ่งใหญ่ต่อรุ่นหลานทั้งสามคนนี้มากเพียงไร ดังนั้น จวนหนิงอ๋องย่อมจะกลายเป็สถานที่ที่รวบรวมความแค้นขององค์ชายทั้งหมดเอาไว้เป็แน่
“ในเมื่อเสด็จพ่อมีพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ต่อจวนอ๋องเรา พวกเราก็แค่รับไว้เป็พอ” จวินเหยียนนั่งอยู่ข้างกายนาง กล่าวเสียงเบา “เ้าและลูกชายของข้าคู่ควรที่จะได้รับสิ่งนี้ ส่วนเ้าเองก็ต้องเชื่อมั่นว่า ข้าสามารถปกป้องพวกเ้าได้”
อวิ๋นซีอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนเขา แท้จริงแล้วนางรู้ดีว่า ตนไม่ควรมาระบายอารมณ์ใส่เขาเช่นนี้ เพราะที่ผ่านมาเขาก็นับว่าทำได้ดีมากแล้ว หากไม่ใช่เขา ตระกูลิหลันยามนี้คงยังอยู่ ถึงแม้จะไม่อาจจับตัวการที่อยู่เื้ัได้ แต่สิ่งที่เขาทำ นางล้วนเห็นอยู่ในสายตา
……...........................................................................................
เมื่ออวิ๋นซีอยู่ไฟแล้วก็เรียกได้ว่าตัดขาดจากเื่ภายนอกโดยสิ้นเชิง เพียงแต่สองสามวันนี้เจียงเฉิงมักจะมาเยือนจวนอ๋องอยู่บ่อยๆ ด้วยเหตุผลที่เพียงพอยิ่ง นั่นก็คือยามนี้เขาเป็พ่อบุญธรรมของเด็กน้อยทั้งสองแล้ว หากจะแวะมาดูเด็กๆ ก็ถือเป็เื่ปกติธรรมดา
สำหรับเื่ที่เขารับเด็กทั้งสองเป็ลูกบุญธรรมนั้น จวินเหยียนคัดค้านไปแล้ว แต่ทำอันใดไม่ได้ เพราะภรรยาตนสนับสนุนเต็มที่ ดังนั้น การคัดค้านใดๆ ของเขาจึงไร้ผล ทว่า ไม่เพียงไร้ผลเท่านั้นยังถึงขนาดที่ไม่อาจยับยั้งให้เ้าเจียงเฉิงคนหน้าไม่อายผู้นั้นมายังจวนอ๋องแห่งนี้ได้อีกด้วย
“เขาไปจวนอ๋องอีกแล้ว? ” ณ ศาลาว่าการ จวินเหยียนเหวี่ยงฎีกาคำร้องโยกย้ายของขุนนางผู้หนึ่งลงไปบนพื้น เสียงที่เอ่ยฟังดูอึมครึมเ็า
ในตอนนั้นเว่ยหลงที่เป็คนสนิทยังอดตัวสั่นไม่ได้ “พ่ะย่ะค่ะ ทว่า ท่านอ๋อง ครั้งนี้ที่ผู้นำตระกูลเจียงไปจวนอ๋องไม่เหมือนกับครั้งก่อนๆ เขาเพียงไปเยี่ยมนายน้อยทั้งสองเท่านั้น ไม่ได้เข้าพบพระชายาเป็การส่วนตัวเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“เ้าจิ้งจอกเฒ่าสมควรตาย” จวินเหยียนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ่นี้ที่อีกฝ่ายไปจวนอ๋องก็มักจะไม่ได้เข้าพบอวิ๋นซี เพียงแต่ไปเยี่ยมเด็กทั้งสอง อีกทั้ง ในทุกๆ ครั้งก็จะมีจ้าวลี่เจียอยู่ด้วย ด้วยเหตุนี้ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจึงฉายชัดว่า คนแค่ไปเยี่ยมเด็กๆ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับพระชายา
