เครดิตภาพ : tumblr , pinterest
กฎของรามข้อที่ 01
เสียงดนตรีจังหวะมันๆ ที่กำลังทำการแสดงอยู่ที่กลางเวลาที ทำให้ผู้คนหันไปให้ความสนใจที่ต้นเสียงนั่นเป็อย่างมาก โดยเฉพาะพวกผู้หญิงที่แทนจะกรูไปยืนกองกันอยู่หน้าเวลาจนบริเวณตรงนั้นอัดแน่นไปด้วยผู้หญิงมากมาย ผู้หญิงพวกหนึ่งส่วนหนึ่งอาจจะชื่นชอบในเสียงดนตรีแต่มันคงจะเป็ส่วนน้อยซะมากกว่า เพราะที่ทำให้พวกเธอกรีดร้องด้วยความโหยหวนอยู่ตอนนี้คงเป็เพราะหน้าตาของนักดนตรีนั่นต่างหากละ
และใช่ คนเรานะมักมองกันแค่เพียงภายนอก รูปโฉมที่แสดงให้เห็นนั้นมันอาจจะเป็สิ่งล่อลวงให้เราก้าวเข้าไปในกับดักของคนคนนั้นก็ได้ ผู้หญิงชอบผู้ชายที่หน้าตาดีส่วนผู้ชายก็ชอบผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนกัน มันคือค่านิยมของคนในยุคปัจจุบันนี้
ฉันอาจจะเป็คนที่ยึดติดกับค่านิยมแบบนั้นเหมือนกัน แต่ตอนนี้ฉันยังไม่มีคนที่ทำให้ฉันสนใจได้เลยนะสิ ฉันอาจจะเป็ผู้หญิงกลุ่มน้อยที่ไม่ได้สนใจในเื่ของหน้าตาของนักดนตรีที่กำลังทำการแสดงอยู่บนเวทีในตอนนี้ หรือฉันอาจจะเป็ผู้หญิงเพียงคนเดียวในสถานที่เริงรมย์แห่งนี้ที่ยืนมองวงดนตรีนั่นในระยะที่ห่างที่สุด
ตอนนี้ฉันยืมมองไปที่หน้าเวทีด้วยสายตาเรียบนิ่งมือของฉันเคาะไปตามจังหวะการเล่นของเสียงเพลง เสียงเพลงหนักแน่นบวกกับจังหวะที่ฟังดูน่าตื่นเต้นมันทำให้ฉันสนใจอยู่ไม่น้อย จะว่าไปแล้วคนพวกนี้นอกจากจะหน้าตาดีไม่พอแล้วพวกเขายังเล่นดนตรีได้สนุกอีกด้วย ถึงว่าทำไมคนถึงได้แห่กันมาดูการแสดงของพวกเขามากมายขนาดนี้ ทั้งๆ ที่การแสดงดนตรีสดในผับแห่งนี้เป็แค่การเล่นคั่นเวลารอพวกดีเจขึ้นแสดงต่อ นี่สินะ วงดนตรีที่ฉันถูกทาบทามเข้าไปเป็นักร้องนำ
“กรี๊ด!”
