เมื่อหลิวเสี่ยวหลันเห็นว่าจางกุ้ยฮัวไม่ตอบ จึงเดินออกจากห้องทิศตะวันตกมาทางห้องครัวอย่างมีน้ำโห ขณะที่เห็นจางกุ้ยฮัวกำลังขัดหม้อ จึงเอ่ยอย่างอารมณ์ร้อน “ข้าเรียกเ้า หูหนวกหรือไร!”
จางกุ้ยฮัวเงยหน้าขึ้นและถามเบาๆ ว่า “เมื่อครู่อาเล็กเรียกข้าหรือ? ข้ากำลังขัดหม้อจึงไม่ได้ยิน หรือไม่ เ้าลองพูดอีกรอบสิ”
ไฟแห่งความโกรธของหลิวเสี่ยวหลันราวกับพุ่งเข้าใส่กองสำลี อ่อนนุ่มแต่ไม่มีพลังทำอะไรได้
“ข้าจะกินเนื้อ”
“ไม่มี” จางกุ้ยฮัวปฏิเสธโดยตรง
“บอกให้เ้าทำก็ทำ ไม่มีก็คิดหาทางเองสิ” หลิวเสี่ยวหลันโมโหจนหน้าดำหน้าแดง โวยวายเต็มที่เพื่อจะกินเนื้อให้ได้
หลิวเต้าเซียงมองไปที่นางอย่างดูแคลน กลัวว่าหลิวฉีซื่อจะไม่ได้ยินเสียงตอบของมารดาตนเองจึงเอ่ย “อาเล็ก ในห้องครัวมีแต่ผักกวางตุ้ง เ้าเองก็ใช่ว่าจะไม่เห็น อีกอย่างเ้าบอกว่าจะกินเนื้อหมู เ้ามาบอกกับท่านแม่ข้าก็เปล่าประโยชน์ไม่ใช่หรือ? เงินของครอบครัวเราก็อยู่ในมือของท่านย่า หรือไม่เ้าก็ไปถามท่านย่า ดูสิว่าในบ้านมีเนื้อหรือไม่”
หลิวเสี่ยวหลันใช้หางตามองหลิวเต้าเซียงอย่างสูงส่ง “หากท่านแม่ข้ายังมีเนื้อหมูเค็ม ข้าจะขอกับแม่เ้าหรือ?”
“คำพูดของอาเล็กก็ไม่ถูก เื่กินเื่ใช้ในครอบครัว เราต้องขอเงินกับท่านย่าหมด อาเล็ก้ากินเนื้อหมูย่อมได้ แต่ว่าเ้าต้องไปขอเงินกับท่านย่า ข้าจะช่วยไปดูให้เองว่าที่ร้านหน้าหมู่บ้านยังมีเนื้อขายหรือไม่”
หลิวเต้าเซียงไม่้าตามใจนาง มีหนที่หนึ่งก็ต้องมีหนที่สอง ขอเพียงจางกุ้ยฮัวยอมทำเนื้อให้นางหนึ่งครั้ง รับรองได้เลยว่าต่อไปนางต้องขอเนื้อหมูกับจางกุ้ยฮัวตลอดแน่นอน
จางกุ้ยฮัวถูกนางตอแยอย่างจนปัญญา เดิมทีคิดจะรับปากทำให้ แต่ใครจะรู้ว่าหลิวเต้าเซียงเข้ามาขัดขวางเสียก่อน
เมื่อเห็นความลังเลบนใบหน้าของหลิวเสี่ยวหลัน จึงพูดว่า “ใช่แล้ว อาเล็ก ตอนนี้ในบ้านไม่มีเนื้อหมูจริงๆ”
“ฮึ เ้าโกหกใครกัน เต้าเซียงไม่รู้ แต่ข้าจะไม่รู้เชียวหรือ ครอบครัวเ้าได้เงินจากท่านแม่ไปสองตำลึง ขอเนื้อกินจากพวกเ้าหน่อยจะเป็ไรไป?”
