“อวี่เอ๋อร์ เ้าชอบปิ่นอันนี้หรือไม่?” เสียงของคุณชายหลี่ดังขึ้น ขณะหยุดยืนหน้าร้านขายเครื่องประดับเล็ก ๆ ในตลาดสายหนึ่ง
เขายกปิ่นลายดอกเหมยสีฟ้าขึ้นมาพิจารณา แล้วหันมายื่นให้นางดู ดวงตาส่องแสงเหมือนเด็กน้อยที่พบของขวัญถูกใจ
หลินซีอวี่ปรายตามองปิ่นนั้นเพียงชั่วครู่ สีสันนวลตา ลวดลายอ่อนหวาน ช่างถูกใจนางยิ่งนัก ...แต่เพียงชั่ววูบเท่านั้นที่ความจริงผุดวาบขึ้นในใจ
นางหันหน้ากลับ ตั้งท่าจะก้าวเดินต่อ แล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“คุณชายหลี่ ข้าไม่ชอบของพวกนี้”
ถ้อยคำนั้นเรียบ ง่าย และเ็าจนคุณชายหลี่ถึงกับชะงักมือลง
เขายังไม่ละความพยายาม กลับเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ดูไม่ใส่ใจกับความเ็านั้น
“เช่นนั้นเ้าชอบของแบบไหน? เ้าอยากได้สิ่งใด... ก็เลือกเถิด ข้ายินดีซื้อให้เ้า”
เขายืดตัวขึ้นเล็กน้อย แววตาภาคภูมิใจราวกับคิดว่ากำลังทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่
หลินซีอวี่เงียบไปชั่วครู่ แล้วจึงเอ่ย
“ข้าหิวแล้ว” คำตอบนั้นไม่มีน้ำเสียงใดแฝง นางหิวจริง แต่ยิ่งไปกว่านั้น นางกำลังมองหาสถานที่เงียบสงบ สะดวกพอจะได้พูดคุยกับเขาอย่างตรงไปตรงมา เื่ขอให้เขายกเลิกการแต่งงาน
“ดี ๆ เช่นนั้นข้าจะพาอวี่เอ๋อร์ของข้าไปกินบะหมี่ฝูเจี้ยน อาหารขึ้นชื่อของที่นี่!” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี ใบหน้าสดใสจนดูเหมือนเด็กหนุ่มมากกว่าคุณชายใหญ่
ไม่ทันให้นางเอ่ยอะไรต่อ เขาก็เดินนำไปอย่างร่าเริง ก่อนหยุดที่หน้าร้านเล็ก ๆ ริมทาง ร้านหลังคามุงจากบาง ๆ กับโต๊ะไม้เก่า ๆ ถูกจัดเรียงอย่างง่ายดาย ริมถนนที่มีผู้คนผ่านไปมา
“นี่มันร้านอะไรกัน...” ไป๋อิงหลุดคำอย่างไม่อาจกลั้น นางหรี่ตาลงมองอย่างไม่พอใจ ก่อนเอ่ยเสียงเย็น “ท่านจะให้คุณหนูของข้าทานอาหารข้างถนนเช่นนี้น่ะหรือ?”
หลี่จื่อเหว่ยหันมายิ้มกว้าง สีหน้าไม่ไยดีต่อคำต่อว่า
“เ้าอย่าได้ดูแคลนร้านเล็ก ๆ เช่นนี้นัก คนท้องถิ่นเขามากินกันทุกวัน บะหมี่เส้นสด ลูกชิ้นปลาหมึกก็ทำเอง รสชาติเยี่ยมยิ่ง!”
“แต่ว่า…”
“พอเถอะ ไป๋อิง” หลินซีอวี่เอ่ยขึ้นเรียบ ๆ แต่หนักแน่นพอจะหยุดเสียงสาวใช้ได้
นางเหลือบตามองร้านอย่างสำรวจ ไม่ใช่สิ่งที่เคยชิน หรืออยากลอง แต่นางเพียง้าสถานที่สนทนากับเขา ไม่ว่าที่ใดก็ได้ทั้งนั้น
“ข้าทานได้” นางว่าเพียงเท่านั้น ก่อนจะสาวเท้าไปยังโต๊ะไม้ตัวที่หลี่จื่อเหว่ยนั่งรออยู่
ไป๋อิงถอนหายใจเบา ๆ คุณหนูว่าอย่างไร นางก็จำต้องทำตามอย่างไม่มีทางเลือก ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะไม้ใกล้ ๆ พอให้มองเห็นคุณหนูของตนได้ชัด
บนโต๊ะอีกฟาก หลี่จื่อเหว่ยนั่งทานบะหมี่ฝูเจี้ยนในชามอย่างเอร็ดอร่อย แทบจะไม่เหลือเส้นสักเส้น ใบหน้าของเขาเปื้อนยิ้มเต็มเปี่ยม… สุขเสียจนดูเหมือนลืมโลกรอบข้างไปแล้ว
ตรงข้ามกัน หลินซีอวี่ยังไม่แตะชามของตนเลยแม้แต่น้อย นางคีบตะเกียบไว้ในมือ แต่ไม่ขยับ คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อย ราวกับจมอยู่ในความคิด
นางลอบมองเขา ผู้ชายตรงหน้า... ผิวคล้ำกร้านแดด ดูแข็งกระด้าง แต่หากมองโดยไร้อคติ... ใบหน้านั้นช่างหล่อเหลาไม่น้อยกว่าจ้าวโหวเลย แม้จะแตกต่างกันสิ้นเชิงในภาพลักษณ์ แต่กลับน่าดึงดูดไปอีกแบบหนึ่ง
เขาซดน้ำในถ้วยจนหมดก่อนจะวางถ้วยลง... ทว่าสายตาของเขาชะงักกลางคัน เมื่อพบว่านางกำลังจ้องหน้าเขา
“เ้า… มองหน้าข้า หน้าข้ามีอะไรหรือ?” เขาถามขึ้นด้วยรอยยิ้มขี้เล่น น้ำเสียงดูไม่จริงจังนัก แต่แววตากลับแฝงความสนใจ
หลินซีอวี่สะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรีบเบือนหน้า ก้มลงต่ำ
“เปล่าเ้าค่ะ” นางตอบ พลางยกตะเกียบขึ้นคีบบะหมี่เข้าปาก
...รสชาติอุ่น ๆ ของบะหมี่ฝูเจี้ยนซึมซาบในลิ้น
อร่อย… อร่อยยิ่งกว่าที่คิดไว้มาก กลิ่นหอมของน้ำซุป กับเส้นเหนียวนุ่มทำให้นางลืมความลังเลในตอนแรกไปชั่วขณะ
ตะเกียบที่เคยค้างนิ่ง เริ่มคีบคำที่สอง สาม สี่ ไม่นานนัก ชามตรงหน้านางก็พร่องลงอย่างรวดเร็ว
หลี่จื่อเหว่ยที่นั่งมองอยู่ไม่ไกล ยิ้มบางอย่างห้ามไม่อยู่ ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายเจิดจ้าหาใช่เพราะบะหมี่รสเลิศ หากแต่เป็เพราะผู้ที่เขารอคอยมาเนิ่นนาน… กำลังก้มหน้ารับประทานสิ่งที่เขาแนะนำด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย แววตาที่เคยหม่นเศร้า และใบหน้าที่ตึงเครียดซึ่งเขาเห็นั้แ่นางลงเรือมานั้น บัดนี้กลับอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย… ราวกับเริ่มมีแววสุขใจปนอยู่บ้างแล้ว
เสียงะโจากบ่าวไพร่ด้านหลังทำให้บรรยากาศคึกคักยิ่งขึ้น
“ข้าเอาอีกสองชาม!”
“ข้าขอสามชามเลย!”
กลิ่นหอมของน้ำซุปแทบกลบความเหนื่อยล้าจากการเดินทางไปจนหมด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้