“ฟื้นแล้วเ้าค่ะ” นางรีบพูดขึ้นแล้วประคองให้เขาเอนหลังผิงผนังห้อง เพราะสภาพเหมือนผักเช่นเขาให้นั่งตัวตรงยังยากลำบาก
ติงเชากวาดตามองชายร่างผอมที่ลูกสาวแบกกลับมาเมื่อสามวันก่อนแล้วพยักหน้ารับ ใบหน้าดุดันแม้มุมปากจะยกยิ้มแต่ก็เหมือนไม่ได้ยิ้ม เขาไม่พูดอะไร แต่จากสภาพของชายแปลกหน้าที่นอนหมดสติมาหลายวันก็ทำให้เขาพอเข้าใจ และเกรงว่าสภาพนี้ถ้าเขาพูดอะไรมากไปก็จะทำให้คนป่วยลำบากใจเสียเปล่า
“บ้านนี้อยู่กันง่าย ๆ เ้าพักผ่อนให้แข็งแรงดีก่อน เื่อื่นอย่าเพิ่งคิดมากไปเลย” ติงเชาพูดขึ้นแล้วหันไปพูดกับเด็ก ๆ รอบตัว “อย่าได้รบกวนคุณชายท่านนี้ ถือเสียว่าเขาเป็แขกของพ่อก็แล้วกัน”
“ขอรับท่านพ่อ” ติงหยี่ ติงเกา ติงปิง พูดขึ้นพร้อมกัน แต่เพราะเป็เด็กก็อดมองแบบอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ เมื่อเห็นอีกฝ่ายใบหน้าเหยเกดูน่ากลัว พวกเขากลับสงสารเห็นใจ ส่วนเด็กน้อยเหมยลี่หลบอยู่ด้านหลังพ่อบุญธรรม
“ข้าขอดูแลเขาสักครู่แล้วจะออกไปแบกฟืนมาเก็บไว้ให้นะ” เหมยซิงเอ่ยขึ้น เห็นพ่อบุญธรรมพยักหน้าแล้วก็หันมาทางคนที่มีสภาพเป็ผัก
“หิวหรือไม่” นางได้คำตอบเป็การพยักหน้าช้า ๆ ยังดีที่สามารถสื่อสารกันได้บ้าง “รอสักประเดี๋ยว ข้าเพิ่งทำโจ๊กเสร็จ จะยกมาให้”
ซุนเว่ยหมินมองเด็กสาวลุกขึ้นแล้วเดินเร็ว ๆ ออกไป ไม่นานนักนางก็กลับเข้ามาพร้อมชามบิ่น ๆ บรรจุโจ๊กเปล่าแต่ส่งกลิ่นหอมยื่นมาตรงหน้า
“บ้านข้าจน มีให้เ้าได้แค่โจ๊กเปล่าชามนี้ แต่กินเสียหน่อยให้ร่างกายได้รับอาหารบ้าง”
นางใช้ช้อนตักโจ๊กแล้วเป่าไล่ไอร้อนจนมั่นใจว่าไม่ร้อนเกินไปแล้วจึงจ่อที่ปากของเขา แม้ต้องใช้ความพยายามมากกว่าปกติ แต่นางก็ใจเย็นพอที่จะป้อนโจ๊กทีละคำให้เขาจนหมด
มันช่างเป็โจ๊กที่ไร้รสชาติเสียเหลือเกิน เรียกว่าอาหารขั้นเลวที่
สุดที่เขาเคยกินมา แต่ยามนี้เนื้อข้าวลงสู่กระเพาะทำให้รู้สึกอุ่นสบายท้องยิ่งนัก
“นั่นน้องชายของข้า ติงหยี่ ติงเกา ติงปิง” เหมยซิงชวนคุย และรู้สึกดีที่เขากินได้ค่อนข้างมาก “พวกเราเป็เด็กกำพร้าที่พ่อติงเชารับมาเลี้ยงเมื่อสิ้นสุดา บ้านนี้ก็ไม่ใช่ของพวกเราหรอก เ้าของบ้านอพยพไปั้แ่มีาครั้งนั้นแล้ว อ้อ! แต่พวกเราไม่ใช่ขโมยนะ ถ้าเ้าของมาทวง เราค่อยย้ายออกไป”
ซุนเว่ยหมินจ้องมองเด็กสาวที่พูดปนหัวเราะเสียงใส ราวกับชะตากรรมของตัวเองเป็เื่ตลกขบขัน นางป้อนโจ๊กหมดก็ตามด้วยน้ำและเช็ดมุมปากให้เรียบร้อยแล้วประคองเขาลงนอน
“เ้าเพิ่งฟื้นก็อย่าเพิ่งคิดมากไป พักอีกสักหน่อย ถ้าอยากให้ติดต่อคนที่บ้านอย่างไรค่อยว่ากัน” นางส่งยิ้มให้ “ข้าจะให้เหม่ยลี่มานั่งอยู่ใกล้ ๆ หาก้าอะไรส่งสายตาบอกนาง นางจะวิ่งไปเรียกข้าเอง ข้าอยู่หน้าบ้าน ต้องหอบฟืนมาเก็บในครัวเสียก่อน”
ซุนเว่ยหมินมองตามร่างของเด็กสาวที่เดินหายออกไปแล้วถอนหายใจเบา ๆ ครู่ต่อมาเด็กหญิงตัวน้อยก็มานั่งจ้องหน้าเขาด้วยดวงอยากรู้อยากเห็น
เขาได้แต่ร้องโอดครวญในอก มันเกิดอะไรกับชีวิตจวิ้นอ๋องอย่างเขากันแน่.