เสียงกรีดร้องดังระงมขึ้นมาหลังจากที่เพลงสุดท้ายของค่ำคืนนี้ได้บรรเลงจบลงไปเป็ที่เรียบร้อยแล้ว มันเลยทำให้ฉันเริ่มขยับร่างกายที่หยุดนิ่งของตัวเองให้เคลื่อนกายเดินกลับไปยังโต๊ะที่ฉันนั่งอยู่ก่อนหน้านี้ หลังจากที่ฉันปลีกจากกลุ่มเพื่อนออกมาดูการแสดงคนเดียว
อ่อ คงสงสัยกันใช่ไหมว่าฉันคนนี้คือใคร ฉันมีชื่อว่าแอรีส แอรีสที่เป็ชื่อเดียวกันกับชื่อเทพเ้าแห่งาของกรีก ชื่อของฉันมันบ่งบอกการเป็ตัวของตัวฉันได้เป็อย่างดี เพราะฉันนั้นเป็ผู้หญิงที่มีความเกรี้ยวกราดและมีความชื่นชอบในการมีเื่กับคนอื่น ตอนนี้ฉันเป็นักศึกษาปีหนึ่งของมหาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง ชื่อของฉันบ่งบอกได้ว่าฉันไม่ได้เป็คนไทยแท้ร้องเปอร์เซ็นต์ ฉันเป็ลูกครึ่งไทย-เยอรมัน แม่ฉันเป็คนเยอรมันส่วนพ่อของฉันเป็คนไทย หน้าตาของฉันเลยเป็การผสมระหว่างสองเชื้อชาติไปโดยปริยาย ไม่ว่าจะดูยังไงคนอื่นก็ดูออกว่าฉันเป็ลูกครึ่ง การที่ถูกเลี้ยงมาแบบเด็กฝรั่งมันเลยทำฉันเป็คนที่ลุยๆ ไม่ค่อยกลัวอะไรสักอย่าง มันเลยทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ชอบเข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตของฉัน
และตอนนี้ฉันอยู่ที่ผับหรูแห่งหนึ่งที่เป็สถานที่เริงรมย์ที่กำลังเป็ที่นิยมของบรรดาวัยรุ่นใน่นี้ แต่ในวันปกติของฉัน ฉันคงอาจจะนั่งชิลอยู่ที่ลานเบียร์ซะมากกว่า แต่วันนี้เนื่องจากมันไม่ใช่วันปกติของฉัน เพราะว่าเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนมีผู้ชายคนหนึ่งมาทาบทามให้ฉันไปร้องเพลงให้เขา โดยเขาเอ่ยมาเพียงแค่ว่า
“ฉันชอบเสียงเธอ สนใจมาร้องเพลงด้วยกันไหม”
เขาเอ่ยเพียงแค่นั้นก่อนที่จะยื่นนามบัตรส่งมาให้ฉัน
“ถ้าสนใจก็โทรมานะ ฉันจะรอ”
เขาเอ่ยเพียงแค่นั้นแล้วก็เดินจากไป วันนั้นมันเป็วันที่ฉันไปบังเอิญขึ้นร้องเพลงแทนเพื่อนคนหนึ่ง ปกติฉันไม่ค่อยร้องเพลงบ่อยๆ หน่อย จะร้องก็ร้องในวันที่อยากจะร้องเท่านั้น แต่มันเป็เพราะความบังเอิญหรือเปล่าที่วันนั้นผู้ชายคนนั้นซึ่งเป็ผู้ชายคนเดียวกับนักร้องของวงดนตรีที่ฉันยืนดูเมื่อกี้มาบังเอิญได้ยินฉันร้องเพลงเข้า มันเลยทำให้วันนี้ฉันมายืนอยู่ที่นี่ยังไงละ
“นี่ยัยรีส หายไปไหนมา”
ทันทีที่ฉันเดินกลับมาถึงโต๊ะที่มีเพื่อนของฉันนั่งอยู่กันสองคนฉันก็ถูกเอ่ยถามขึ้นมาทันที เพื่อนฉันนะมีแค่สองคน คนหนึ่งเป็ผู้หญิง ส่วนอีกคนเป็ผู้ชาย
“ไปฟังเพลงมา”
ฉันตอบแล้วยืดตัวขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้เนื่องจากฉันเป็คนที่ตัวไม่ค่อยสูงสักเท่าไหร่เลยทำให้เก้าอี้ของทางร้านที่เหมาะกับสาวๆ ขายาวสูงเพรียวนั่ง แต่มันไม่เหมาะกับคนเตี้ยๆ อย่างฉัน มันเลยกลายเป็อุปสรรคที่น่าอายสำหรับฉันไปโดยปริยาย
“แล้วเป็ไง”
เพื่อนฉันถามความเห็นจากฉัน เนื่องจากเพื่อนฉันมันรู้เื่ที่ฉันถูกทาบทามไปเป็นักร้องประจำผับแห่งนี้แล้วยังไงละ วันนี้เราเลยมาดูลาดเลาไว้ก่อน ส่วนพรุ่งนี้ฉันค่อยไปแสดงตัวกับพวกเขา อ่อ ฉันลืมบอกไปสินะว่าฉันตกลงรับทำงานนี้แล้วแหละ ที่ฉันรับทำไม่ใช่เพราะว่าฉันร้อนเงิน แต่ฉันว่าง เบื่อๆ ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว เลยตกลงรับงานนี้ไปแบบไม่ค่อยคิดเยอะสักเท่าไหร่
“อืม ก็ดี”
ฉันตอบแล้วยกแก้วน้ำที่มีสีสันสวยงามขึ้นมาจิบแก้กระหาย เพราะกว่าฉันจะเดินมาถึงโต๊ะที่เพื่อนฉันนั่งรออยู่ก็เล่นเอาซะเหนื่อยเหมือนกัน คนเยอะ เบียดกัน เดินแม่งลำบาก แต่ท่าทางเ้าของผับนี้คงรวยเหมือนกันนะเพราะผับนี้นะค่อนข้างใหญ่ และหรูเอาเื่เหมือนกัน แถมลูกค้าก็แน่นร้านอีก กำไรเห็นๆ
“ถ้าแกบอกว่าดีก็คงดีจริง”
“แต่ติดอย่างหนึ่ง”
ฉันเอ่ยขึ้นแล้วขมวดคิ้วเป็ปมหลังจากที่คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และท่าทางของฉันมันคงทำให้เพื่อนฉันสงสัยอยู่ไม่น้อยเพราะปกติฉันมันไม่ค่อยคิดมากกับอะไรอยู่แล้ว แต่นี่มันกำลังทำให้ฉันคิดมากอยู่
“อะไรของแก”
“แฟนคลับผู้หญิงเยอะเอาเื่ ถ้าฉันขึ้นไปร้องฉันจะถูกดักตบไหมวะ”
นั่นคือสิ่งที่ฉันกำลังคิดอยู่ในหัวตอนนี้ ถึงฉันจะเป็คนชอบหาเื่แต่ส่วนมากทุกครั้งที่ฉันมีเื่มันย่อมมีเหตุผลทุกครั้ง แต่ถ้ามันไร้เหตุผลละก็ฉันก็ไม่อยากจะเจอเหมือนกันนะ มันน่ารำคาญนะ
“ก็อาจจะมีเนอะ”
“เฮ้อ ช่างเถอะ ตบก็ตบเถอะ แต่คิดว่าฉันจะยืนนิ่งให้ตบหรือไงกัน”
มันคงเป็ข้อดีข้อเดียวของฉันมั้งที่เป็คนไม่ค่อยคิดมากกับอะไรเลยแบบนี้ เพราะฉันรู้ไงถ้าคิดมากมันก็ไม่ทำให้เกิดอะไรดีๆ ขึ้นมา ปล่อยให้มันเป็ไปตามชะตากรรมของมันดีกว่า เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที
วันต่อมา
วันนี้ฉันมีเรียนแค่ครึ่งวัน ่บ่ายของวันนี้ของฉันมันเลยว่างไปโดยปริยาย ฉันจึงได้พาตัวเองมาที่สถานที่เริงรมย์ที่ฉันมาดูลาดเลาเมื่อคืนแต่ต่างแค่ตอนนี้มันเป็ตอนกลางวันและผับก็ปิดอยู่ ที่ฉันต้องมาที่นี่ในเวลานี้ก็เพราะว่าวันนี้ฉันมีนัดซ้อมกับสมาชิกในวงที่ฉันยังไม่รู้จักเลยว่ามีใครกันบ้าง จะรู้ก็รู้แค่เพียง
พี่พฤกษ์
นักร้องนำของวงควบคู่กับตำแหน่งมือเบส ผู้ชายที่เป็คนทาบทามฉันมาทำงานนี้
