ซูอินมองสองสามีภรรยาตรงหน้า พวกเขาคือบิดามารดาผู้ให้กำเนิด เธอเป็เพียงคนธรรมดาที่คาดหวังความรักจากพ่อแม่ และครอบครัวที่ปรองดองกัน ดังนั้นบางเื่ควรพูดให้ชัดเจนั้แ่ต้น
เธอเคยถามตัวเอง เื่ราวถูกผิดซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่เธอกลับชาติมาเกิด เธอเริ่มทำเื่ต่างๆ อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา และไม่ปิดบัง
หากทำอะไรแล้วต้องปกปิด ทำเื่ไร้ยางอาย คนคนนั้นต้องไม่ใช่เธอ
ั้แ่รู้ภูมิหลังของตัวเอง เธอก็ไปว่ายน้ำด้วยสภาพจิตใจหดหู่จนได้ช่วยเด็กคนหนึ่งจากการจมน้ำอย่างงงๆ เธอเล่าเื่ที่เกิดขึ้นให้พวกเขาฟังด้วยภาษาเรียบง่ายและชัดเจน
แน่นอนว่าเื่ที่เกี่ยวข้องกับฉินหล่าง เธอเล่าแบบผ่านๆ
ใจคนเรายากหยั่งถึง แม้ตอนนี้จะเห็นว่าสองสามีภรรยาตระกูลซูไม่ใช่คนเลวร้าย แต่นั่นก็เป็ประโยชน์อย่างมากต่อสองสามีภรรยาตระกูลหลิง ใครจะรู้ว่าพวกเขามีความคิดอื่นอีกหรือไม่ แม้ว่าสองสามีภรรยาตระกูลซูจะไม่เป็เช่นนั้น แต่คนอื่นๆ ในตระกูลซูล่ะ
เธอจึงไม่ได้เล่ารายละเอียดในเื่นี้
“วันนั้นสัญญากันว่า สอบเสร็จพวกคุณจะมารับหนู หลังจากสอบเสร็จเมื่อ่เช้า หนูนึกเื่นี้ขึ้นได้ จึงถามเ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่หน้าโครงการ ถึงได้รู้ว่าพวกคุณมา หนูเลยกลับไปที่บ้าน เื่ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นพวกคุณก็คงรู้แล้ว…”
น้ำเสียงที่เอ่ยออกมารักษาท่าทีสงบนิ่ง จากนั้นซูอินจึงเล่าเื่ที่เกิดขึ้นใน่หลายวันที่ผ่านมาอีกครั้ง เธอรู้ดีอยู่แก่ใจและทำตัวเป็กลาง อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ใส่อารมณ์ การกระทำต่อต้านอู๋อู๋ เธอก็แสดงแบบตรงไปตรงมา ไม่พยายามประดิษฐ์ให้สวยงาม
การแสดงออกเช่นนี้ วัตถุประสงค์เพื่อให้ง่ายต่อการทำให้คนเชื่อในสิ่งที่เธอพูด
สองสามีภรรยาตระกูลหลิงที่อยู่ตรงหน้าตัวแข็งทื่อไปนานแล้ว
ที่แท้นี่ก็คือเหตุผลที่ตระกูลหลิงพยายามขอเลี้ยงดูซูอินต่อ
ทั้งที่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตนเองแท้ๆ แต่กลับแสดงท่าทีน่าสงสาร ปากบอกว่าทำเพื่อลูก บิดเบือนความจริง
วาจาที่เอ่ยออกมาไพเราะยิ่งกว่าร้องเพลง แต่ลับหลังใช้อินอินเป็เรือพ่วง ส่วนคนในตระกูลหลิงก็ปั้นหน้าร่วมรับผลประโยชน์
ไม่รู้ว่าลมอะไรมาเป่าหูคิดว่าซูอินไร้ประโยชน์แล้วจนขับไล่ไสส่งออกจากบ้าน โดยไม่สนใจว่าเธอกำลังจะสอบเข้ามัธยมปลาย ให้เธอต้องไปใช้ชีวิตอยู่ข้างถนน
เื่ต่างๆ ที่ผ่านมาเกินกว่าความเข้าใจที่สองสามีภรรยาจากชนบทคู่นี้จะรับไหว
นี่คือสิ่งที่มนุษย์ทำหรือ
ร่างกายของเมิ่งเถียนเฟินสั่นสะท้าน ส่วนหนึ่งเพราะความใ อีกส่วนหนึ่งเพราะความโกรธ
“พวกเขา…พวกเขา…ทำไมถึงได้…”
สิ่งที่เธอไม่เข้าใจมากที่สุดคือ เมิ่งเมิ่ง
เธอรู้ว่าเมิ่งเมิ่งมีนิสัยเอาแต่ใจ แต่ว่าธรรมชาติของเธอเป็เด็กจิตใจดี ทำไมถึงทำเื่เลวร้ายเช่นนี้ได้
พูดจายั่วยุ ลงมือทำร้าย ลงมือเองไม่ได้ก็จ้างคนอื่น อันธพาลเ่าั้เกือบทำให้ชีวิตของอินอินพัง…
อย่างไรเสียก็เป็บุตรที่เลี้ยงดูมาตลอดสิบหกปี ในก้นบึ้งหัวใจของเมิ่งเถียนเฟินยังคงมีความรู้สึก แต่คำพูดของอินอินในตอนนี้กำลังบอกมารดาว่าบุตรสาวของหล่อนไม่ได้โกหก มีบางอย่างที่ไม่อาจแยกแยะความรู้สึกในจิตใจ มันทำให้เธอจมดิ่งอยู่กับความสับสน
หากเทียบกับเธอ ซูเจี้ยนจวินเข้าใจสิ่งที่หลิงเมิ่งกระทำอย่างง่ายดาย
เมิ่งเมิ่งไม่ใช่เด็กสาวที่ละเอียดอ่อนน่าทะนุถนอมดั่งที่ภรรยาของเขาคิด เขาเคยเห็นเมิ่งเมิ่งรังแกบุตรชายของเขาด้วยตาตนเอง อีกทั้งเธอยังเคยพูดด้วยความโกรธว่าจะเอาน้องชายไปทิ้ง และเคยเสนอให้ยายเอาไปเลี้ยง
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็เป็บุตรของเขา คนนั้นก็ลูก คนนี้ก็ลูก อีกทั้งเมิ่งเมิ่งก็เป็บุตรสาวคนแรก ในบ้านมีเธอเป็บุตรสาวเพียงคนเดียวมานาน แม้ว่าเขาจะไม่เคยพูด แต่ก็รักลูกสาวคนนี้มาก คนเป็พ่ออย่างเขาไม่เก่งเื่สั่งสอนบุตรสาว หากเป็บุตรชาย เขาก็ควรตีให้มากสักหน่อย เขาจึงทำได้เพียงหลับตาข้างหนึ่ง
แต่เมื่อมีหลักฐานแ่าในวันนี้ ว่าเมิ่งเมิ่งไม่ใช่บุตรสาวของเขาอีกต่อไป ภาพที่ถูกสร้างขึ้นก็ค่อยๆ จางหาย หลายๆ เื่เริ่มชัดเจนมากขึ้น
เมิ่งเมิ่งเป็เด็กจิตใจกระด้าง
สองสามีภรรยาตระกูลหลิงนั้นจิตใจกระด้างเสียยิ่งกว่า
เมื่อคิดจากมุมนี้ เื่ต่างๆ ที่พวกเขาทำล้วนเป็สิ่งที่เข้าใจได้ เื่ที่เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ จะอย่างไรก็ยากที่จะยอมรับ
เขาเป็เพียงชาวไร่ชาวสวนธรรมดา ตระกูลหลิงมีธุรกิจใหญ่โต พวกเขาไม่มีทางสู้ได้เลย
เป็ครั้งแรกที่ซูเจี้ยนจวินเริ่มรู้สึกเกลียดชังความไร้ความสามารถของตนเอง ความรู้สึกเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้น แม้แต่ตอนที่เมิ่งเมิ่งมองเขาด้วยสายตารังเกียจ ราวกับประณามว่าเขาทั้งต้อยต่ำและยากจน
ความรู้สึกไร้อำนาจยังคงวนเวียนอยู่ในใจ มือสองข้างกำแน่นอยู่ใต้โต๊ะ รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งกำลังหยั่งรากลึกลงในก้นบึ้งของหัวใจ
ซูอินรินน้ำผลไม้ให้ตัวเอง เธอเติมน้ำพุแห่งจิติญญาลงไปเพื่อให้หวานน้อยลง เมื่อใส่น้ำพุลงในน้ำผลไม้เย็นก็ทำให้รสชาติอร่อยขึ้น เธอยกแก้วขึ้นดื่มช้าๆ คอยมองสองสามีภรรยาตระกูลซู
พวกเขาไม่ได้ทำเพื่อหลิงเมิ่งอย่างไร้สติเหมือนกับตระกูลหลิง นี่ถือเป็สิ่งที่ดี
และเมิ่งเถียนเฟินที่แสดงท่าทีเป็ทุกข์ก็ทำให้เธอสบายใจยิ่งกว่าเดิม
มีอู๋อู๋และหลิงจื้อเฉิงเป็คู่ปรับ ซูอินตั้งความหวังกับครอบครัวไว้น้อยมาก อาจกล่าวได้ว่าปฏิกิริยาของสองสามีภรรยาตระกูลซูเกินความคาดหมายของเธอมาก
เครื่องดื่มไหลลงคอที่แห้งผาก หลังจากพูดไปมากมาย ความรู้สึกของเมิ่งเถียนเฟินก็ไม่ได้แสดงท่าทีกระตือรือร้นเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
เมื่อคาดว่าได้เวลาที่เหมาะสม ซูอินจึงกล่าว “เอาละค่ะ ที่หนูพูดถึงเื่พวกนี้ ก็แค่เพราะกลัวว่าพวกคุณจะสับสนแล้วเข้าใจผิด ที่เดินทางมาวันนี้ก็เพื่อกินข้าวด้วยกัน อย่างไรเสียหนูก็ไม่เป็อะไร เื่อื่นๆ หลังจากนี้ค่อยว่ากัน อาหารมาแล้ว กลิ่นหอมมากจนหิว รีบกินตอนที่ยังร้อนๆ อยู่เถอะค่ะ”
ข้างห้องส่วนตัวมีช่องว่างสูงหนึ่งเมตรยี่สิบเิเที่สามารถให้คนเข้ามาได้ ด้านล่างเป็โต๊ะเตี้ย เมื่อครู่ซูอินล็อกประตู พวกเขาจึงส่งอาหารให้จากช่องนี้ เพื่อไม่รบกวนการสนทนาของคนในห้อง
อาหารสิบกว่าจานทั้งเนื้อและผักมากมายวางเต็มโต๊ะ จานสุดท้ายคือเปาะเปี๊ยะไส้ถั่วแดงที่ม้วนแน่นวางทับกัน
ซูอินลุกขึ้นก่อนจะเปิดขวดเบียร์รินให้ซูเจี้ยนจวินหนึ่งแก้ว และรินน้ำผลไม้ให้เมิ่งเถียนเฟินหนึ่งแก้ว เธอหมุนโต๊ะส่งเครื่องดื่มให้พวกเขา จากนั้นยกแก้วน้ำที่อยู่ด้านข้างของตัวเองขึ้นมา
“แก้วนี้ ขออวยพรให้พวกเราที่ได้มาอยู่ด้วยกันเสียที”
เมื่ออธิบายเื่ต่างๆ ชัดเจนแล้ว และเห็นสีหน้าของบิดามารดา ที่น่าจะรับฟังและเชื่อในสิ่งที่เธอพูด ในใจของซูอินก็รู้สึกผ่อนคลายลงมาก
ใบหน้าของเธออดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้ม พร้อมยกแก้วขึ้นสูง
รอยยิ้มบนหน้าของเด็กสาวราวกับโรคติดต่อ ทำให้สองสามีภรรยาตระกูลซูไม่รู้สึกกลัดกลุ้มใจอีก
โดยเฉพาะเมิ่งเถียนเฟิน ความลำบากใน่ไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้ขัดเกลาความอดทนของเธอ ในยามนี้จิตใจของเธอสงบขึ้นมาก
“อินอินไม่เป็อะไร มายืนอยู่ที่นี่ได้ต่างหากถึงจะเป็สิ่งที่ดีที่สุด”
เธอยกแก้วขึ้นดื่มน้ำผลไม้
จากนั้นซูเจี้ยนจวินก็ดื่มเบียร์ แก้วถูกวางกระแทกลงบนโต๊ะอย่างแรง ชายที่กลัดกลุ้มในก่อนหน้านี้
“กินข้าวกันเถอะ!”
“กินข้าวกันเถอะ!”
ในที่สุดบรรยากาศน่าอึดอัดก็คลาย ซูอินพูดก่อนจะนั่งลงรับประทานอาหาร