“ พี่รอง!” หลินเสี่ยวหานวิ่งไปหาหลินกู๋หยู่ด้วยความดีใจ เขารีบจะเอาโต้ซาที่อยู่บนแผ่นหลังของหลินกู๋หยู่มาอุ้ม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสุข “ท่านแม่บอกว่าวันนี้พี่จะกลับมา ให้ข้ามารอพี่ที่นี่”
แม้ว่าโต้ซาจะยังเด็กมาก แต่กระนั้นก็มีน้ำหนักมาก สำหรับเด็กสาววัยสิบสี่ปีอย่างหลินกู๋หยู่ การอุ้มด้วยแขนข้างเดียวสักระยะเวลาหนึ่งทำให้นางเหนื่อยแทบตาย
“ให้ข้าอุ้มลูก เ้าถือตะกร้าเถอะ”
ความสูงของหลินเสี่ยวหานเตี้ยกว่าหลินกู๋หยู่ครึ่งศีรษะ ปีนี้เขาเพิ่งอายุสิบขวบ แม้เป็เด็กผู้ชาย อย่างไรเสียก็ไม่มีพละกำลังมากนัก
“พี่รอง ข้าไม่เหนื่อย”
หลินเสี่ยวหานอุ้มโต้ซาด้วยความยากลำบาก แต่โต้ซาไม่ชอบหลินเสี่ยวหาน ดวงตากลมโตของเขามองไปที่หลินกู๋หยู่ ในเบ้าตาคลอด้วยหยาดน้ำราวกับกำลังจะร้องไห้
หลินเสี่ยวหานรู้สึกว่าโต้ซากำลังจะลื่นไหลลงมา เขาจึงรีบพิงด้วยแรงทั้งหมดของเขา และเอนไปข้างหลังอย่างควบคุมไม่ได้
หลินกู๋หยู่เห็นหลินเสี่ยวหานเช่นนี้ นางกลัวว่าหลินเสี่ยวหานจะล้มลงในทันที
หลินกู๋หยู่วางตะกร้าในมือลงบนพื้น อุ้มโต้ซากลับมาด้วยรอยยิ้ม "ให้ข้าอุ้มเถอะ"
“เรียกท่านน้าเร็วเข้า” หลินกู๋หยู่มองเด็กน้อยในอ้อมแขนด้วยรอยยิ้ม
"ท่านน้า!"
ตอนนี้โต้ซาสามารถพูดคำง่ายๆ ได้แล้ว ไม่รู้ว่าสาเหตุเกิดจากแม่ของเขาหรือไม่ ทำให้เขายังดูกล้าๆ กลัวๆ อยู่
“พี่สาว ให้ข้าอุ้มเถอะ!” หลินเสี่ยวหานเอื้อมมือจะอุ้มโต้ซา
“เอาละ เ้าถือตะกร้า พวกเรารีบกลับบ้านกันเถอะ ไม่อย่างนั้นท่านแม่จะเป็กังวลเอาได้” หลินกู๋หยู่พูดแล้วเดินตรงไปข้างหน้า
หลินเสี่ยวหานก้มลงหยิบตะกร้าและเดินตามหลินกู๋หยู่
เมื่อกำลังจะถึงประตูบ้าน หลินกู๋หยู่วางโต้ซาลง จับมือเล็กๆ ของโต้ซาและเดินไปยังบ้านหลิน
ก่อนถึงประตูบ้าน หลินกู๋หยู่เห็นจ้าวซื่อยืนอยู่ที่ประตู โดยทอดมองจากระยะไกล
เมื่อเห็นหลินกู๋หยู่และหลินเสี่ยวหานกลับมา จ้าวซื่อก็รีบเดินเข้าไปหาหลินกู๋หยู่
“กู๋หยู่” เสียงของจ้าวซื่อสะอึกสะอื้นเล็กน้อย มือทั้งสองจับไหล่ของหลินกู๋หยู่ พลางพินิจมองลูกสาวจากศีรษะจรดปลายเท้าซ้ำๆ หลายหน เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติกับหลินกู๋หยู่ นางก็พูดอย่างช้าๆ “โชคดีที่เ้าไม่เป็อะไร ไม่อย่างนั้น ...”