พี่พฤกษ์เป็คนส่งข้อความมาบอกสถานที่นัดซ้อมกับเวลามาให้ฉัน แต่ฉันไม่คิดเลยว่าสถานที่ซ้อมจะเป็ผับแห่งนี้ สงสัยวงของพวกพี่เขาคงได้อภิสิทธิ์จากเ้าของผับมาแน่ๆ ถึงได้ซ้อมที่นี่ได้
“ตอนนี้ผับปิดอยู่ครับ”
พนักงานรักษาความปลอดภัยเดินเข้ามาบอกฉันเมื่อเห็นว่าฉันกำลังยืนด้อมๆ มองๆ อยู่ที่หน้าผับ
“เอ่อ พอดีฉันเป็นักร้องคนไหมน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าห้องซ้อมไปทางไหนคะ”
เนื่องจากผับนี้เป็ผับที่หรูและระบบรักษาความปลอดภัยก็ดูเข้มงวดมากฉันเลยยื่นเอานามบัตรที่พี่พฤกษ์ให้มาก่อนหน้านี้ให้กับพนักงานไปพร้อมๆ กับแนะนำตัวเองไปด้วย
“อ่อ นักร้องใหม่ คุณพฤกษ์ได้บอกไว้แล้วครับ เชิญทางนี้เลยครับ”
อืม ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเตรียมการไว้ดีแบบนี้ สมแล้วที่เขาเข้ามาทำงานที่นี่ได้ ฉันเลยเดินตามพนักงานรักษาความปลอดภัยเข้าไปในผับก่อนที่เขาจะพาฉันเดินมาที่ชั้นสองของผับซึ่งน่าจะเป็สถานที่ที่ห้องซ้อมอยู่ แต่ไม่น่าเชื่อว่าชั้นสองของผับแห่งนี้จะหรูขนาดนี้ อย่างกับโรงแรมห้าดาวแนะ แบบนี้สินะเขาเรียกว่ารวยจริง
“ห้องนี้ครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
ฉันเอ่ยขอบคุณแล้วพนักงานรักษาความปลอดภัยคนนั้นก็เดินจากไป ตอนนี้ก็เหลือแค่ฉันที่ยังยืนงงๆ อยู่หน้าประตูห้องห้องหนึ่ง ซึ่งก่อนหน้านี้พนักงานรักษาความปลอดภัยคนนั้นได้บอกไว้ว่ามันคือห้องซ้อมดนตรี แต่ทำไมมันถึงได้ดูเงียบจังละหรือว่าคนอื่นจะยังไม่มากัน ฉันคิดกับตัวเองด้วยความสงสัยก่อนที่จะเอื้อมมือไปเปิดประตูห้องนั้นออกช้าๆ
สิ่งแรกที่ฉันเห็นคือความมืด มันมืดมากจนฉันมองอะไรไม่เห็น แสงสว่างจากข้างนอกมันไม่ทำให้ฉันมองเห็นอะไรในห้องนี้ได้เลย ห้องมืดแบบนี้มันก็แสดงว่าคนอื่นๆ ยังคงไม่มากันสินะ หรือว่าฉันมาเร็วเกินไป แต่ช่างเถอะตอนนี้ฉันควรหาสวิตช์ไฟเพื่อที่จะได้เปิดไฟในห้องนี้ให้สว่างขึ้น
แต่เนื่องจากว่าฉันพึ่งเคยมาที่นี่เป็ครั้งแรกเลยไม่รู้ว่าตำแหน่งของสวิตช์มันอยู่ตรงไหน ฉันเลยใช้มือควานหาสวิตช์ไฟไปตามผนังห้องท่ามกลางห้องที่ยังคงมืดสนิทเพราะคิดว่ามันต้องอยู่แถวๆ ประตูห้องนี้แน่
ปึก!
“อะ”
แต่ในระหว่างนั้นเองเท้าของฉันมันก็ไปชนเข้ากับอะไรก็ไม่รู้ที่อยู่ขวางทางเข้า มันเป็การชนที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัวมันเลยทำให้ฉันเสียการทรงตัวท่ามกลางความมืด ตอนนี้ฉันเหมือนคนตาบอดที่กำลังจะเซล้ม ฉันเลยหลับตาปี๋เพื่อเตรียมตัวรับความเจ็บ
ฟุบ!
แต่มันไม่ได้เจ็บอย่างที่คิดเพราะเหมือนฉันจะล้มลงไปนั่งทับกับอะไรบางอย่างเข้า ฉันไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไรแต่ที่ร่างกายของฉันมันััได้ตอนนี้คือมันเป็ความรู้สึกแปลกๆ ให้ตายสิ นี่ฉันกำลังนั่งทับอะไรอยู่กันแน่เนี้ย
“อึก!”
“เฮือก!”
ฉันสะดุ้งขึ้นมาด้วยความใเมื่อสิ่งที่ฉันกำลังนั่งทับอยู่จู่ๆ มันก็ส่งเสียงร้องขึ้นมา และความในั่นมันทำให้ฉันต้องดีดตัวลุกขึ้นจากสิ่งที่ตัวเองกำลังนั่งทับทันที
ปึก!
แต่ฉันก็ต้องเซล้มลงไปนั่งทับที่ตำแหน่งเดิมอีกครั้งเมื่อขาของฉันมันไปชนเข้ากับอะไรบางอย่างอีกครั้งเข้าอย่างจัง ฉันเลยได้ต้องตกมาอยู่ในท่าเดิมอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้
“อืม”
และต่อมาก็เกิดเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นมาอีกครั้งมันเลยทำให้ฉันแน่ใจได้เลยว่าสิ่งที่ฉันกำลังนั่งทับอยู่มันคือสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนแน่ๆ ให้ตายสิ ฉันกำลังนั่งทับใครอยู่เนี้ย
“ขอโทษค่ะ พอดีมันมืดฉันมองไม่เห็น”
ฉันเอ่ยขอโทษออกไปท่ามกลางความมืดตาของฉันมันยังคงปรับกับความมืดในห้องนี้ยังไม่ได้ บอกเลยว่าั้แ่เกิดมาฉันพึ่งอยู่ในความมืดมากๆ แบบนี้เป็ครั้งแรก มันมืดมากจนฉันคิดว่าฉันกลายเป็คนตาบอดไปแล้วเสียอีก
หมับ!
“เฮือก!”
มันเป็อีกครั้งที่ฉันต้องสะดุ้งขึ้นมาด้วยความใ แต่ครั้งนี้ฉันไม่ได้ลุกขึ้นเหมือนครั้งก่อนหน้านี้แต่สิ่งที่ฉันกำลังเป็อยู่ตอนนี้คือการนั่งตัวแข็งทื่อ และสาเหตุที่ทำให้ฉันเป็แบบนี้ก็เพราะว่าฉันรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังจับเข้าที่เอวของฉันทั้งสองข้างสิ่งนั้นฉันคิดว่าน่าจะเป็มือ แต่ฉันก็ต้องใหนักไปกว่าเดิมเมื่อร่างกายของฉันถูกยกขึ้นด้วยฝีมือของคนที่ฉันกำลังนั่งทับอยู่ เขาไม่ได้ยกฉันให้ลุกขึ้นจากสิ่งที่ฉันกำลังนั่งแต่มันเป็การเคลื่อนให้ร่างของฉันไปนับอีกในตำแหน่งอื่นก็เท่านั้น
“สวิตช์อยู่ทางซ้ายมือของเธอ”
เสียงค่อนข้างทุ้มที่น่าจะเป็เสียงของผู้ชายดังขึ้นทำให้ร่างกายของฉันมีปฏิกิริยาโต้ตอบทันที ฉันเลยเอื้อมมือไปตามที่เขาบอกก็เจอเข้ากับสวิตช์ไฟที่ฉันตามหาอยู่ทันที
พรึบ!
แสงสว่างภายในห้องเกิดขึ้นมาทันทีเมื่อฉันกดสวิตช์ไฟและมันก็ทำให้ฉันเห็นอะไรๆ ในห้องนี้ได้ชัดขึ้น รวมไปถึงสิ่งที่ฉันกำลังนั่งทับอยู่ตอนนี้ด้วย
“อะ!”
ฉันอุทานขึ้นมาด้วยความใเมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังทับอยู่คืออะไรกันแน่ สิ่งที่ฉันกำลังนั่งอยู่ตอนนี้คือบริเวณหน้าอกของผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้คนคนนั้นกำลังมองหน้าฉันมาด้วยสายตาสะลึมสะลืออยู่ เนื่องจากวันนั้นใส่กระโปรงทรงพลีสใส่มันเลยทำให้กระโปรงส่วนหนึ่งของฉันมันคลุมใบหน้าของผู้ชายคนนั้นไปเกือบครึ่ง ฉันเลยเห็นใบหน้าเขาแค่ส่วนบนเท่านั้น ฉันเลยรีบดีดตัวลุกขึ้นจากตัวเขาทันทีด้วยความเร็วแสง นี่ฉันทำบ้าอะไรของฉันลงไปเนี้ย ฉันไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเขาไม่เคลื่อนฉันให้มานั่งในตำแหน่งนี้ ตำแหน่งที่ฉันนั่งก่อนหน้านี้มันก็อยู่เหนือหน้าอกของเขาไปนะสิ อย่าบอกนะว่าก่อนหน้านี้ฉันนั่งทับใบหน้าของเขา!
“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
ฉันรีบกล่าวคำขอโทษออกไปทันทีเพราะคิดว่าเื่นี้ฉันผิดเต็มๆ ความรู้สึกอายเริ่มไหลมาเยือนฉันหลังจากที่ฉันเผลอคิดว่าเมื่อกี้ใบหน้าของผู้ชายคนนี้อยู่ติดกับส่วนนั้นของฉัน มันช่างเป็เื่ที่น่าอายที่สุดเท่าที่ฉันเจอมาเลยจริงๆ
เขาเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งพร้อมกับใช้นิ้วมือของเขาถูกที่บริเวณปลายจมูกสูงโด่งของเขาไปด้วย อ่า ฉันว่าเขาคงต้องรู้สึกเจ็บอยู่ไม่น้อยแน่ที่จู่ๆ ฉันก็ล้มไปนั่งทับใบหน้าของเขาแบบนั้น
“ไม่ถือสา”
เขาเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งพร้อมกับใช้นิ้วมือของเขาถูกที่บริเวณปลายจมูกสูงโด่งของเขาไปด้วย อ่า ฉันว่าเขาคงต้องรู้สึกเจ็บอยู่ไม่น้อยแน่ที่จู่ๆ ฉันก็ล้มไปนั่งทับใบหน้าของเขาแบบนั้น
“เอ่อ..”
ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อจากนี้ดีและฉันก็ไม่รู้ด้วยว่าฉันต้องทำอะไรต่อจากนี้ด้วย เพราะในห้องนี้มันถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบอีกครั้ง แต่ดีหน่อยที่มันไม่ได้มืดเหมือนก่อนหน้านี้ ไม่อย่างนั้นฉันคงได้อึดอัดตายแน่ๆ แค่นี้ฉันก็รู้สึกอึดอัดจะแย่อยู่แล้ว ที่อึดอัดไม่ใช่เพราะอะไรหรอกนะ สาเหตุที่ทำให้ฉันรู้สึกแบบนั้นก็เป็เพราะว่าตอนนี้กำลังมีสายตาหนึ่งกำลังจ้องมาที่ฉันอยู่อย่างไม่วางตา คงไม่ได้ต้องบอกนะว่าสายตานั่นเป็ของใคร
แกรก!
