สองสาวพี่น้องหน้าถอดสีด้วยความใ รีบถอยกรูดไปหลบอยู่ด้านหลัง
นางเซี่ยยอมตายเพื่อปกป้องเมิ่งอู่ ในเมื่อนางไม่ยอมรับการแต่งงานครั้งนี้ เมิ่งอู่ย่อมไม่มีความผิดข้อหาฆาตกรรมสามี
สุดท้ายแน่นอนว่าไม่ต้องถูกจับถ่วงน้ำ
ชาวบ้านต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ รู้สึกว่าแม่หม้ายลูกกำพร้าอย่างนางเซี่ยกับเมิ่งอู่นั้นมีเหตุผล ผู้ใดจะยอมถูกคนขายแล้วยังช่วยเขานับเงิน [1] อีกเล่า!
เื่เช่นนี้ผู้ใดเป็คนรับเงินก็ต้องไปทวงถามจากคนผู้นั้น!
แม่เฒ่าหวังจึงทำอันใดเมิ่งอู่ไม่ได้ ได้แต่ไปชำระความกับนางเหอแทน นางด่าทออย่างหยาบคาย “ดีนักยายแก่ ข้าถามเ้าว่าไฉนเ้าถึงไม่ให้สินเดิม เดิมคิดว่าให้เ้าได้ผลประโยชน์เล็กน้อย แต่คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่เ้าทำคือการขายบุตรสาวของผู้อื่น!”
นางเหอ้าจะคืนสินสอดให้แม่เฒ่าหวัง ทว่าแม่เฒ่าหวังจะยินยอมได้อย่างไร เช่นนั้นบุตรชายของนางมิต้องใช้การมิได้เสียเปล่าหรอกหรือ?
ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องทำลายบุตรีสกุลเมิ่งให้ได้สักคน!
แม่เฒ่าหวังคว้าตัวคนที่ไม่รู้ว่าเป็เมิ่งเจียนเจียหรือเมิ่งซวี่ซวีแล้วจะลากกลับไป ในเมื่อรับสินสอดไปแล้ว ก็ต้องพาคนใดคนหนึ่งกลับไปเป็สะใภ้ให้ได้!
ฝ่ายสกุลเมิ่งย่อมไม่ยินยอม สุดท้ายสองครอบครัวจึงลงไม้ลงมือกัน ทั้งฉุดกระชากลากถูทั้งทะเลาะวิวาทกันชุลมุนอยู่ข้างบึงน้ำ
เหล่าชาวบ้านที่ล้อมวงดูล้วนชมอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน นานนักหนาแล้วที่หมู่บ้านนี้ไม่มีการต่อสู้ครั้งใหญ่เยี่ยงนี้ เวลาชาวบ้านด่าทอสาปแช่งกัน มักขุดแม้แต่บรรพบุรุษสิบแปดชั่วโคตรของอีกฝ่ายจากหลุมขึ้นมาด่าสาดเสียเทเสีย
แม้หัวหน้าหมู่บ้านห้ามปรามอย่างไรก็ไม่ฟัง อาจกล่าวได้ว่าไม่มีความสามารถในการยับยั้งป้องปรามอย่างสิ้นเชิง
เมิ่งอู่พานางเซี่ยกลับถึงเรือนเพื่อเว้นพื้นที่ให้ผู้คนเข้าไปช่วยเหลือ ยามรัตติกาลคลี่คลุมสองแม่ลูกก็กลับถึงเรือนอย่างปลอดภัย
เมิ่งอู่กับนางเซี่ยกลับเรือนแล้ว ท้ายที่สุดก็ได้เวลาพักผ่อน เมื่อเห็นผนังเรือนทั้งสี่ด้านว่างเปล่า [2] ก็อดถอนหายใจลึกๆ ไม่ได้
ก่อนหน้านี้เรือนของพวกนางไม่ได้อัตคัดขัดสนถึงเพียงนี้ ทว่านับแต่เมิ่งอวิ๋นเซียวบิดาของเ้าของร่างเดิมเดินทางเข้าไปสอบเข้ารับราชการที่เมืองหลวง ก็ไร้ข่าวคราวมานานหลายปี
นางเหอที่ย้ายไปพำนักที่เรือนของลุงใหญ่ขนย้ายข้าวของทุกอย่างที่เคลื่อนย้ายได้ไปจนสิ้น เหลือเพียงเมิ่งอู่กับนางเซี่ยที่อาศัยในเรือนหลังนี้เท่านั้น
ขยะเน่าทั้งครอบครัวนั้นอย่าได้มาวุ่นวายกับนางอีกเป็อันขาด มิเช่นนั้นหากนางไม่เล่นงานพวกเขาถึงตาย ก็ไม่ใช่เมิ่งอู่แล้ว!