“ท่านแม่ ข้าสบายดี ท่านไม่ต้องเป็ห่วง”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินกู๋หยู่ ในที่สุดน้ำตาที่จ้าวซื่อกลั้นไว้ก็ร่วงลงมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ จ้าวซื่อเม้มริมฝีปากแน่นมองลงไปที่เด็กที่หลินกู๋หยู่พามาด้วย นางขมวดคิ้วเล็กน้อย
โต้ซาจ้องมองจ้าวซื่ออย่างกล้าๆ กลัวๆ ร่างเล็กอดไม่ได้ที่จะขยับเท้าไปทางด้านหลัง มือทั้งสองข้างจับสายคาดเอวของหลินกู๋หยู่แน่น
“ท่านแม่ นี่คือโต้ซา” หลินกู๋หยู่พูดอย่างสุขุม จากนั้นก็ย่อตัวลงและััศีรษะของโต้ซาเบาๆ “โต้ซา ท่านนี้คือท่านยายของเ้า”
"ท่านยาย" เสียงของโต้ซาเบามาก จ้าวซื่อแทบจะไม่ได้ยินเสียงของเด็กน้อย
"เข้ามาในบ้านเถอะ ข้าเตรียมอาหารกลางวันไว้ั้แ่เนิ่นๆ แล้ว" จ้าวซื่อ้าพาโต้ซาเข้าไป แต่โต้ซาเกาะติดหลินกู๋หยู่อยู่ตลอด ดวงตาของจ้าวซื่อหรี่ลงเล็กน้อย นางโน้มเข้าไปใกล้ๆ ใบหูของหลินกู๋หยู่ "เด็กคนนี้..."
หลินกู๋หยู่ชำเลืองมองโต้ซาอย่างเห็นใจปราดหนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงที่มีแค่สองคนเท่านั้นที่ได้ยิน "เมื่อก่อนเขาถูกแม่ของตนเองทำร้ายร่างกายอยู่บ่อยครั้ง เขาจึงค่อนข้างขี้กลัว แต่โชคดีที่เขายังเด็ก แค่ดูแลเขาก็น่าจะดีขึ้น"
การแสดงออกบนใบหน้าของจ้าวซื่อชะงักงันเล็กน้อย ความขมขื่นค่อยๆ ก่อตัวในหัวใจ "ทำให้เ้าลำบากแล้วจริงๆ"
"ข้าไม่เป็ไร" เดิมทีหลินกู๋หยู่้าจะบอกว่า เมื่อสุขภาพของฉือหางดีขึ้น นางจะปลงใจหย่ากับเขา แต่อย่างไรก็ดี เื่นี้คุยกันในภายหลังย่อมดีกว่า
"แต่ลูกของเ้า… ไม่อดอาหาร ไม่หนาวจนตัวแข็งก็เพียงพอแล้ว" จ้าวซื่อพูดเสียงเบา "ไม่จำเป็ต้องดูแลอย่างพิถีพิถันถึงเพียงนั้น"
หลินกู๋หยู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองจ้าวซื่อและพูดอย่างใจเย็นว่า "ท่านแม่ ั้แ่ข้าเห็นเขาครั้งแรกข้าก็ชอบเด็กคนนี้มาก"
นางกำลังบอกเป็นัยให้จ้าวซื่อรู้ว่านางจะดูแลเด็กคนนี้อย่างดี จนกว่านางจะออกจากสกุลฉือ
"เ้า…" หลินกู๋หยู่เป็เด็กที่ดื้อรั้นมาั้แ่เด็ก จ้าวซื่อถอนหายใจอย่างจนใจ "เ้านี่ก็จริงๆ เลย เ้าต้องคิดถึงลูกๆ ของเ้าเอง... "
เมื่อจ้าวซื่อพูดมาถึงตรงนี้ก็ราวกับคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ใบหน้าของนางดูน่าเกลียดเล็กน้อย "ร่างกายของอู่หลางเป็อย่างไรบ้าง?"