จางกุ้ยฮัวรู้สึกงุนงงกับคำพูดของนาง
เดิมทีหลิวเต้าเซียงที่นั่งอยู่หน้าเตาเพื่อก่อไฟ ตอนนี้นางลุกพรวดขึ้นมา “อาเล็ก อย่าหน้าไม่อายไปหน่อยเลย นั่นคือเงินที่ท่านย่าให้ครอบครัวเรา แม่ข้าจะเอามาซื้อเนื้อหรือไม่ก็ต้องดูอารมณ์ของนาง เ้าอยากกิน ก็ไปขอแม่ของเ้านู่น ชิ มีอย่างที่ไหนอาเล็กมาเ้ากี้เ้าการกับเงินของครอบครัวพี่ชาย หากคำพูดเหล่านี้ถูกพูดออกไป อาเล็ก เ้าต้องระวังหน่อยนะ”
“เ้า นางตัวดี เ้ากล้าพูดออกไปละก็ ข้าจะฉีกปากของเ้า” หลิวเสี่ยวหลันยังเป็เด็กสาว ทว่าอายุพอกันกับหลิวเต้าเซียง การด่าคนจึงยังไม่ได้ร้ายกาจเช่นหลิวฉีซื่อ
เมื่อหลิวเต้าเซียงบีบคั้น หลิวเสี่ยวหลันก็ยิ่งโมโหและเสียหน้าจนแทบอยากจะพุ่งเข้าไปตบตีสักครั้ง
“เ้าโกรธจนอยากตีข้าใช่หรือไม่? เ้าต้องคิดให้ดีนะ ครอบครัวนี้ ตอนนี้แม่ข้าเป็ผู้ทำกับข้าว เลี้ยงหมูให้อาหารหมูก็มีพี่สาวข้าทำ ลานบ้านข้าเป็คนกวาด ที่นาพ่อข้าเป็คนดูแล หากเ้ากล้าตีข้า ฮึ ครอบครัวนี้คงสกปรกจนมีขยะกองเต็มไปหมด ข้า หลิวเต้าเซียงก็จะไม่มีทางยื่นมือออกไปทำ และจะห้ามแม่กับพี่ของข้า ส่วนพ่อข้าจะไม่ห้าม เพราะว่าพวกข้ายังต้องกินข้าว”
นางโมโหจึงพ่นคำพูดออกมาในอึดใจเดียว ทำให้หลิวเสี่ยวหลันอารมณ์ขึ้นจนฉุดไม่อยู่
ขณะที่หลิวเต้าเซียงพูดก็ะโออกไปทางประตูห้องครัว หลิวฉีซื่อนั่งอยู่ตรงนั้น ระหว่างทั้งสองห้องมีเพียงห้องตะวันออกกั้นไว้ตรงกลาง นางไม่เชื่อว่าหลิวฉีซื่อจะไม่ได้ยิน
กล้าหาเื่หลิวเต้าเซียง กลับไปคิดให้ดีก่อนแล้วค่อยมาพูด
หลิวฉีซื่อนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วหันมามองด้วยสายตาเ็า นางมองหลิวเต้าเซียงราวกับเป็คนตายอย่างไรอย่างนั้น
หลิวเต้าเซียงถูกมองจนรู้สึกขนลุกในใจ ลางสังหรณ์บอกว่าหลิวฉีซื่อคงจะเริ่มมองครอบครัวนางใหม่ และรู้สึกขวางหูขวางตาอีกรอบ จึงเอ่ย “ยิ่งไปกว่านั้น อาเล็ก คุณชายน้อยท่านนั้นไม่แน่ว่าตอนไหนอาจจะเกิดมีใจ จู่ๆ ก็เดินทางมา เกิดว่าเขาเห็นท่าทีอดอยากของอาเล็กปานนี้ เขาคงต้องรังเกียจเป็แน่”
หลิวเสี่ยวหลันใมากเมื่อได้ยิน ซูจื่อเยี่ยจากไปหลายเดือน แม้ว่านางจะเฝ้าคิดถึงเขา แต่เขาก็ไม่มา
“เขาจะมาจริงหรือ?”
หากจะบอกว่านางไม่หวั่นไหวก็คงเป็การโกหก ภายใต้การสั่งสอนของหลิวฉีซื่อ นางเข้าใจเื่นี้ั้แ่เด็ก โลกนี้ทุกสิ่งสามารถเป็ของหลอกลวงได้ มีเพียงเงินทองที่ไม่ใช่ของหลอกลวง
“ใครจะรู้เล่า อาเล็ก เห็นทีก็ใกล้จะเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว หรือไม่ เราก็อดทนไว้ก่อน รอวันรุ่งขึ้นค่อยให้ท่านย่าไปซื้อเนื้อหมูมากิน” หลิวเต้าเซียงเห็นว่านางหวั่นไหว จึงรีบเติมไฟ
หลิวเสี่ยวหลันคิดดู นางตัวดีนี่ไม่รู้เื่ แต่ว่าคำพูดของนางมีเหตุผล ใครจะรู้ว่าคุณชายน้อยท่านนั้นจะมาเมื่อไร
จากนั้นก็นึกได้ว่าเขาชอบล่าสัตว์ จึงเอ่ย “รอถึงฤดูเก็บเกี่ยวใบไม้ร่วง ผู้ชายในหมู่บ้านเราเกรงว่าคงจะขึ้นเขาไปล่าสัตว์อีกตามเคย”
หลิวเต้าเซียงไม่รู้ว่านางหมายถึงอะไร จึงมองด้วยสายตาแปลกประหลาด ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงเอ่ยเื่นี้ขึ้นมา
ไม่รู้เพราะคำพูดของนางได้ผลหรืออย่างไร คืนนั้นหลิวฉีซื่อกับหลิวเสี่ยวหลันไม่ได้อาละวาด กระทั่งหลิวซานกุ้ยกลับมาทานอาหารค่ำ หลิวฉีซื่อก็ไม่ได้เอ่ยถึงเื่ปลาแต่อย่างใด
คงกลัวว่าจะทะเลาะกันใหญ่โต หลิวซานกุ้ยอาจเลียนแบบหลิวเหรินกุ้ยและโวยวายจะแยกบ้าน หากว่าพี่น้องทั้งสี่คนเอ่ยมาในครอบครัว เช่นนั้นหลิวฉีซื่อคงปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องทบทวนบ้างแล้ว
ไม่กี่วันต่อมา มีชายหนุ่มสวมเสื้อผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดสีดำมาที่บ้านตระกูลหลิว ที่แท้ก็เป็คนของหลิวสี่กุ้ยที่ส่งจดหมายมาจากต่างจังหวัด
“เ้าว่าอะไรนะ? หลานชายคนโตของข้าจะกลับมาเช่นนั้นหรือ?” ใบหน้าของหลิวฉีซื่อเต็มไปด้วยความชื่นมื่น
ผู้มาเยือนตอบว่า “ใช่แล้ว ฮูหยิน พ่อบ้านฉีสั่งให้ผู้น้อยมาส่งจดหมาย ไม่เพียงแต่หลานชายคนโตของฮูหยิน หลิวจื้อเซิ่งจะกลับมา ยังมีหลานสาวหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์ก็กลับมาด้วย ฮูหยินใหญ่เป็คนเมตตา เมื่อได้ยินว่าทั้งสองคนจะกลับมา ยังบ่นถึงว่าต้องเตรียมของขวัญมาให้ฮูหยินด้วย และจะให้ทั้งสองนำมาด้วย”
“โอ๊ย ท่านย่าใหญ่นั้นใจกว้างเป็ที่สุด แม้ว่าข้าจะจากมา แต่ท่านย่าใหญ่ยังคงนึกถึงข้าอยู่ตลอด ท่านย่าใหญ่ช่างประเสริฐเหลือเกิน” ซ้ายก็ท่านย่าใหญ่ ขวาก็ท่านย่าใหญ่ เพียงแค่้าสื่อว่าตนเองนั้นต่างจากข้ารับใช้คนอื่นในจวนตระกูลหวง
หลังจากผู้มาเยือนได้ยิน ก็เอ่ยสรรเสริญนางไม่กี่คำ
“พี่ชายตัวน้อย ขอบใจเ้าที่ช่วยส่งข่าว ยังไม่ทราบชื่อแซ่เ้าเลย”
“ผู้น้อยคือคนที่ฮูหยินส่งมาให้ช่วยเหลือพ่อบ้านโดยเฉพาะ ฮูหยินเรียกข้าว่าไหลสี่ก็ได้ขอรับ ในจวนมักจะได้ยินฮูหยินใหญ่เอ่ยถึงฮูหยิน เพียงแต่ทอดถอนใจที่ฮูหยินออกเรือนมาห่างไกล อยากจะเห็นฮูหยินสักคราก็ไม่ง่าย”
หลิวฉีซื่อกล่าวคำพูดเกรงใจอย่างหน้าระรื่น แล้วยิ่งชื่นชอบในตัวไหลสี่ “เฮ้อ ชื่อของเ้าช่างเป็มงคลนัก [1]”
“ขอรับ แต่ก่อนผู้น้อยไม่ได้ชื่อนี้ แต่รู้จักกันในชื่อที่ท่านพ่อท่านแม่ตั้งให้ แต่พ่อบ้านของข้าเคยเล่าเรียนมาบอกว่าเวลาทำงานไม่เหมือนกัน จึงตั้งชื่อเล่นให้ผู้น้อย นับว่าไพเราะยิ่งนัก”
หลิวฉีซื่อได้ยินไหลสี่ชมเชยว่าพี่ชายของตนมีการศึกษา ยิ่งรู้สึกมีแสงประกายเฉิดฉายผ่านใบหน้า ยิ้มแล้วเอ่ย “ครอบครัวของข้าชอบเล่าเรียน ตอนที่ข้าติดตามท่านย่าใหญ่ อ้อ ตอนนี้พวกเ้าคงเรียกว่าฮูหยินใหญ่สินะ ตอนนั้นข้าติดตามและเล่าเรียนกับท่านย่าใหญ่ จึงรู้อักษรมาบ้าง นี่ปะไร หลานๆ ในตระกูลเกิดมาก็มาขอร้องกับข้าว่า จำต้องตั้งชื่อที่เป็มงคลให้”
หลิวเต้าเซียงที่ฟังอยู่ด้านข้างอยากถ่มน้ำลายใส่หน้านางสักครา ลำพังครอบครัวฝั่งนางที่ได้ชื่อ ชิวเซียง เต้าเซียง ชุนเซียง แค่ฟังก็มีกลิ่นหอมสามในสี่ชนิด อีกหอมหนึ่งก็คงครบชื่อทีมสาวรับใช้ติดตามพอดี
ไม่ใช่ว่านางรังเกียจที่ชื่อนี้ไม่ดี เพียงแต่ในโลกยุคโบราณ ชื่อของบ่าวรับใช้มักจะใช้ชื่อแนวนี้
หากมีคนะโจากที่ไกลๆ ว่าชื่ออะไรเซียง เดาว่าคงมีคนหันมาสักสิบคนได้
หลิวฉีซื่อไม่รู้เื่นี้ ตอนนี้นางกำลังปลื้มใจกับผู้มาเยือนที่กำลังชมเชยหลานสาวและหลานชายคนโตสุดแสนรักของนาง
ดูออกได้ไม่ยาก ในใจของหลิวฉีซื่อมีเพียงหลานชายคนโต หลิวจื้อเซิ่งคือหลานคนโปรดของนาง
หลิวฉีซื่อบอกให้ไหลสี่อยู่ทานข้าวเที่ยงกันก่อน แล้วยังเรียกหลิวซานกุ้ยนั่งรถวัวไปซื้อซี่โครงมาสองชั่ง จากนั้นให้จางกุ้ยฮัวเชือดเป็ดหนึ่งตัว แล้วทำกับข้าวอย่างดีเต็มโต๊ะ ทั้งเป็ดไก่ปลาไม่ขาดแคลนสักอย่าง
หลิวเต้าเซียงเดาว่าหลิวฉีซื่อเพียงแค่อยากอาศัยริมฝีปากของไหลสี่ในการป่าวประกาศที่จวนตระกูลหวง ทำให้คนรับใช้เก่าแก่ในจวนต่างอิจฉาตาร้อน
และเนื่องจากไหลสี่คือคนนอก ยากที่จะได้เห็น ครั้งนี้หลิวฉีซื่อจึงมีใบหน้าชื่นมื่น ฉีกน่องไก่สองข้างออกมา ชิ้นหนึ่งคีบให้ไหลสี่ อีกชิ้นคีบให้หลิวเสี่ยวหลัน ส่วนหลิวเต้าเซียงกับหลิวชิวเซียงได้ปีกไก่คนละปีก