และเพราะการกระทำนี้ จวินเหยียนจึงไม่อาจหาเหตุผลไล่คนออกไปได้ นอกเสียจากต้องอดทน อดทน และอดทนอย่างที่สุด จนสุดท้ายเขาก็ทนไม่ไหวแล้ว “่นี้ผู้นำตระกูลเจียงว่างเกินไปแล้ว ให้คนไปเติมเชื้อไฟให้กิจการตระกูลเจียงที่ฮวายหนานเสียหน่อย ให้เขารีบไสหัวไปจากเมืองหลวงนี้”
สมควรตายนัก เขาไม่อาจจัดการอีกฝ่ายอย่างผ่าเผยได้ จึงทำได้เพียงต้องจัดการในที่ลับเช่นนี้ เพราะเขาไม่มีทางเชื่อว่า หากกิจการตระกูลเจียงเกิดเื่ขึ้น คนจะทนเฉยอยู่ได้
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขายังคิดว่าตนช่างร้ายกาจเหลือเกินถึงกับสามารถคิดวิธีเช่นนี้ออกมาได้
ทันทีที่เว่ยหลงได้ยินแล้วก็อดถามเสียงเบาไม่ได้ “หากพระชายาล่วงรู้ในเื่นี้เข้า...ต้องอนาถมากแน่ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
จวินเหยียนแค่นเสียงเ็า “หากเื่นี้ถูกพระชายารู้เข้า สตรีตัวน้อยที่รักของเ้าผู้นั้น จะเป็เปิ่นหวางที่พระราชทานสมรสให้ผู้อื่น”
คำขาดนี้ทำให้เว่ยหลงรู้สึกแย่ยิ่งแล้ว เขาอยากพูดกับผู้เป็นายมากว่า ท่านอ๋องจะทำเช่นนี้ไม่ได้นะ เขาไม่ได้เกี่ยวด้วยเลยสักนิด หากท่านคิดอยากจะกำจัดศัตรูหัวใจออกไป เหตุใดจึงต้องมาระบายอารมณ์กับผู้น้อยเช่นเขาด้วย นี่ไม่ยุติธรรม ช่างไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ ...
และแล้วเื่ราวทุกอย่างก็เป็จริงดังนั้น เจียงเฉิงจากไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่จวินเหยียนได้รับข่าวการละจากเมืองหลวงของเจียงเฉิง เขาก็กลับไปยังจวนอ๋องอย่างอารมณ์ดี ทว่า ตอนที่เดินเข้าไปใกล้ห้องนอนบังเอิญเห็นอวิ๋นซีกำลังป้อนนมลูกชายคนโตฉางรุ่ยอยู่พอดี ความอ่อนนุ่มขาวนวลนั้นจึงปะทะเข้าสู่ดวงตา ทำให้เขาได้แต่ต้องกลืนน้ำลาย และหันกายไปยังห้องหนังสือแทน
เขากังวลว่า หากยังมองต่อไปก็อาจทนไม่ไหว อย่างไรก็ตาม ภรรยาผ่าคลอดลูกไปจึงต้องห้ามใกล้ชิดกับเขาไปอีกเดือนกว่า และแม้ว่าตอนกลางคืนจะยังนอนด้วยกัน แต่ตัวเขาก็ทำได้แค่สวมกอดไว้ ไม่อาจแตะต้องนางไปมากกว่านี้ได้ ชีวิตเขายามนี้ช่างน่าอนาถมากจริงๆ
ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกับตอนนั้น ตอนที่นางตั้งครรภ์
แน่นอนอวิ๋นซีรู้ว่าเขากลับมาแล้ว นางมองตนเอง ชั่วขณะนั้นก็คล้ายจะเข้าใจอะไรขึ้นมา จากนั้นก็คิดขึ้นได้ว่าตอนนี้ผ่านไปยี่สิบกว่าวันที่ตนต้องอยู่ไฟ ทุกค่ำคืนที่เขาต้องเข้านอนล้วนหลับไม่ดี ทำให้นางอดไม่ได้ให้ขำขึ้นมา
ตอนนี้ร่างกายนางฟื้นฟูดีขึ้นมากแล้ว ปากแผลก็สมานแล้ว เพียงแต่จ้าวลี่เจียขังนางไว้ในห้อง ไม่ให้ออกไปไหน ถึงกระนั้นส่วนอื่นๆ ที่เหลือล้วนไม่ได้แตกต่างไปจากคนปกติ สำหรับวันนี้ หลังจากที่นางป้อนนมเด็กทั้งสองจนพวกเขาอิ่มท้องแล้วก็ให้แม่นมมาพาออกไป จากนั้นนางก็ไปอาบน้ำชำระกาย และเปลี่ยนไปใส่อาภรณ์ชุดใหม่
ยามนี้ทั่วทั้งร่างเมื่อได้เพ่งพิศก็งดงามเย้ายวนไม่น้อย อีกทั้ง ภายในยังแฝงไว้ด้วยความเป็ผู้ใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และเมื่อจวินเหยียนกลับมาก็ได้เห็นภรรยาแต่งกายงดงามกำลังเอนกายอ่านตำราอยู่บนตั่งกุ้ยเฟย ขณะเดียวกันเมื่อนางเห็นเขากลับมาแล้วก็ไม่รอช้า วางตำราในมือลง จากนั้นก็เดินไปต้อนรับเขา กอดเอวเขาแล้วยิ้มถาม “เมื่อครู่เหตุใดท่านกลับมาแล้วถึงวิ่งหนีหายไปเสียเล่า”
จวินเหยียนกอดเอวนาง พูดเสียงขรึม “สตรีตัวน้อย แน่ใจหรือว่าเ้าไม่รู้ว่าเป็เพราะเหตุใด? ”
สตรีนางนี้หลักแหลมเพียงนั้น แต่ตอนนี้กลับทำเป็เหมือนตัวนางไม่รู้ว่าเป็เพราะเหตุใด ซึ่งเขาไม่มีทางเชื่อในเื่นี้อย่างเด็ดขาด
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] สามอาบ(洗三)เมื่อทารกครบสามวันก็จะมีพิธีอาบน้ำใหญ่ขึ้นครั้งหนึ่ง
[2] ลำดับศักดิ์(辈分)การตั้งชื่อของคนจีนในสมัยก่อนนั้น เด็กที่เกิดมาในรุ่นเดียวกันจะได้รับการตั้งชื่อให้มีความคล้ายกัน คือมีตัวอักษรหนึ่งตัวในชื่อที่เหมือนกัน หรือถ้ามีชื่อคำเดียวก็จะมีตัวประกอบของอักษรที่อยู่ในชื่อที่เหมือนกันกับพี่น้อง หรือลูกพี่ลูกน้องฝั่งพ่อของตนเอง (อาจจะแยกหรือไม่แยกชายหญิงก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะแยก) เช่น ลู่หลิงฉิง และลู่อวี้ฉิงเป็ลูกพี่ลูกน้องกันก็มีตัวอักษร ฉิง(情)ในชื่อเหมือนกัน หรือลูกของเสี้ยวเหวินตี้ทุกคน ยกเว้นโอวหยางจวินเหยียนจะมีคำว่าเทียน(天)อยู่ในชื่อ ส่วนลูกชายทั้งสองของโอวหยางจวินเหยียนก็จะมีตัวอักษรฉาง(长)ในชื่อเหมือนกัน แต่กลับไม่เหมือนญาติผู้พี่ฝั่งพ่อของตนอย่างโอวหยางหง ซึ่งนี่แสดงให้เห็นว่า สองคนนี้ไม่ได้ถูกตั้งชื่อตามลูกพี่ลูกน้องในรุ่นเดียวกัน