“เขานอนบนเตียงได้เท่านั้น” หลินกู๋หยู่พูดตามความจริง
เืบนใบหน้าของจ้าวซื่อค่อยๆ จางหายไป และความรู้สึกผิดในใจก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น นางมองลงไปที่โต้ซา
ไม่น่าแปลกใจที่หลินกู๋หยู่ถึงได้พาเด็กคนนี้มาด้วย เกรงว่าสุขภาพของอู่หลางคงจะไม่ไหวแล้วจริงๆ ถ้าอู่หลางจากไป สตรีจะต้องพึ่งพาลูกในการดำรงชีวิต
สิ่งที่จ้าวซื่อรู้สึกผิดที่สุดคือ นางไม่รู้ว่าอู่หลางไปล่าสัตว์อะไรบนูเา เขาถึงกลายเป็เช่นนี้
และหลินลี่เซี่ย ลูกสาวคนโตของนางหนีไปแล้ว ดังนั้นกู๋หยู่จึงต้องแต่งงานแทนเท่านั้น
สังเกตจากสิ่งที่กู๋หยู่พูด แต่งงานแล้วพวกเขายังไม่ได้มีความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาเช่นนั้นสินะ!
ผู้หญิงหลังจากแต่งงานแล้ว ถ้ายังบริสุทธิ์อยู่ ย่อมถูกคนหัวเราะเยาะเอาได้
เมื่อกลับถึงบ้าน จ้าวซื่อก็รีบกำชับให้พวกเขาล้างมือและนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ โต๊ะ
บนโต๊ะมีชามและตะเกียบสามชุด
หลินกู๋หยู่ทานข้าวพลาง ป้อนข้าวให้โต้ซาไปพลาง
“เด็กคนนี้” จ้าวซื่อมองหลินกู๋หยู่อย่างเศร้าใจ การเป็ม่ายนั้นยากลำบากมากสำหรับผู้หญิง ซ้ำร้ายนางยังต้องช่วยคนอื่นเลี้ยงลูกอีก “เ้าก็อย่าตามใจเขานักเลย”
"ท่านแม่พูดถูก" หลินกู๋หยู่ตักน้ำต้มข้าวใส่ปากโต้ซาด้วยช้อน ดูปากเล็กๆ ของเขาอ้าออก หลังจากกลืนน้ำต้มข้าวแล้ว หลินกู๋หยู่ก็หยิบผ้าเช็ดคราบสกปรกออกจากริมฝีปากโต้ซาเบาๆ “วันหลังข้าจะให้คนทำชามเหล็กกับช้อนเหล็กให้เขา ให้เขากินเอง”
เืเก่าเต็มปากของจ้าวซื่อแทบจะพ่นออกมา ใบหน้าของนางมืดมน "มีใครเขาใช้ชามเหล็กกับช้อนเหล็กกัน?"
หลินกู๋หยู่หันศีรษะไปมองจ้าวซื่อ คนสมัยใหม่ใช้เหล็กกล้าไร้สนิมทำช้อน ชาม แต่ในสมัยโบราณ เหล็กเป็สิ่งที่มีค่ามาก ย่อมไม่มีใครใช้เหล็กทำชามและช้อน
แต่ถ้าใช้ชามกระเบื้องย่อมไม่ดีแน่ ถ้าเผลอทำหล่นแตกขึ้นมาจะไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้อีก
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ จู่ๆ หลินกู๋หยู่ก็ยิ้มและมองไปที่จ้าวซื่อราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง "วันหลังข้าจะไปหาคนทำชามไม้และช้อนไม้เล็กๆ แทน"
จ้าวซื่อมองหลินกู๋หยู่ด้วยรอยยิ้มขมขื่น จากนั้นไม่นานนางก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา "เงินที่มีเ่าั้ เอาไว้ซื้ออาหารกินเถอะ พวกเ้าจะได้ใช้ชีวิตดีขึ้น"
หลินกู๋หยู่กำลังป้อนโต้ซา นางไม่เคยเห็นเด็กที่เชื่อฟังเช่นนี้มาก่อน มันทำให้นางเห็นอกเห็นใจเขาจริงๆ "เมื่อไม่นานมานี้ ข้าใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้อยา หลังจากนี้ข้าจะขึ้นเขาไปหายาสมุนไพร เอาแต่ซื้อยาเพียงอย่างเดียว เงินย่อมไม่เพียงพอสำหรับพี่ฉือหาง”
จ้าวซื่อวางชามและตะเกียบในมือของนางบนโต๊ะ เงยหน้าขึ้นมองหลินกู๋หยู่และพูดด้วยใบหน้าเ็าว่า "เขาป่วย คนที่จ่ายค่ารักษาควรจะเป็แม่ของเขาไม่ใช่หรือ?"
