จ้าวเหม่ยหลินมองตามแผ่นหลังเสี่ยวถังและซูจินที่หายลับไปตามทางเดิน นางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนสายตาจะหันกลับมาสำรวจรอบตัวเรือนอย่างละเอียดอีกครั้ง
หลังคาไม้ผุพังจนเห็นเกล็ดหิมะโปรยลงมาเป็ระยะ ฝุ่นหนาเกาะเต็มขอบหน้าต่างจนแทบมองไม่เห็นด้านนอก เสาไม้ที่ค่ำยันตัวเรือนก็แตกร้าวจนน่าใจหาย
พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในที่แบบนี้ได้อย่างไร หากฤดูฝนมาถึงหรือเกิดลมพายุขึ้น เรือนแห่งนี้คงเป็ที่แรกที่พังลงมาแน่นอน
จ้าวเหม่ยหลินเดินไปยังมุมห้อง นางย่อตัวลงลองใช้นิ้วแตะพื้นไม้ที่ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดด้วยความเก่า แต่แล้วสายตาของนางก็เหลือบไปเห็นของบางอย่างใต้ตู้ไม้
“กล่องหรอ?” จ้าวเหม่ยหลินขยับเข้าใกล้ตู้อย่างระมัดระวังเพราะฝุ่นหนา นางเอื้อมมือดึงกล่องเหล็กออกมา กล่องนั้นขึ้นสนิมบางส่วนแต่ยังคงปิดสนิท
ร่างเล็กพยายามงัดฝากล่องอยู่นานจนกระทั่งมันเปิดออก กลิ่นของกระดาษเก่าแตะจมูกทันที ด้านในคือแผ่นกระดาษสีน้ำตาลอ่อนพับเรียบร้อย
“จดหมาย” นางพึมพำ ก่อนจะคลี่แผ่นแรกออก สายตากวาดมองตามตัวอักษรภาษาจีน
“ไม่สิ เหมือนไดอารี่มากกว่า”
กระดาษแผ่นแรกเป็บันทึกเื่ราวของจ้าวเหม่ยหลินที่ซูจินเคยเล่าให้ฟังไม่มีผิด ทุกถ้อยคำถูกเขียนด้วยลายมือหวัดแต่พยายามประณีต เหมือนเ้าของ้าถ่ายทอดทุกอย่างออกมาอย่างลอบคอบ
ทว่ากระดาษแผ่นที่สองกลับมีเพียงตัวเลขเรียงต่อกันซ้ำไปซ้ำมา หนึ่งไปจนถึงห้าสิบแล้ววนซ้ำใหม่เป็การนับไม่มีจุดจบ นางไม่เข้าใจว่าจ้าวเหม่ยหลินคนก่อนเขียนเช่นนี้เพื่ออะไร
แต่เมื่อคลี่กระดาษแผ่นสุดท้ายออก หัวใจของนางก็พลันเข้าใจทันที
เสี่ยวอวี้มักจะใช้ไม้ตีเข้าที่หลังของคนตัวเล็กบ่อยครั้ง จนหลงคิดว่าหลังของนางหักไปแล้วหรือไม่ก็ไม่มีความรู้สึกอีกต่อไปแล้ว แต่นั่นก็เป็เพียงความคิดหลอกตัวเอง
จ้าวเหม่ยหลินคนก่อนจึงนับตัวเลขพวกนี้เพื่อยังคงจิตใจให้อยู่กับตัว นางกลัวว่าวันหนึ่งตนเองจะกลายเป็คนเสียสติ แล้วยังเขียนต่อว่านางอยากออกไปจากที่นี่ อยากมีครอบครัวที่อบอุ่น
“ช่างน่าสงสาร” จ้าวเหม่ยหลินน้ำตาคลอ แม้กระดาษจะเก่าแต่ก็สามารถถ่ายทอดความรู้สึกะเืใจได้อย่างชัดเจน
“มาที่นี่ไม่เสียเปล่าจริงๆ ฉันจะเอาคืนให้เธอเองจ้าวเหม่ยหลิน” แม้จะเป็เพียงการหยอกล้อเล็กน้อย แต่มันก็มากพอที่จะทวงคืนศักดิ์ศรีให้กับร่างนี้
หลังจากเก็บของใส่กล่องและเลื่อนกลับไปไว้ที่เดิมเรียบร้อยแล้ว จ้าวเหม่ยหลินก็กลับมานั่งลงบนเก้าอี้ตามเดิม
ไม่นานเสี่ยวถังกับซูจินก็กลับมาพร้อมหนอนไม้ไผ่สองตัวในมือ ทั้งสองบอกอย่างภาคภูมิใจว่าได้ใช้เท้าเขี่ยหาตามหิมะแล้ว แต่ไม่เจออะไรนอกจากหิมะกับก้อนน้ำแข็ง
จ้าวเหม่ยหลินถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับกับความโง่เขลาของทั้งคู่