“อ้าว มาแล้วเหรอ”
แต่ในระหว่างนั้นเองประตูห้องก็ถูกเปิดเข้ามาพร้อมกับเ้าของร่างที่ฉันคุ้นเคยของพี่พฤกษ์เดินเข้ามาพร้อมกับผู้ชายอีกคนที่ฉันจำได้ว่าเขาเป็มือกีตาร์ของวงที่ฉันต้องมาร้องเพลงด้วย
“วู้ววว สาวน้อยคนนี้เป็ใครวะไอ้พฤกษ์ มึงรู้จักเหรอ”
ผู้ชายที่เป็มือกีตาร์เดินเข้ามาประชิดตัวฉันพร้อมกับยื่นใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้ใบหน้าของฉัน จนฉันต้องเองหัวไปทางด้านหลังอย่างอัตโนมัติเพื่อไม่ให้ใบหน้าของเขาเข้าใกล้กันไปมากกว่านี้
“เออ มึงถอยออกมาก่อน อย่าทำตัวรุ่มร่ามนักสิ”
ดีหน่อยที่พี่พฤกษ์เห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของฉัน เขาถึงได้เดินมาลากผู้ชายคนนั้นออกห่างจากฉัน
“นี่แอรีส นักร้องใหม่วงเรา”
หลังจากที่สถานการณ์กลับมาอยู่ในความสงบพี่พฤกษ์ก็แนะนำตัวฉันให้คนอื่นๆ ได้รู้ ว่าจริงๆ แล้วฉันมาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร
“หวัดดีค่ะ”
“นี่ไอ้ครามเป็มือกีตาร์ ส่วนไอ้คนที่นอนอยู่ตรงนั้นชื่อไอ้ราม รามสูร เป็มือกลอง”
อ่า ที่แท้ผู้ชายคนนั้นก็คือหนึ่งในสมาชิกของวงนี่เอง แต่เขาเป็มือกลองอย่างนั้นเหรอ ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้ที่ฉันมาสังเกตการณ์ฉันจะลืมสังเกตมือกลองไปด้วยสินะ ถึงว่าทำไมฉันถึงไม่คุ้นหน้าของเขาเลยสักนิด
“ทำตัวดีๆ กับน้องเขาด้วย โดยเฉพาะมึงไอ้ราม อย่าใจร้ายให้มาก”
ประโยคต่อมาของพี่พฤกษ์ทำให้ฉันต้องขมวดคิ้วของตัวเองขึ้นมาทันที ทำไมเขาถึงได้พูดมาแบบนั้นกันนะ ผู้ชายคนนั้นดูท่าทางไม่เหมือนที่ดูใจร้ายอย่างที่พี่พฤกษ์พูดเลยสักนิด เพราะถ้าเขาใจร้ายจริงก่อนหน้านี้เขาคงด่าฉันไปแล้ว จริงไหม
รามสูร Talk
“ทำตัวดีๆ กับน้องเขาด้วย โดยเฉพาะมึงไอ้ราม อย่าใจร้ายให้มาก”
เสียงของไอ้พฤกษ์บางที่มันก็ฟังดูมีเสน่ห์แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่ามันน่ารำคาญ มันใช่เื่ไหมที่ต้องมากล่าวหาผมต่อหน้าคนอื่นแบบนี้ แต่คนอย่างผมก็ไม่ได้สนใจอะไรกับเื่แบบนี้หรอก เพราะถ้าผมใส่ใจป่านนี้ผมก็ไม่นอนอยู่เฉยๆ แบบนี้หรอก เพราะถ้าใส่ใจกับเื่เล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ก็คงเป็เพื่อนกันไม่ได้จนถึงทุกวันนี้จริงไหม
“นี่มึงฟังกูไหมไอ้ราม”
ผมที่กำลังพักสายตาอยู่ก็ต้องถูกรบกวนด้วยเสียงของไอ้พฤกษ์อีกครั้ง มันเลยทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนหน้านี้ผมก็ถูกรบกวนเวลานอนไปแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้ยังจะมาถูกรบกวนอีกแล้วอย่างนั้นเหรอ น่ารำคาญวะ
“เออ”
ผมตอบไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแบบที่ไม่ได้ใส่ใจ แบบที่ตอบไปส่งๆ ก่อนที่จะยกมือขึ้นมาถูกจมูกของตัวเองที่รู้สึกเจ็บหน่อยๆ แล้วสายตาของผมก็ดันเหลือบไปเห็นต้อนเหตุที่ทำให้จมูกของผมเจ็บที่ยืนอยู่ห่างจากผมไปหลายเมตรด้วยสายตาเรียบนิ่ง
ยัยนี่ เป็ใคร?
นั่นคือคำถามที่ผมกำลังถามกับตัวเองเพราะก่อนหน้านี้ผมไม่ได้สนใจกับสิ่งที่ไอ้พฤกษ์มันพูดสักเท่าไหร่เลยทำให้ผมไม่รู้ว่าผู้หญิงที่มานั่งทับใบหน้าของผมเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้เป็ใครกันแน่ นี่ถ้าไม่สำคัญ บอกเลยว่าเอาตาย
“ใคร?”
ผมเอ่ยถามออกไปก่อนที่จะค่อยๆ เคลื่อนสายตาของผมหันไปมองไอ้พฤกษ์ช้าๆ
“นี่กูพูดเมื่อกี้มึงไม่ได้ฟังกูเลยใช่ไหม ไอ้เฉื่อย”
เฉื่อย มันคือฉายาของผมที่พวกเพื่อนๆ มันชอบเรียกผมกัน เพราะนิสัยทำอะไรช้าๆ ดูเหมือนทนไม่สนใจใครแถมวันๆ เอาแต่นอนของผมมันเลยทำให้ผมถูกเรียกแบบนั้น ผมไม่ได้ชอบให้เรียกหรอกนะ แต่พอถูกเรียกนานๆ ไปมันก็ชิน
“ถาม ก็ตอบ”
ผมเอ่ยขึ้นอีกครั้งแต่ครั้งนี้เพื่อความรู้สึกหงุดหงิดเข้าไปด้วยนิดหน่อย มันเลยทำให้ไอ้พฤกษ์ที่กำลังบ่นผมอยู่เงียบไปทันที ก่อนที่มันจะตอบผมมาว่า
“น้องเขาเป็นักร้องคนใหม่ ชื่อแอรีส”
น้องร้องงั้นเหรอ อ่อ จำได้แล้ว ก่อนหน้านี้ไอ้พฤกษ์มันก็เคยเกริ่นๆ พูดอะไรแบบนี้เข้าหูผมอยู่บ้าง แต่ผมมันเป็พวกหูทวนลมเลยไม่ได้เก็บเอามาจำ อืม เป็นักร้อง แสดงว่ามีประโยชน์สินะ งั้นก็รอดตัวไป
ผมใช่สายตาหันไปมองใบหน้าที่เป็ส่วนผสมระหว่างฝั่งเอเชียและฝั่งตะวันตกนั่นอีกครั้ง แล้วใช้นิ้วถูกปลายจมูกของตัวเองอีกครั้ง เพราะทุกครั้งที่ผมถูกจมูกของตัวเองผมมักจะได้กลิ่นสตอเบอร์รี่หวานๆ ลอยคลุ้งมาให้ได้กลิ่นอยู่เรื่อย กลิ่นนี่มันมาจากไหนกันนะ อ่อ มันติดที่ปลายจมูกของผมนี่เอง แล้วมันมาติดที่นี่ได้ยังไง
“แอรีส เดี๋ยวออกมาคุยกับพี่ข้างนอกก่อน”
“อ่า ได้”
ผมไม่สนใจว่าคนอื่นๆ ในห้องนี้จะทำอะไรกันต่อไปเพราะตอนนี้ผมง่วงและ้าที่จะนอน ผมเลยทำตามความ้าของตัวเองโดยการหลับตาลงเพื่อที่จะได้พักผ่อนตามที่ตัวเอง้า
ฟุดฟิด!
แต่ในระหว่างนั้นผมก็ได้กลิ่นสตอเบอร์รี่อีกครั้ง ผมเลยลืมตาของตัวเองเพื่อมองหาต้นเหตุของกลิ่น ซึ่งตอนนั้นเองร่างของนักร้องคนใหม่ก็เดินผ่านหน้าของผมไปพอดี ผมที่นอนอยู่บนโซฟาที่อยู่ข้างประตูทางออก ระดับหัวของผมมันอยู่ระดับเดียวกับบริเวณกระโปรงของเธอคนนั้น มันเลยทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้เธอคนนี้ล้มมานั่งทับใบหน้าของผม
อ่า รู้แล้วว่ากลิ่นมันมาจากไหน ที่แท้ก็มาจากนี้นี่เอง แม่สาวสตอเบอร์รี่
[โปรดติดตามตอนต่อไป]
วู้ววว เป็การเจอกันที่แปลกจริงๆ
อีพี่รามคิดอะไรกับน้องไหมเนี้ย
ปล่อยน้องมันไปเถอะ
อิอิ เม้นมาเยอะๆ น่าาาาา