หลินกู๋หยู่แค่กำลังคิดเกี่ยวกับการวางแผนว่าจะทำอะไรในวันข้างหน้า นางไม่ได้คิดมากขนาดนี้ แต่ตอนนี้เมื่อนางได้ยินสิ่งที่จ้าวซื่อพูด มือที่เคลื่อนไหวของนางก็หยุดชะงักชั่วคราว ก่อนจะกินอาหารอย่างเงียบๆ
“ทำไมหรือ มันควรจะเป็อย่างนั้นไม่ใช่หรือ?” น้อยมากที่จ้าวซื่อจะแสดงท่าทีแข็งกระด้าง นางน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ เสียงของนางก็แหบพร่า “เ้าอาศัยอยู่ที่นั่น ใช้ชีวิตอย่างไรหรือ?!”
เมื่อหลินเสี่ยวหานได้ยินสิ่งที่จ้าวซื่อพูด เขาก็วางชามและตะเกียบลงบนโต๊ะอย่างเงียบๆ และมองไปที่หลินกู๋หยู่ด้วยน้ำตาคลอเบ้า
“ก็ค่อนข้างดี” สายตาของหลินกู๋หยู่เหลือบมองสองคนนั้นและพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกท่านไม่ต้องกังวล”
"ถ้าอยู่ดีกินดี แล้วทำไมเ้ายังต้องไปเก็บยาสมุนไพรในป่า?” จ้าวซื่อพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "สกุลฉือเป็ตระกูลที่ร่ำรวย ข้าได้ยินมาว่าตระกูลนี้มีเงินหลายร้อยตำลึง เป็ไปได้อย่างไรที่จะต้องให้เ้าไปทำสิ่งเ่าั้?"
หลายร้อยตำลึง?
ดวงตาของหลินกู๋หยู่เป็ประกายเล็กน้อย จากการคำนวณขั้นต่ำที่สุด แม้ว่าสกุลฉือจะมีเงินเพียงหนึ่งร้อยตำลึง พี่น้องของพวกเขามีสี่คน เมื่อแบ่งเงินเป็สัดส่วนแล้ว แต่ละบ้านจะมียี่สิบห้าตำลึง
เงินแปดตำลึงในยี่สิบห้าตำลึงมอบให้สกุลหลินเป็ค่าสินสอด แบ่งให้พวกนางสิบตำลึง ก็น่าจะมีเงินเหลืออีกเจ็ดตำลึง
เมื่อตระหนักถึงสิ่งนี้ หลินกู๋หยู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
โจวซื่อช่างโหดร้าย ลูกชายของนางป่วยหนักมากขนาดนั้น แต่นางกลับ้าเอารัดเอาเปรียบกันอีก
บางทีโจวซื่ออาจไม่คิดให้เงินกับครอบครัวของพวกนางด้วยซ้ำ เพียงแต่ถ้าไม่ให้เงินนางก็คงจะไม่สบายใจ จึงใช้เงินสิบตำลึงซื้อความสบายใจ
หลินกู๋หยู่จับตะเกียบแน่น
หลินกู๋หยู่ตอนนี้เหมือนแมวตาบอดเจอหนูตาย[1] นางเดาถูกจริงๆ ด้วย ในตอนแรกโจวซื่อคิดว่าจะให้อาหารแก่พวกนางและปล่อยให้นางเลี้ยงลูกก็เพียงพอ แต่เมื่อนางคิดว่าจะต้องแยกครอบครัวกับลูกชายคนที่สาม นางก็ทำไม่ลง
เหตุผลหลักคือ โจวซื่อกังวลว่าผู้ชายของนางจะคลานออกมาจากยมโลกด้วยความโกรธและสะสางบัญชีกับนาง
"ท่านแม่ กินข้าวกันเถอะ" หลินกู๋หยู่ชำเลืองมองจ้าวซื่อและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ข้ารู้ว่าจะต้องจัดการอย่างไร ท่านอย่าถามข้าอีกเลย"
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จ้าวซื่อก็หันไปมองที่หลินกู๋หยู่อย่างสงสัย
หลังจากทานอาหารเสร็จ หลินกู๋หยู่ช่วยจ้าวซื่องานทำความสะอาดบ้านง่ายๆ หลังจากแม่และลูกสาวพูดเื่ส่วนตัวหลินกู๋หยู่ก็คิดที่จะกลับไปแล้ว
เมื่อเดินมาถึงประตู หลินกู๋หยู่มองไปที่หลินเสี่ยวหานที่ยืนอยู่ข้างๆ นางเอื้อมมือไปแตะศีรษะของน้องชาย จากนั้นหันศีรษะไปมองจ้าวซื่อ "ท่านแม่ ให้เสี่ยวหานเรียนหนังสือเถอะ!"