จากนั้นก็เล่าต่อว่าระหว่างทางกลับเดินผ่านชายชราผู้หนึ่งซึ่งกำลังตัดต้นไผ่เพื่อจะนำไปสร้างบ้าน บังเอิญภายในลำไผ่นั้นมีหนอนไม้ไผ่สองตัวพอดีจึงขอซื้อมา ในความโง่ก็ยังมีความฉลาดแอบซ่อนอยู่บ้าง
จ้าวเหม่ยหลินจึงสั่งเสี่ยวถังให้นำหนอนหนึ่งตัวใส่ถ้วยแล้วนำไปวางบนโต๊ะอาหาร ส่วนอีกตัวนางจะเก็บไว้ใช้เอง
ระหว่างที่รอเสี่ยวถังจัดการกับหนอนไม้ไผ่ ซูจินก็ยื่นซาลาเปาลูกเล็กมาให้จ้าวเหม่ยหลินพลางกล่าวว่า นี่คือสิ่งเดียวที่พอจะซื้อได้ด้วยเงินที่มีอยู่
จ้าวเหม่ยหลินพยักหน้ารับโดยไม่ปริปาก ก่อนจะกัดคำหนึ่ง แม้รสชาติจะไม่น่าพิสมัยนักแต่ก็ช่วยบรรเทาความหิวได้
เวลาผ่านไปพักใหญ่เสียงประตูก็ดังขึ้น เสี่ยวอวี้กลับมาถึงเรือนแล้ว นางผลักเปิดประตูเข้ามา ก่อนจะชะงักที่เห็นภาพเบื้องหน้า เสี่ยวถังนั่งสบายอยู่บนเก้าอี้ ขณะที่ซูจินและจ้าวเหม่ยหลินนั่งอยู่กับพื้นด้วยสีหน้าสงบ
สายตาของเสี่ยวอวี้เบิกกว้างด้วยความใ
คุณหนูจ้าวยังไม่ตายงั้นหรือ แล้วสิ่งที่นางรายงานต่อฮูหยินรองไปคงผิดทั้งหมด เช่นนี้หากความแตกขึ้นมาคงหนีการลงโทษไม่พ้นแน่
“มีอะไรให้กินหรือไม่?” เสี่ยวอวี้เอ่ยถาม น้ำเสียงติดจะหงุดหงิดแต่แฝงความเหนื่อยล้า
จ้าวเหม่ยหลินลุกขึ้นยืนยิ้มบาง แล้วเดินไปหยิบถ้วยข้าวมาให้ ก่อนจะวางลงตรงหน้าเสี่ยวอวี้อย่างนอบน้อม
เสี่ยวอวี้เหลือบมองถ้วยข้าวพลางยิ้มเยาะในใจ คิดว่าจ้าวเหม่ยหลินคงสำนึกกลัวเสียแล้ว แต่ทันทีที่เปิดฝาถ้วย สิ่งที่อยู่ภายในกลับไม่ใช่ข้าวต้มแต่อย่างใด หากเป็หนอนไม้ไผ่ดิ้นยุกยิกอยู่ในถ้วยอย่างน่าขนลุก
“กรี๊ด!” เสี่ยวอวี้ร้องลั่น ถอยหลังอย่างรวดเร็วด้วยความใ แต่เสี่ยวถังกับซูจินก็เข้ามาคว้าร่างของนางไว้แน่น
จ้าวเหม่ยหลินเห็นดังนั้นไม่รอช้า นางรีบหยิบหนอนขึ้นมาแล้วยัดเข้าปากของเสี่ยวอวี้ทันที เสี่ยวอวี้ดิ้นรนและใบหน้าที่ซีดด้วยความกลัว
“กลืนมันเข้าไป” เสียงเ็าดังขึ้นจากปากของหญิงสาว
ในขณะเดียวกันจ้าวเหม่ยหลินก็ดึงหนอนอีกตัวจากแขนเสื้อ แล้วยื่นมันเข้าไปใกล้ใบหน้าของเสี่ยวอวี้อย่างข่มขู่
เสี่ยวอวี้ที่หมดหนทางจะต่อต้านได้แต่หลับตากลืนหนอนตัวนั้นลงคอไปอย่างฝืนทน ความหวาดกลัวจนเหงื่อแตกพลั่ก
“ซูจิน” จ้าวเหม่ยหลินเพียงเอ่ยชื่อเบาๆ ซูจินก็ยื่นไม้ให้ทันที
จ้าวเหม่ยหลินรับไม้มา ก่อนจะทุบลงบนแผ่นหลังของเสี่ยวอวี้อย่างไม่ออมแรง เสี่ยวถังก็ช่วยจับร่างไว้ไม่ให้ขยับหนี
เสียงหวดไม้ดังสะท้อนก้องในห้อง เสี่ยวอวี้ร้องไห้โอดครวญ “ยอมแล้ว! ข้ายอมแล้ว! คุณหนูไว้ชีวิตข้าเถิด!” เสียงร้องปนสะอื้นหลุดจากปาก ก่อนที่ร่างผอมจะทรุดฮวบหมดสติไปกับพื้นอย่างน่าเวทนา
จ้าวเหม่ยหลินถอนหายใจ แล้วหัวเราะในลำคอ เสียงหัวเราะนั้นไม่ได้ดังนัก แต่กลับทำให้ซูจินกับเสี่ยวถังรู้สึกขนลุก
“ช่างน่ากลัวยิ่งนัก”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้