บุรุษวัยสามสิบปีนามว่าเสียเอี๋ยนยืนอยู่ริมหน้าผา สายตากวาดมองไปยังเบื้องล่างคล้ายรอคอยบางสิ่ง สายลมสงบไม้ไหวขยับไหวเพียงเล็กน้อย ผีเสือปีกขาวพิสุทธิ์สะท้อนแสงอาทิตย์งามระยิบระยิบโบยบินอย่างอ้อยอิ่งมาเบื้องหน้า จนกระทั้งชายหนุ่มยื่นปลายนิ้วออกไป มันจึงเกาะที่นิ้วเรียวของเขา
“กลับมาแล้วรึ” เขาเอ่ยกับผีเสื้อตัวน้อย ยกปลายนิ้วขึ้นเสมอระดับสายตา นี่มิใช่ผีเสื้อธรรมดาแต่เป็ภูตผีเสื้อที่ถูกร่ายมนตร์ให้ติดตามหาข่าวสารของคนผู้หนึ่งที่เขาออกตามหานานนับเดือนแล้ว
“ข้ารู้ว่าเ้าเหนื่อย แต่ข้าจำเป็ต้องรีบค้นหาคนผู้นั้น เ้าช่วยนำทางไปทีเถิด”
ผีเสื้อกระพือปีกบินขึ้นอีกครา มันบินวนเวียนชายที่แต่งกายราวนักพรตแล้วบินนำไปเบื้องหน้า แม้ผีเสื้อจะโบยบินห่างออกไปแล้ว แต่มีลำแสงสีขาวที่มีเพียงเสียเอี๋ยนเท่านั้นที่มองเห็นเป็เครื่องหมายนำทาง เขาพยักหน้าอย่างพอใจ กระโจนขึ้นหลังอาชาสีนิลแล้วบังคับม้าให้ติดตามผีเสื้อโบยบิน
หนึ่งเดือนเต็มกับการตามหาซุนเว่ยหมิน สิ่งที่เขาตามหามิใช่ร่างกายแต่เป็ดวงจิตของซุนเว่ยหมิน เขาส่งร่างของซุนเว่ยหมินกลับเมืองหลวงไปนานแล้ว ั้แ่เกิดเหตุลอบทำร้าย และก้อนหินถล่ม ทำให้ซุนเว่ยหมินาเ็สาหัส จนปานนี้ยังไม่ฟื้น แต่สาเหตุที่ไม่ฟื้นมิใช่เพราะแค่เขาได้รับาเ็เท่านั้น แต่เพราะดวงจิตของเขาหลุดออกจากร่างไป นี่ก็ครบหนึ่งเดือนแล้วที่ดวงจิตนั้นหลุดออกจากร่าง มีเวลาเพียงแค่สี่สิบเก้าวันเท่านั้น เขาต้องเร่งรีบหาดวงจิตของซุนเว่ยหมินให้พบ เขาได้ใช้ภูตผีเสื้อออกตามหา มาบัดนี้เพิ่งได้ทราบข่าว หัวใจของเขายิ่งตื่นเต้น และเป็ทุกข์พร้อมกัน
ซุนเว่ยหมินเป็คนที่ไม่มีใครกล้าแตะต้อง เขาเป็ถึงอนุชาของเต๋อเฟย สนมคนโปรดขององค์ฮ่องเต้ แม้ท่าทางเหมือนคุณชายไม่เอาไหน แท้จริงแล้วเขาเสมือนมือขวาขององค์ฮ่องเต้ ได้รับแต่งตั้งเป็จวิ้นอ๋อง มอบทหารหนึ่งแสนนายเพื่อปกป้องราชวงศ์
ซุนเว่ยหมินไม่คิดว่าชีวิตจะมีวันที่ตัวเองตกอยู่ในสภาพน่าเวทนาเช่นนี้
เอ่ยปากส่งเสียงสื่อสารกับใครก็ได้เพียงแค่เสียงอือ ๆ อา ๆ ครางเครือในลำคอ ขยับร่างกายได้แค่ปลายนิ้วมือ นิ้วเท้า และใบหน้า ส่วนอื่นของร่างกายไม่อาจเคลื่อนไหวได้ตามใจเลยสักนิด เื่ที่น่าสมเพชที่สุดคือการขับถ่ายที่เขาไม่อาจทำได้ด้วยตนเอง อาศัยเพียงเหมยซิงจัดการเช็ดทำความสะอาดให้อย่างไม่รังเกียจ เขาอดตั้งคำถามไม่ได้ว่า ชีวิตคนเราต้องพบเจอมากเพียงใดถึงทำเื่พวกนี้ได้อย่างหน้าตาเฉยเช่นนี้
ร่างกายที่ไม่ใช่ของเขาเริ่มดีขึ้น ร่องรอยบอบช้ำจางไปมาก แต่ก็ยังคงสภาพความเป็ ‘ผัก’ เช่นเดิม เมื่อเขาไม่มีไข้แล้ว เหมยซิงก็กังวลว่าเขาจะนอนให้ห้องเหม็นอับอย่างเบื่อหน่าย จึงแบกร่างผักนี้ขึ้นหลังมานั่งอยู่ที่ลานกว้างของบ้าน ได้รับแสงแดดอ่อน ๆ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก
