อาหารมื้อค่ำของตระกูลหลิวทำได้ไม่เลว คนในหมู่บ้านต่างก็รู้สึกว่าหลิวซานกุ้ยนั้นใจถึง อาหารแต่ละอย่างนั้นใส่น้ำมันมากจนเป็ที่พอใจ
ความใจถึงของหลิวซานกุ้ยได้เผยแพร่ออกไปเช่นนี้
หลิวเต้าเซียงฟังหวงเสียวหู่มาเล่าต่อให้ฟังจึงหัวเราะเบาๆ นี่คือสิ่งที่นาง้า ใช่ว่านางไม่มีเงิน เพียงแต่เงินนี้เมื่อเอาออกมาแล้วไม่มีทางใช้ เพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยากนี้ ครั้งที่แล้วนางจึงให้หลิวซานกุ้ยไปเพียงหกสิบตำลึง
แม้ว่าการต่อเติมบ้านกับซื้อที่จะใช้เงินไปไม่น้อย แต่เงินที่เหลือก็เพียงพอที่จะซื้อลาได้หนึ่งตัว
ชาวบ้านส่วนใหญ่ในหมู่บ้านสามสิบลี้ใช้ชีวิตกันอย่างเรียบง่าย
วันรุ่งขึ้นเมื่อท้องฟ้าสว่าง ประตูบ้านของครอบครัวหลิวเต้าเซียงก็เปิดออก ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงผู้คนหัวเราะ
คนในหมู่บ้านที่มาช่วยงานต่างมากันแต่เช้าตรู่ เมื่อคืนหลิวเต้าเซียงขอนอนบนเตียงพี่สาว เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวด้านนอก จึงหาวอย่างสะลึมสะลือ
“ข้าทำเ้าตื่นหรือ? นอนต่ออีกหน่อยเถิด ในบ้านมีคนช่วยงานอยู่แล้ว ขาดเ้าไปคนเดียวไม่เป็ไรหรอก”
หลิวชิวเซียงอายุสิบขวบแล้ว อีกทั้งยังเอ็นดูน้องสาวของตนมากขึ้นเรื่อยๆ
“ไม่ล่ะ กลัวว่าเดี๋ยวน้องสามจะตื่น ข้ารีบตื่นมาช่วยดูนางดีกว่า วันนี้ท่านพ่อกับท่านแม่คงต้องยุ่งจนเท้าไม่ติดพื้น ข้าเป็เด็กดีดูแลน้องสามอยู่ในห้องดีกว่า นางจะได้ไม่ใกับเสียงประทัดด้านนอก”
หลิวชุนเซียงอายุเกือบหนึ่งขวบ ซึ่งเป็วัยที่กำลังอยากรู้อยากเห็น หากไม่ทันดู นางอาจจะใช้ขาอันสั้นคลานไปไหนก็ได้ หากไม่คลานไปค้นของในตู้ ก็จะกลิ้งไปนอนใต้โต๊ะ ไม่นานนักใบหน้าที่ขาวสะอาดก็จะสกปรก เหลือเพียงดวงตาแวววาวเป็ประกายที่จ้องกลับมาปริบๆ
จะตีก็ตีไม่ลง จะด่าก็ด่าไม่ลง แต่จะสอนก็สอนไม่รู้เื่ พอจบเื่นางยังคงทำตาโตไร้เดียงสา สุดท้ายคนที่โมโหก็คือตัวเอง
วันนี้มีคนมาที่บ้านมากมาย หลิวเต้าเซียงตัดสินใจว่าจะอยู่แต่ในห้องปีกตะวันตก รอพี่สาวส่งข้าวเข้ามาให้
นางชอบน้องสามที่ตัวสะอาดสะอ้านและมีกลิ่นตัวหอม
เป็ครั้งแรกที่หลิวเต้าเซียงไม่เกียจคร้าน ตัดสินใจว่าจะสั่งสอนให้น้องสามกลายเป็สาวงามที่รักในความสะอาด
สำหรับนิสัยรักความสะอาดแล้ว สิ่งที่ทนไม่ได้ก็คือการได้เห็นหลิวชุนเซียงจากที่ตัวสะอาดสะอ้าน ลงไปเกลืองกลิ้งจนดำเหมือนถ่านในพริบตาเดียว
ใน่สาย บริเวณลานบ้านคึกคักเป็อย่างมาก วันนี้หลิวเต้าเซียงเลี้ยงหลิวชุนเซียงอยู่ในห้องปีกตะวันตกทิศเหนืออย่างว่าง่าย มีเพียงแม่บ้านที่สูงวัยหน่อยจะเข้ามาดูและหยอกล้อทารกชุนเซียงที่น้ำลายไหลยืดเป็บางเวลา
หลังจากที่หลี่ชุ่ยฮัวมาถึง ก็ทิ้งมารดาไว้อีกทางและวิ่งมาเล่นในห้องกับหลิวเต้าเซียง
นางได้ยินพ่อครัวที่อยู่ข้างนอกประกาศชื่ออาหารแต่ละอย่าง จึงยิ้มแล้วเอ่ย “เต้าเซียง ท่านพ่อเ้าเก็บเงินได้จริงหรือ ตอนแรกข้ากับท่านแม่ไม่เชื่อ แต่อาหารวันนี้นับว่าเป็อาหารชั้นเยี่ยมในหมู่บ้านเราเลย”
เมื่อหลี่ชุ่ยฮัวเติบโตขึ้น ป้าหลี่ก็มักจะพานางไปร่วมงานเลี้ยงต่างๆ และสอนให้นางรู้จักการไปมาหาสู่ระหว่างผู้คน
หลิวเต้าเซียงหยิบผ้ามาเช็ดน้ำลายให้หลิวชุนเซียง แล้วจึงตอบ “ไม่ใช่เก็บได้ น้าชายข้าทำการค้าขายอยู่ข้างนอกแล้วได้ดี จึงวานคนนำมาเป็สินเ้าสาวให้แม่ข้า แล้วยังเป็กระดาษเงิน ด้านล่างกำกับตัวอักษรแดง ้ามีระบุหมายเลขของโรงเงิน สามารถนำไปขึ้นเงินที่ตำบลได้ เพียงแต่หนึ่งร้อยตำลึงต้องมีค่าใช้จ่าย บอกว่าเป็ค่าธรรมเนียมในการขึ้นเงิน ข้าเองก็ไม่เข้าใจสิ่งนี้ ท่านพ่อบอกว่าที่ผ่านมาก็เป็เช่นนี้”
“มิน่า ข้าได้ยินโรงครัวป่าวร้องชื่ออาหาร แต่ข้าฟังไม่ออก ได้ยินแค่ว่ามีปลา ไข่ แล้วก็เนื้อหมูเคาหยก [1]”
หลี่ชุ่ยฮัวพูดถึงตรงนี้ก็กลืนน้ำลาย เคาหยกจ๋า นางอยากกินเหลือเกิน…
หลิวเต้าเซียงมองหน้านางที่หิวโหย เม้มปากและหัวเราะ “ชุ่ยฮัว หรือไม่ เ้าก็ไปนั่งโต๊ะงานเลี้ยงก่อน”
“ไม่ดีกว่า ข้าบอกกับท่านพี่ชิวเซียงไว้แล้ว ข้าจะอยู่กับเ้า นางบอกว่าเดี๋ยวจะเอาอาหารมาให้ อะไรที่ข้าชอบกิน นางจะนำมาให้”
ที่แท้ นางก็ตั้งใจนั่งรอกินอาหารที่นี่...
ทันใดนั้น หลี่ชุ่ยฮัวก็นึกเื่บางอย่างได้แล้วกำหมัดไว้แน่น “ใช่สิ ท่านย่าเ้าพูดไปทั่วว่าท่านพ่อเ้าเก็บเงินได้ แต่ว่าคนส่วนใหญ่ไม่เชื่อ ข้าว่าย่าเ้าคงริษยาที่แม่เ้าได้สินเ้าสาวก้อนนี้”
หลิวเต้าเซียงนึกในใจ จึงขมวดคิ้วแล้วเอ่ย “เฮ้อ วันนั้นท่านแม่ข้าได้รับตั๋วเงินก็ดีใจยิ่งนัก ใครจะรู้ว่าในตอนเที่ยงย่าข้าก็รู้เข้า แล้วยังส่งชุ่ยหลิวมาเชิญครอบครัวข้าไปทานข้าว ต่อจากนั้น… เ้าก็น่าจะรู้ ท่านพ่อท่านแม่ข้าถูกส่งไปที่ตำบล หากไม่ใช่เพราะได้ท่านหมอที่มากับคุณชายซู ถ้าพูดไม่เป็มงคล เกรงว่าตอนนี้ข้าคงไม่ได้เห็น…”
“ที่เขาลือกันเป็เื่จริงหรือ?” หลี่ชุ่ยฮัวตกตะลึงอ้าปากค้าง ดวงตาเบิ่งจนกลมโต
ข้างนอก?