ดวงตาของหลินเสี่ยวหานสว่างวาบ เขามองไปที่หลินกู๋หยู่อย่างกระตือรือร้น
"เรียนหนังสือหรือ?" จ้าวซื่อส่ายศีรษะและขมวดคิ้ว "สถานะของครอบครัวของเรา จะมีเงินส่งเขาเรียนได้เสียที่ไหน?"
ดวงตาของหลินเสี่ยวหานค่อยๆ หมอง
"สกุลฉือให้เงินแล้วไม่ใช่หรือ?" หลินกู๋หยู่จับมือโต้ซา "เงินแปดตำลึงสามารถส่งเสี่ยวหานเรียนหนังสือได้นานอยู่!"
หว่างคิ้วของจ้าวซื่อขมวดเล็กน้อย ตามความคิดเดิมของจ้าวซื่อ เงินแปดตำลึงนี้ต้องไม่ใช้เด็ดขาด ผู้คนมักจะมี่เวลาที่เจ็บป่วยหรือเกิดอุบัติเหตุจำเป็ต้องใช้เงิน เงินส่วนนั้นเป็เงินฉุกเฉินเพื่อช่วยชีวิต
“ท่านแม่” หลินกู๋หยู่รู้ว่ามันเป็เื่หรูหราฟุ่มเฟือยสำหรับคนในชนบทที่จะเรียนหนังสือ ตามความทรงจำเดิมของนาง ในหมู่บ้านของพวกนางเคยมีคนสอบผ่านและได้เป็ข้าราชการระดับท้องถิ่นหนึ่งคน และนั่นก็เมื่อยี่สิบปีก่อน แม้ผู้คนจำนวนมากเข้าร่วมสอบเป็ข้าราชการในขั้นต้น แต่แล้วก็ไม่มีทางที่จะก้าวพัฒนาต่อไปได้อีก "เสี่ยวหานเรียนหนังสือตอนนี้ ในอนาคตจะต้องมีประโยชน์แน่"
“ไม่ใช่ว่าแม่ไม่เห็นด้วย” จ้าวซื่อถอนหายใจเล็กน้อย “เ้าอาจจะไม่รู้ว่าหลังจากคนเ่าั้เรียนหนังสือ พวกเขาไม่สามารถทำงานในไร่ในนาได้แล้ว เรียนก็เรียนไม่เก่ง ไม่มีประโยชน์…"
แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็ข้อเท็จจริง แต่ก็เป็ข้อแก้ตัวของจ้าวซื่อเช่นกัน
"ท่านแม่ ถ้าข้าได้เรียนหนังสือ ข้าจะทำงานในไร่นาหลังเลิกเรียนด้วย" หลินเสี่ยวหานจ้องตรงไปที่จ้าวซื่อด้วยดวงตาที่งดงามคู่หนึ่ง
ใบหน้าของจ้าวซื่อชะงักงัน
……………………………
[1] แมวตาบอดเจอหนูตาย หมายถึง แมวมองไม่เห็นเจอหนูตาย เปรียบเทียบตัวเองไม่มั่นใจ แต่โชคดีหรือบังเอิญจึงประสบความสำเร็จ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้