แม้จะรู้ว่าหลิวฉีซื่อแค่แสดงให้ไหลสี่ดู แต่ก็ไม่ส่งผลใดเพราะพวกนางได้กินของอร่อยเป็ลาภปาก
หากหลิวเสี่ยวหลันไม่ได้ถูกหลิวฉีแอบส่งสายตาให้ คาดว่านางคงจะฉีกสองพี่น้องให้เป็ผุยผงกลางโต๊ะให้ได้
หลิวเต้าเซียงข้ามมิติมานาน นี่เป็ครั้งแรกที่ได้กินอย่างอิ่มหนำเมื่ออยู่ต่อหน้าหลิวฉีซื่อ นางยิ่งรู้สึกชอบไหลสี่มากขึ้น
ไหลสี่ทานข้าวเสร็จ จากนั้นก็หอบเงินรางวัลจากหลิวฉีซื่อแล้วกลับไป
“ท่านแม่ เหตุใดจึงให้นางเด็กสองคนนั้นกินไก่ด้วย?” หลิวเสี่ยวหลันรอจนแขกออกไป ถึงได้จี้ถามมารดา
หลิวฉีซื่อเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของนาง หัวเราะและดุว่า “เ้าแมวอดอยาก แม่นั้นหรือจะไม่รู้จักเ้า วางใจเถอะ แม่เก็บเนื้อไก่ไว้ให้เ้าหนึ่งถ้วย วันรุ่งขึ้นจะต้มก๋วยเตี๋ยวให้เ้ากิน”
หลิวเสี่ยวหลันโอบแขนของนางแล้วบ่น “ท่านแม่ก็ต้องกินด้วยกัน ฮึ หากไม่ใช่เพราะท่านแม่ให้นางครอบครัวนั้นกิน เกรงว่าวันรุ่งขึ้นจะยังพอกินได้อีกหนึ่งมื้อ”
“เด็กโง่ ไหลสี่คือใครกัน?” หลิวฉีซื่อถามนางกลับ
หลิวเสี่ยวหลันตอบโดยไม่คิด “เขาก็บอกอยู่ไม่ใช่หรือ ว่าเป็เด็กรับใช้ข้างกายของท่านลุงข้า”
นางเกือบจะหลุกปากว่า ไหลสี่ก็แค่ข้ารับใช้ โชคดีที่ปฏิกิริยารวดเร็ว ลืมไปว่าท่านลุงของตนก็เป็คนรับใช้ให้คนอื่น
เมื่อคิดเช่นนี้ นางจึงตัดสินใจแน่วแน่ว่าต่อไปจะต้องไต่เต้าจนได้อยู่ในตระกูลสูงส่ง นางต้องเป็นายคนและเป็ฮูหยินที่มีแต่คนชื่นชมอิจฉา
หลิวฉีซื่อไม่รู้ความคิดของนาง ในขณะนี้จึงพูดความคิดของตนออกมา สั่งสอนหลิวเสี่ยวหลัน “ในเมื่อเ้ารู้ว่าเขาคือคนของท่านลุง ก็ควรรู้ว่าเขาคือคนในจวนตระกูลหวง”
“แม้ว่าจะอยู่ในจวนตระกูลหวง แต่ก็เป็เพียงผู้ช่วย”
“แล้วก็เป็คนที่หุบปากไม่เป็” หลิวฉีซื่อกลอกตาขาวใส่บุตรสาวก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ดี “คนเช่นนี้ชอบเชิดชูคนที่เหนือกว่าและเหยียบย่ำคนที่ต่ำต้อยกว่า หากวันนี้เขาไม่ได้กินดี กลับไปอาจจะไม่พูดต่อหน้า แต่ลับหลังไม่รู้ว่าจะกลับกลอกอย่างไรบ้าง อีกทั้งแม่ออกมาจากจวนตระกูลหวง แล้วยังเป็ผู้ติดตามท่านย่าหวง ย่อมแตกต่างจากทั่วไป หากว่าแสดงท่าทีย่ำแย่เกินไป เกรงว่าคงทำให้เสียหน้าท่านย่าใหญ่ ไม่แน่ว่าครั้งหน้าไปยังจวนตระกูลหวง ท่านย่าใหญ่อาจจะต่อว่าข้าได้”
-----
เชิงอรรถ
[1] ไหลสี่ 来喜 ในที่นี้มีความหมายว่า ความมงคลมาเยือน หลิวฉีซื่อจึงชื่นชอบชื่อของเขาเพราะนำข่าวดีมาให้