หลิวเต้าเซียงแอบหัวเราะเ็าในใจ แผนการใหญ่ของนางอยู่ในตอนท้ายต่างหาก ตอนนี้เป็เพียงอาหารเรียกน้ำย่อย
ข้ามมิติมาในโลกยุคโบราณมันน่าเบื่อเกินไป สู้มาเล่นบทเปิดศึกในบ้านดีกว่า!
ชีวิตจะได้ไม่เหงาเกินไป
มือฉกาจย่อมเดียวดายดุจหิมะ แผนการของหลิวฉีซื่อนั้นต่ำทรามเกินไป
เมื่อเทียบกับตอนที่เพิ่งข้ามมิติมา หลิวเต้าเซียงที่ตอนนี้ไม่ต้องเป็ห่วงเื่อาหารและที่อยู่อาศัย ก็เริ่มหลงรักการเปิดศึกแบบนี้เข้าแล้ว!
“อันที่จริงข้าไม่โทษปู่ย่า ท่านทั้งสองคงไม่รู้ว่าอาหารเ่าั้หากกินพร้อมกัน จะเป็พิษได้”
อาหารเป็พิษ ภูมิปัญญาของคนโบราณ มิควรประมาท!
“หืม โดนพิษจริงหรือ? ท่านย่าของเ้าโหดร้ายจริงๆ ข้าว่านางต้องอิจฉาตาร้อนเงินของครอบครัวเ้า จึงอยากให้พ่อแม่เ้า… จากนั้นก็ยึดครองสมบัติของครอบครัวเ้า”
ขณะที่ฟัง หลิวเต้าเซียงก็คิดว่าหลี่ชุ่ยฮัวคงดูละครงิ้วมากไป
อย่างไรก็ตาม คําพูดของนางได้พิสูจน์ข้อเท็จจริงแล้ว
“เฮ้อ ช่างเถิด มันผ่านไปแล้ว ถึงอย่างไรพ่อแม่ข้าก็ยังอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”
หลิวเต้าเซียงไม่มีทางปล่อยหลิวฉีซื่อไป ว่ากันว่าบุรุษแก้แค้นสิบปีก็ไม่สาย
ช้าไปสองสามปีไม่เป็ไร แค้นนี้ นางจำฝังใจแล้ว
หลี่ชุ่ยฮัวกระซิบกับนางอีกครั้งเกี่ยวกับเื่ที่น่าสนใจที่เกิดขึ้นในหมู่บ้าน
ไม่ว่าจะเป็เื่ต้นกล้าในสวนผักหายไปบ้างล่ะ หรือเื่ของภรรยาบ้านใดมีอะไรกับชายหนุ่มต่างหมู่บ้านบ้างล่ะ จากนั้นก็เป็แม่กับลูกสะใภ้บ้านใดตีกัน ข่วนกันจนใบหน้าอีกฝ่ายมีรอยเืและออกจากบ้าน ไม่ได้อยู่นาน
คําพูดของนางช่วยเปิดมุมมองใหม่ให้แก่หลิวเต้าเซียง ที่แท้ในชนบทก็ไม่ได้มีเพียงบ้านของนางที่ไม่สงบสุขหรือนี่!
หลี่ชุ่ยฮัวได้ยินการเคลื่อนไหวจากข้างนอกจึงยื่นศีรษะออกไปดูนอกหน้าต่าง และมองไปทางเรือนกลาง “เอ๋ คนในหมู่บ้านเริ่มมอบของขวัญแล้วล่ะ!”
ของขวัญที่ชาวบ้านให้กันก็มักจะเป็ปลาเป็หนึ่งตัว หรือไข่ ส่วนของอื่นๆ ที่ลดหลั่นลงมาหน่อยก็จะเป็ผักดองหรือถั่ว!
