“เ้าเคยทานเคเอฟซีหรือไม่”
เป็คำพูดแรกที่ออกมาจากปากของลู่หยวนซีหลังจากที่สาวใช้ของเจียงจื่ออิ๋งออกจากห้องไป
“เ้า...เธอ เป็คนที่มาจากอนาคตเหมือนกันหรือ”
สรรพนามที่เจียงจื่ออิ๋งใช้กับนางทำให้ลู่หยวนซีแน่ใจแล้วว่าตนไม่ได้คิดไปเอง
“ทั้งใช่และไม่ใช่ค่ะ ความจริงที่นี่เป็เพียงเื่ราวในนิยายเล่มหนึ่ง หากว่าเป็ก่อนหน้านี้คุณถูกผู้เขียนควบคุมเอาไว้ฉันคงคุยกับคุณแบบนี้ไม่ได้”
เจียงจื่ออิ๋งใจนหาเสียงของตนเองไม่เจอ ทะลุมิติเข้ามาในนิยายว่าแย่แล้ว นี่ตนยังกลายมาเป็ตัวละครที่ถูกควบคุมราวกับหุ่นเชิดด้วยอย่างนั้นหรือ มิน่าเล่า ทุกครั้งที่คิดจะทำตามใจตนเองมักจะมีเสียงดังขึ้นมาในหัวทำให้ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ อย่างนี้ก็ชัดแล้วว่าทำไมตนถึงได้รู้สึกเกลียดชังและอยากจะหาเื่ผู้หญิงคนนี้นัก
“เธอช่วยฉันทำไม ก่อนหน้านี้ฉันหาเื่เธอครั้งแล้วครั้งเล่า เธอ...ไม่โกรธหรือ”
นำเสียงของเจียงจื่ออิ๋งแสดงออกว่ารู้สึกผิดจริงๆ กับเื่ที่ผ่านมา เวลานี้นางรู้สึกเหมือนว่าตนเองได้ถูกปลดปล่อยจากพันธนาการบางอย่าง มันทั้งโล่งและเบาสบาย ความรู้สึกเกลียดชังที่เคยมีมันก็ได้หายไปอย่างสิ้นเชิง
“คุณอย่าคิดมากเลยค่ะ ตอนนั้นฉันคิดว่าคุณอาจจะกำหนดให้เกลียดฉันโดยไร้เหตุผล เพราะคุณคือตัวละครหลักในนิยายของเื่นี้ เป็ฉันเสียอีกที่เข้ามาในนี้โดยบังเอิญ”
เจียงจื่ออิ๋งที่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย อย่างน้อยหลังจากที่ตนถูกคนรักทอดทิ้ง นางก็ได้มาพบคนที่มาจากโลกเดียวกัน
“ฉันชื่อมู่หยุนถิงค่ะ อายุยี่สิบสามพึ่งเรียนจบมหาลัย มาจากปักกิ่งในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด หมายถึงปีสองพันยี่สิบสี่ เธอล่ะมาจาก่ยุคไหน คงไม่ไกลกันกระมัง เพราะเธอเองก็รู้จักเคเอฟซีด้วยนี่นา”
เจียงจื่ออิ๋งเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดี แต่ทำเอาอีกคนที่นั่งฟังถึงกับอ้าปากเหวอจนกรามแทบค้าง เจียงจื่ออิ๋งที่มองอยู่โบกมือไปมาตรงหน้าลู่หยวนซี เมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังมองตนด้วยอาการตกตะลึง
“เธอเป็อะไรไปอย่างนั้นหรือ เราคงไม่ใช่ว่ามาจากยุคเดียวกันกระมัง หรือว่าเธอรู้จักฉันด้วย”
ลู่หยวนซีได้สติกลับมาหลังจากที่ได้ยินเสียงของเจียงจื่ออิ๋ง นางคิดเล็กน้อยว่าควรบอกเื่จริงกับเพื่อนทรยศคนนี้ดีหรือไม่ แต่แล้วลู่หยวนซีก็เก็บเื่ที่ตนคือเพื่อสาวที่ถูกมู่หยุนถิงหักหลังในโลกก่อนเอาไว้ เพื่อรอดูท่าทีต่ออีกหน่อย
“ไม่ค่ะ ฉันมาจากโลกอนาคตที่ไกลจากคุณห้าร้อยปี ชื่อจริงของฉันคือลู่หยวนซี ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณมู่หยุนถิง”
สตรีทั้งสองจับมือกัน จากนั้นพวกนางก็พูดคุยกันเกี่ยวกับที่ที่ตนจากมา ส่วนลู่หยวนซีก็อุปโลกน์โลกอนาคตของตนขึ้น เพื่อให้ดูสมจริง ยังแสดงกลเล็กน้อยที่นางโกหกว่าคนที่เรียนแพทย์มักจะมีติดตัวกันทุกคน ทำเอาเจียงจื่ออิ๋งแสดงอาการอิจฉาออกมาไม่ได้ หลังจากที่พูดคุยกันจนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มมืดลง มู่หยุนถิงก็จำเป็ต้องกลับไปยังจวนตระกูลกู้อีกครั้ง นางมองไปยังร่างบางในชุดสีขาวที่เดินออกมาส่งหน้าโรงเตี๊ยมด้วยท่าทางอาลัยอาวรณ์
“ขึ้นรถม้าเถอะ เื่ที่เ้าขอร้องข้า ข้าจะลองไปถามองค์รัชทายาทดู กลับบ้านดีๆ ล่ะ”
ลู่หยวนซีให้เสี่ยวเอ้อไปเช่ารถม้าเพื่อไปส่งสตรีทั้งสองที่จวนตระกูลกู้ เพราะเห็นว่าพวกนางมิได้นั่งรถม้ามา ผ่านไปไม่นานรถม้าที่เจียงจื่ออิ๋งนั่งโดยสารมากับิเยว่ก็วิ่งมาหยุดลงที่หน้าจวนตระกูลกู้ เมื่อทั้งสองเดินผ่านศาลาริมสระบัวก็ได้เห็นภาพบาดตาอยู่ตรงหน้า กู้เยี่ยนชิงคุณชายใหญ่ตระกูลกู้ กำลังนั่งดื่มสุราโดยที่ข้างกายมีสตรีงดงามสองนางนั่งเบียดกายแทบจะสิงเข้าไปในร่างของเขา เสียงหัวเราะหยอกเย้าออดอ้อนดังแว่วออกมาด้านนอก กู้เยี่ยนชิงมองเห็นนางเดินมาแต่ไกลแล้ว แต่เขายังกอดหอมสตรีทั้งสองนางแสร้งทำเป็มองไม่เห็น ทำราวกับว่านางเป็เพียงอากาศธาตุสำหรับตน เจียงจื่ออิ๋งมองเห็นภาพที่ปรากฏตรงหน้า นางทำได้เพียงกำหมัดแน่นจนกายสั่นเทา ความรู้สึกสับสน โกรธแค้น และเสียใจมันอัดแน่นอยู่ภายในอก ดวงตางามแดงก่ำน้ำใสกลอกกลิ้งไปมาจวนเจียนจะหยด แต่นางก็กลั้นมันเอาไว้เพราะไม่้าให้ใครได้เห็นความอ่อนแอของตน
“ไปเถอะิเยว่ มองไปก็เป็เสนียดแก่สายตาเสียเปล่าๆ”
เจียงจื่ออิ๋งสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป นางจะยอมอดทนเพิ่มอีกหนึ่งวันเพื่อที่นางจะได้เป็อิสระและหลุดพ้นจากเขา กู้เยี่ยนชิงเห็นฮูหยินของตนไม่แสดงอาการหึงหวงออกมา ทั้งที่ข้างกายของเขามีสตรีอื่นเขาก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิม ร่างสูงผลักอนุทั้งสองออกห่างจากตนก่อนจะลุกขึ้นยืนมองไปยังเส้นทางที่เจียงจื่ออิ๋งพึ่งเดินจากไป นางเป็อะไรของนางกันแน่ เมื่อก่อนแม้แต่ภายในเรือนของเขาก็ห้ามมีสาวใช้หน้าตาดี
แต่ครั้งนี้เห็นเขากอดกับสตรีอื่นเต็มสองตานางกลับไม่อาละวาดออกมา ทั้งยังเดินหนีทำท่าทางไม่สนใจอีก ั้แ่วันนั้นกู้เยี่ยนชิงก็มักจะพาอนุทั้งสองของตน เดินผ่านไปยังเส้นทางที่เจียงจื่ออิ๋งมักจะผ่านเป็ประจำ แต่ทุกครั้งนางก็จะมองเขาด้วยสายตาที่เ็าขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งวันงานเลี้ยงที่ถูกจัดขึ้นเพื่อต้อนรับคณะราชทูตจากแคว้นจิ้นก็มาถึง อนุทั้งสองแต่งกายด้วยชุดสีฟ้าเข้าชุดกับกู้เยี่ยนชิง พวกเขาดูเหมือนสามีภรรยามากกว่าเจียงจื่ออิ๋งเสียอีก แต่นางไม่สนใจ ร่างบางในชุดสีม่วงปักลายดอกไห่ถังดูเรียบๆ แต่เมื่ออยู่บนร่างงามระหงของเจียงจื่ออิ๋ง กลับดูสง่างามมากกว่าอนุของกู้เยี่ยนชิงที่ประโคมเครื่องประดับเอาไว้จนเต็มหัวเสียอีก
กู้เยี่ยนชิงยืนรอนางพร้อมกับอนุทั้งสองที่หน้าจวน แต่แล้วรถม้าคันใหญ่ที่ติดตราสัญลักษณ์ของตำหนักองค์รัชทายาทก็วิ่งมาหยุดที่ด้านหน้าของนาง ร่างงามของสตรีที่สวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ ปักลายดอกบัวสีชมพูมองดูแล้วราวกับนางเซียนที่กำลังล่องลอยลงมาจากสรวง์นางก้าวลงมาหยุดยืนตรงหน้าของเจียงจื่ออิ๋ง ก่อนที่จะจับมือนางเอาไว้ “ข้ามารับเ้าแล้ว” เจียงจื่ออิ๋งพยักหน้า ก่อนที่ทั้งสองจะขึ้นรถม้าของตำหนักองค์รัชทายาทจากไป
กู้เยี่ยนชิงไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นเหตุใดลู่หยวนซีที่เคยไม่ถูกกันกับเจียงจื่ออิ๋ง เวลานี้ถึงได้มารับนางด้วยตนเอง เขารีบก้าวขึ้นรถม้า สั่งให้คนของตนรีบตามรถม้าของตำหนักองค์รัชทายาทไป แต่เมื่อเห็นรถม้าคันนั้นมุ่งตรงไปยังวังหลวงมิได้ย้อนไปยังตำหนักขององค์รัชทายาท กู้เยี่ยนชิงก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นี่เขาโล่งใจอย่างนั้นหรือ เพราะเหตุใดเล่า เป็ไปไม่ได้อยู่แล้วที่องค์รัชทายาทกับภรรยาของเขาจะมีความสัมพันธ์กัน
กู้เยี่ยนชิงส่ายหน้าให้กับความคิดเหลวไหลของตน
“มาแล้วหรือ”
เสียงที่ส่งมาก่อนทำให้ลู่หยวนซีเปิดม่านหน้าต่างรถม้าออก ร่างสูงสง่าในชุดของรัชทายาทแคว้นจ้าวยืนอย่างมั่นคงอยู่ที่ประตูใหญ่ทางเข้าวังสำหรับเหล่าขุนนาง ลู่หยวนซีเห็นดังนั้นนางก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความสงสัย
“เหตุใดพระองค์ถึงได้มาอยู่ที่นี่เล่าเพคะ มิใช่ว่าต้องไปต้อนรับคณะราชทูตหรือ”
ลู่หยวนซีถามออกไปอย่างสงสัย เมื่อรถม้าจอดสนิทนางก็ก้าวลงมาก่อน จากนั้นตามมาด้วยเจียงจื่ออิ๋ง
“ฮูหยินกู้”
จ้าวหลี่เสวียนพยักหน้าทักทายเจียงจื่ออิ๋งเล็กน้อย
“ถวายพระพรองค์รัชทายาทเพคะ”
เจียงจื่ออิ๋งยอบกายลงเพื่อทำความเคารพรัชทายาทหนุ่ม ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน นางได้รับคำตอบรับให้เข้าเฝ้าจากตำหนักองค์รัชทายาท นี่มิใช่ความ้าของจ้าวหลี่เสวียนเพราะเขาไม่ชอบกิริยาของนางที่มีต่อลู่หยวนซี จึงไม่ได้ตอบรับคำขอเข้าเฝ้าของนางก่อนหน้านี้ แต่หลังจากลู่หยวนซีเอ่ยเื่นี้ขึ้นทำให้รัชทายาทหนุ่มจำต้องฟังว่านางมีธุระสำคัญใดที่ต้องเอ่ยกับตน
แม้ลู่หยวนซีจะอ่านนิยายเื่นี้จบไปแล้ว แต่เจียงจื่ออิ๋งคือตัวละครหลัก นางจะต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับอนาคตมากกว่าที่นางรู้มาแน่ และความทรงจำของนางนั้นจำเป็ต่อจ้าวหลี่เสวียนมาก ดังนั้นหลังจากที่เข้าหารือกันแล้ว จึงได้อนุญาตให้เจียงจื่ออิ๋งเข้าเฝ้าและพูดธุระของนาง เื่ทุกอย่างถูกปิดบังจากกู้เยี่ยนชิง เจียงจื่ออิ๋งไม่ได้ไปที่ตำหนักรัชทายาทเพราะเกรงต่อคำครหา แต่พวกเขานัดพบกันที่ห้องของลู่หยวนซีในโรงเตี๊ยมแห่งนั้น
“ถวายบังคมองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงที่ดังขึ้นทางด้านหลัง ทำให้คนทั้งสามหันไปมอง เป็กู้เยี่ยนชิงและอนุทั้งสองของเขาที่พึ่งลงมาจากรถม้านั่นเอง เจียงจื่ออิ๋งยังคงยืนก้มหน้าไม่สบตากับเขา ทำราวกับว่าตนเองไม่ได้มีความสัมพันธ์หรือรู้จักกับชายหนุ่มเลย เมื่อเห็นนางแสดงออกเช่นนั้นกู้เยี่ยนชิงก็รู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย แต่จำต้องข่มอารมณ์เอาไว้เพราะที่นี่มีดวงตาหลายคู่ที่จับจ้องมายังพวกตน