เมิ่งอู่พยุงนางเซี่ยกลับไปพักผ่อนในห้อง ส่วนตนเองรีบผลัดเปลี่ยนเป็เสื้อผ้าแห้ง แล้วเปิดม่านเข้าไปดูบุรุษที่ตนช่วยชีวิตเอาไว้ พอเห็นเขายังคงสลบไสล นางจึงเตรียมตัวไปทำอาหารค่ำ
ปรากฏว่าเมื่อไปดูในครัวพบว่าทุกอย่างว่างเปล่า แม้แต่ข้าวสารในถังก็ใกล้จะถึงก้นถังแล้ว
เมิ่งอู่จึงได้แต่ต้มโจ๊กใสๆ กินไปก่อนหนึ่งคืนแล้วค่อยว่ากัน
ขณะยกชามโจ๊กไปให้ถึงมือนางเซี่ย นางก็กำชับว่า “ท่านแม่ ต่อไปไม่ว่าใครจากครอบครัวท่านลุงใหญ่ส่งยามาให้ ท่านห้ามดื่มเด็ดขาดนะเ้าคะ”
นางเซี่ยยังคงหวาดกลัวอยู่บ้าง นางจับมือเมิ่งอู่ไว้พร้อมถามทุกข์สุขอย่างห่วงใย
เมิ่งอู่กล่าว “ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ต่อไปมีข้าอยู่ ใครก็รังแกท่านไม่ได้”
นี่ถือเป็การตอบแทนเ้าของร่างเดิม ปล่อยให้นางได้พักผ่อนอย่างสงบใต้น้ำพุทั้งเก้า [3]
นางเซี่ยน้ำตาคลอหน่วยก่อนกล่าว “เคราะห์ดียิ่งนักที่อาอู่ไม่เป็อันใด มิเช่นนั้น… มิเช่นนั้น… ข้าคงอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว… ข้าไม่คิดเลยว่าท่านย่าของเ้าจะใจร้ายเพียงนี้ หลอกขายเ้าไม่สำเร็จ ยังคิดจะให้เ้าไปตาย!”
เมิ่งอู่หัวเราะเ็าสองครั้งก่อนกล่าว “ปกติแม่เฒ่าผู้นั้นก็ทำเื่ที่ไร้คุณธรรมไว้ไม่น้อย อนาคตยังอีกยาวไกลในเมื่อนางไม่เห็นข้าเป็หลานสาว ข้าย่อมไม่เห็นนางเป็ท่านย่าเช่นกัน”
นางเซี่ยรู้สึกว่าเมิ่งอู่แตกต่างจากกาลก่อน เมิ่งอู่ในอดีตขี้ขลาด ยอมอดทนได้ก็อดทน ไม่เคยกล้าปะทะกับนางเหอและครอบครัวของลุงใหญ่ แต่ยามนี้นางกลับกล่าวเพียงสามคำสองวลี [4] ก็ทำให้ครอบครัวลุงใหญ่กับแม่เฒ่าหวังพิพาทกันที่ริมบึงได้แล้ว
ครั้นนางเซี่ยกินโจ๊กเสร็จ ก็ล้มตัวลงนอนพักอย่างกระสับกระส่าย เพราะถึงอย่างไรหลังม่านก็ยังมีบุรุษแปลกหน้าผู้นั้นนอนอยู่ เช่นนี้แล้วนางจะสงบใจลงได้อย่างไร
เมิ่งอู่ชำเลืองมองอินเหิงที่หมดสติ สีหน้าของเขาซีดเซียว ริมฝีปากแห้งผาก กินยาเพียงอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องหาทางประคับประคองการทำงานของร่างกายเขาไว้จนกว่าเขาจะฟื้น
เมิ่งอู่จึงบอกให้นางเซี่ยคอยมองๆ ไว้ นางเซี่ยยังไม่ทันจะปฏิเสธ นางก็อาศัยความมืดหลบออกจากเรือน ขัดดาลประตูลานเรือนไว้อย่างง่ายดาย
แน่นอนว่านางไปยังทุ่งข้าวฟ่างเมื่อตอนกลางวัน จากนั้นพึ่งความทรงจำของเ้าของร่างเดิมไปตามหาทุ่งข้าวฟ่างของนางเหอกับครอบครัวของลุงใหญ่ นางมัดต้นข้าวฟ่างรวมกันหนึ่งมัดที่พื้น จากนั้นแบกกลับมาเพื่อเสริมน้ำตาลในร่างกายให้อินเหิงเพื่อประคับประคองชีวิตของเขาไปก่อน
นางเหอกับแม่เฒ่าหวังวิวาทกันอย่างชนิดที่ไม่มีแนวโน้มว่าจะสงบศึก เมื่อดวงตะวันขึ้นในวันต่อมา นางจึงลากสังขารจมูกฟกช้ำหน้าบวมเป่งไปรดน้ำในทุ่งข้าวฟ่าง ผลปรากฏว่าต้นข้าวฟ่างในทุ่งหายไปเกือบครึ่ง ภาพนี้ทำให้นางขุ่นเคืองจนเกือบกระอักเื
นางทรุดลงนั่งกับพื้น ก่อนเริ่มะโก่นด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายน่ารังเกียจ เสียงแหลมแสบแก้วหูดังลั่นจนคนครึ่งหมู่บ้านได้ยิน
……….
[1] หมายถึง โง่มาก ถูกหลอกง่าย
[2] หมายถึง ยากจนมาก
[3] หมายถึง สถานที่ที่ผู้ตายต้องไปหลังจากเสียชีวิตแล้ว หรือยมโลก
[4] หมายถึง คำพูดรวบรัด ห้วนๆ สั้นๆ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้