ไม่นานนักฤกษ์มงคลก็ใกล้มาถึง อาหารที่ตั้งโต๊ะมีพอประมาณแล้ว รอเพียงใส่ถ้วยกับตะเกียบ ทุกคนก็เริ่มทานได้
เหตุใดจึงตั้งอาหารก่อนถ้วยตะเกียบ เพราะว่าคนบ้านนอกมักจะไม่ค่อยได้เห็นอาหารรสเลิศ หากว่าตั้งอาหารขึ้นโต๊ะพร้ะเกียบแล้ว เกรงว่าเพียงไม่กี่อึดใจก็คงรับประทานจนหมด หากอาหารที่ตั้งวางหลังจากนั้นมาช้าสักหน่อย เกรงว่าบนโต๊ะคงเหลือเพียงชามว่างเปล่า เช่นนี้จะดูน่าเกลียดเกินไป พ่อครัวใหญ่ซึ่งเป็คนที่เกาจิ่วตั้งใจส่งมา อาหารที่เขาทำนั้นอร่อยเป็พิเศษ เื่ความคุ้นเคยในรสชาติของชาวบ้านจึงรู้ดีพอสมควร
แต่ขณะนี้ ที่บริเวณประตูจู่ๆ ก็มีความโกลาหลเกิดขึ้น
“เดี๋ยวนะ รีบมาเร็ว เต้าเซียง นั่นรถม้าไม่ใช่หรือ? ใช่ม้าหรือไม่?”
สัตว์ที่ใช้ทุ่นแรงส่วนใหญ่ในชนบทมักจะเป็เกวียนวัวหรือเกวียนลา น้อยนักที่จะได้เห็นรถม้า
มิน่าหลี่ชุ่ยฮัวจึงไม่รู้จัก
หลิวเต้าเซียงอุ้มหลิวชุนเซียงแล้วเดินไปข้างหน้าต่าง ตรงหน้าประตูบ้านมีรถม้าจอดเทียบอยู่
รถม้าไม้สนกับผ้าม่านสีเขียว มองดูแล้วถือว่าธรรมดา เพียงแต่ม้าสีแดงชาด ดูท่าทีแล้วจะแข็งแรงกำยำ
ม่านของรถถูกเลิกขึ้น ร่างของจิ้นเซี่ยวปรากฏขึ้นตรงหน้าประตูในเวลานี้
เขาสวมชุดผ้าไหมสีเขียว ผูกผมด้วยผ้าสีเดียวกัน ตรงเอวมีหัวเข็มขัดหยกรัดไว้
ผู้คนในลานบ้านต่างกระซิบกระซาบกันว่า ไม่รู้ว่าคนมีฐานะบ้านใด ถึงได้มีปัญญาสวมใส่ผ้าไหม
จิ้นเซี่ยวไม่ได้ใส่ใจกับเื่นี้ เขาเพียงแค่ก้มลงและเปิดม่าน จากนั้นกระซิบอะไรบางอย่าง
บนรถม้ามีเด็กหนุ่มมุดออกมาหนึ่งคน เขาสวมชุดผ้าไหมจิ่นสีม่วงลายเมฆ คาดเข็มขัดผ้าไหมจิ่นสีดำแบบหนา มีหยกขาวห้อยอยู่ตรงเอว หน้าตาหล่อเหลาองอาจและเ็า แผ่บารมีสูงส่งออกมาจากทั่วร่างทำให้ผู้คนมิอาจมองเขาได้ตรงๆ
หลิวเต้าเซียงเอื้อมมือออกมาลูบหน้าผาก บ้านตนเองเป็เพียงบ้านชนบทเล็กๆ แต่เขากลับมาร่วมงานอย่างเอิกเกริก
ซูจื่อเยี่ยยืนอยู่บนแคร่ มองไปรอบๆ และมองเข้าไปข้างในบ้าน บังเอิญเห็นใบหน้าระอาของหลิวเต้าเซียง แววตานั้นเผยความอบอุ่นออกมาเล็กน้อย
เขาลงจากรถม้า เมื่อหลิวซานกุ้ยได้รับข่าวก็รีบออกมาต้อนรับ
ไม่คาดคิดเลยว่า คุณชายซูผู้สูงศักดิ์จะอัญเชิญตนเองมาที่บ้านของเขา
นี่คือสัญญาณอย่างหนึ่ง
สัญญาณที่ดียิ่งนัก
หลิวซานกุ้ยระงับความตื่นเต้น ก่อนจะยกมือคำนับซูจื่อเยี่ยอย่างมีความสุข “คุณชายซูมาเยือน ข้าเสียมารยาทที่มิได้ไปรับด้วยตนเอง ขอบคุณคุณชายซูที่ช่วยเหลือในวันนั้น”
“นายท่านหลิวสามมิต้องเกรงใจ วันนั้นข้าก็ทำธุระที่ตำบล เป็เื่บังเอิญ คงเพราะพวกท่านสองสามีภรรยาเป็ผู้มีบุญ!”
เสียงของซูจื่อเยี่ยฟังดูเ็ามาก มีเพียงคนที่รู้จักเขาเท่านั้นที่รู้ว่าเขาอดทนมากแล้ว
หลิวซานกุ้ยเพียงแต่กล่าวว่าต้องตอบแทนบุญคุณนี้ให้ดี!
คนที่ติดตามมามีทั้งเกาจิ่ว พ่อครัวจาง กัวซิวฝานและหมอหลวงจ้าวที่ทักทายเขา
เมื่อหลิวซานกุ้ยเห็นเช่นนี้ จึงรีบเชิญพวกเขาไปยังห้องโถง จากนั้นเรียกคนช่วยตั้งโต๊ะต่างหาก
ซูจื่อเยี่ยตามหลิวซานกุ้ยไปที่ห้องโถงใหญ่
หลิวเต้าเซียงรู้ว่าชายคนนี้มีนิสัยรักความสะอาด จึงรีบเอาน้องสามที่อยู่ในอ้อมอกส่งให้หลี่ชุ่ยฮัว “ชุ่ยฮัว ช่วยข้าเลี้ยงน้องสามที ข้าจะไปรินน้ำชาให้แขก”
“สมควรอยู่แล้ว คุณชายผู้นั้นดูก็รู้ว่าเป็คนจากตระกูลใหญ่ เกรงว่าป้าน้าเ่าั้จะซุ่มซ่ามและทำให้ผู้สูงศักดิ์ไม่พอใจได้”
คําพูดของหลี่ชุ่ยฮัวเตือนหลิวเต้าเซียง
“โอ้ แล้วก็ยังมีหลิวเสี่ยวหลันที่มี ‘โรคคะนึงหาซูจื่อเยี่ย’ อีกด้วย!”
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกปวดศีรษะ ได้แต่เร่งรีบออกไปและทิ้งไว้แต่คำว่า รู้แล้ว
ระหว่างทางที่ไปห้องโถงใหญ่ นางได้พบกับเกาจิ่ว กัวซิวฝาน หมอหลวงจ้าว พ่อครัวจางและจิ้นเซี่ยว ทั้งห้าคนกําลังมอบของขวัญอยู่ที่นั่น
หลิวเต้าเซียงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทักทายทั้งห้าคนนี้ก่อน
กัวซิวฝานเป็อาจารย์ของหลิวซานกุ้ย หลิวเต้าเซียงย่อมต้องเรียกเขาว่าอาจารย์กัวและคำนับอย่างมีมารยาท
ส่วนเกาจิ่วกับนางนั้นคุ้นเคยกันมาก ทั้งสองจึงมีท่าทีสบายๆ
“ข้าว่าคุณหนูรอง งานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ทั้งทีก็ไม่แจ้งข่าว ต้องให้ข้ามาเอง”
หลิวเต้าเซียงยิ้มและตอบว่า “เดิมทีข้าไม่้าให้นายท่านจิ่วสิ้นเปลือง ใครจะรู้ว่าท่านนั้นหูตากว้างไกล ข่าวคราวจากที่ไกลโพ้นเพียงนี้ก็สามารถพัดเข้าหูท่านได้”
“สิ่งดีเ้าก็พูดเข้าตัวหมด แล้วข้าจะพูดอย่างไรได้” เกาจิ่วตอบพร้อมกับหัวเราะ
ทั้งสองคนพูดคุยกันสองสามประโยค เกาจิ่วรู้ว่านาง้าไปยังห้องโถงใหญ่ จึงไม่กล้ารั้งไว้นาน
-----
เชิงอรรถ
[1] เคาหยก เป็อาหารจีนกวางตุ้งชนิดหนึ่ง แปลตรงตัวว่าเนื้อคว่ำ และตรงกับภาษาจีนกลางว่าโค่วโร่ว (扣肉 koù roù) เป็อาหารที่มีชื่อเสียงของหูหนานและกวางตุ้ง เคาหยกในไทยที่มีชื่อเสียงอยู่ที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา

