เนื่องจากวันนี้เป็วันหยุดสุดสัปดาห์จึงมีผู้คนขวักไขว่ไปมายิ่งนัก ใน่สองปีมานี้สถานการณ์ด้านความปลอดภัยไม่ค่อยดี ทำให้ซย่านีต้องคอยเอามือปิดปากกระเป๋าเงินไว้แน่นเพราะกลัวว่าจะถูกคนขโมย
ในห้างสรรพสินค้า ชั้นแรกขายของใช้ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็หม้อหรือกระทะ หากซย่านี้าก็ล้วนมีครบทุกอย่าง ส่วนชั้นสองนั้นขายผ้าและเสื้อผ้าสำเร็จรูป รวมถึงเครื่องนอนที่ซย่านี้าก็วางขายอยู่ที่ชั้นสองเช่นกัน
เซี่ยงเหมยกล่าวขึ้น “พวกเราไปซื้อเครื่องนอนที่ชั้นสองกันก่อนดีไหม?”
ซย่านีเห็นด้วย พวกเธอเลยเดินตรงไปขึ้นบันไดเพื่อไปยังชั้นสอง หลังจากเดินผ่านชั้นขายผ้าและเสื้อผ้าสำเร็จรูปต่างๆ แล้ว ในที่สุดทั้งสองสาวก็หาจุดที่ขายเครื่องนอนเจอ
“สหาย ช่วยหยิบผ้านวมผืนนั้นให้ฉันดูที” ซย่านีชี้ไปที่ผ้าห่มที่วางอยู่ชั้นบนสุดของตู้ด้านในแล้วถามต่อว่า “ราคาเท่าไหร่หรือ?”
พนักงานขายคนหนึ่งมองไปตามทิศทางที่ซย่านีชี้บอกแต่พนักงานคนนั้นกลับนิ่งเฉยแถมยังพูดขึ้นอีกว่า “นี่ไม่ใช่ผ้านวมผ้าฝ้ายหรอกนะ มันคือผ้านวมผ้าไหมเป็ผ้านวมชนิดที่ใช้กันตามโรงแรมใหญ่ๆ ผ้านวมผืนนี้แพงมาก พวกคุณ...” พนักงานขายหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านี้แล้วใช้สายตากวาดมองซย่านีกับเซี่ยงเหมยั้แ่หัวจรดเท้า
การกระทำเช่นนี้ก็ถือเป็การดูถูกกันแล้ว
พนักงานขายสินค้าในยุคนี้ล้วนแต่เป็ข้าราชการที่กินเงินเดือนรัฐบาล ไม่แปลกที่จะมีพนักงานแย่ๆ บางคนที่ชอบดูถูกคนอื่น
ซย่านีเคยชินกับสายตาเช่นนี้แล้วแต่เซี่ยงเหมยกลับโกรธมาก เธอดึงซย่านีแล้วพูดว่า “พวกเราไปกันเถอะ ไม่จำเป็ต้องซื้อของที่นี่หรอก!”
ซย่านีกลับหัวเราะขึ้นมา “คงมีแต่พวกโรงแรมใหญ่ระดับล่างๆ สินะ ถึงได้ใช้ผ้านวมไหมกัน? ทำไมฉันถึงได้ยินมาว่าพวกโรงแรมใหญ่ๆ ต่างก็ใช้ผ้านวมไหมแท้กันหมดแล้วเล่า?”
พนักงานขายสำลักไปหนึ่งที “คุณจะไปรู้อะไร!”
ซย่านียิ้มเยาะเย้ย “ก็จริงนะ ฉันมาจากชนบท แน่นอนว่าฉันคงไม่ได้มีความรู้เท่าพนักงานขายอย่างพวกคุณหรอก ถ้าอย่างนั้นสหายช่วยหยิบผ้านวมมาให้ฉันดูหน่อยได้ไหม?”
พนักงานขายสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินไปหยิบผ้านวมผืนนั้นมาวางกระแทกลงบนโต๊ะกั้นแสดงสินค้า “ดูเสียสิ ฉันเตือนคุณแล้วนะ หากทำมันสกปรกล่ะก็คุณจะต้องจ่ายค่าชดใช้ด้วยล่ะ!”
ผ้านวมไหมสีขาวนี้ให้ความรู้สึกเนียนนุ่ม ยิ่งไปกว่านั้นยังอัดแน่นไปด้วยเส้นใยไหมเต็มผืนทำให้ผ้านวมผืนนี้หนาเป็พิเศษ ซย่านีพอใจกับผ้านวมตรงหน้ามาก เธอควักเงินออกมาจากกระเป๋าแล้วซื้อมันหลายชุด
พนักงานขายทำรายการสั่งซื้อให้ซย่านีเพื่อให้ซย่านีนำไปจ่ายเงิน จากนั้นซย่านียังแวะดูสินค้าที่ตู้แสดงสินค้าข้างๆ แล้วเลือกซื้อพวกผ้าปูที่นอนผ้านวมและหมอนเพิ่มอีกหลายใบ
เพราะซื้อของเยอะมาก ซย่านีกับเซี่ยงเหมยจึงแบ่งกันถือคนละอย่าง พวกเธอสองคนถือของพะรุงพะรังเต็มสองมือ ด้วยเหตุนี้สองสาวเลยต้องวางของไว้ที่รถสามล้อก่อนเพื่อให้มือของตนว่าง จากนั้นค่อยกลับไปซื้อของอย่างอื่นเพิ่ม
ส่วนกระบะของรถสามล้อนั้นมีขนาดค่อนข้างเล็ก ซย่านีซื้อผ้านวมที่มีความหนามาหลายผืนทำให้การยัดผ้านวมใส่กระบะรถสามล้อนั้นเป็ไปค่อนข้างลำบาก แต่ก็ยังมีโชคดีอยู่บ้างที่ก่อนออกจากบ้านพวกเธอสองคนนำเชือกติดมือมาด้วย เลยสามารถผูกผ้านวมไว้กับรถสามล้อได้
หญิงสาวทั้งสองคนวุ่นกับการจัดของใส่กระบะรถสามล้อพลางคุยกันไปด้วย
เซี่ยงเหมยกล่าวขึ้น “ฉันว่าผ้านวมผืนนี้มันแพงเกินไปหน่อยนะไม่คุ้มค่าเลย ซื้อผ้านวมมาบุผ้าฝ้ายเองยังจะมีประโยชน์กว่า มันทั้งอบอุ่นและให้ความรู้สึกสบาย อีกอย่างฉันว่าผ้านวมไหมมันนุ่มฟูเกินไป ห่มแล้วไม่ทับร่างเช่นนี้กลางคืนจะอุ่นหรือ?”
ซย่านีหัวเราะและกล่าวว่า “ก็เพราะว่ารีบย้ายออกจากบ้านเก่าเร็วไปมิใช่หรือ? อีกอย่างฉันเองก็ไม่ได้ซื้อเตียงสักหน่อย ตอนแรกฉันว่าจะเอามันมาซ้อนรวมกันเป็ชั้นๆ ด้วยนะคะ ฉันยังคิดไปถึงขึ้นจะซื้อผ้านวมมาปูที่เตียงเลย บนเตียงนอนจะได้มีความหนาเพิ่มอีกสองชั้น”
หลังจากรัดผ้านวมเสร็จแล้ว ซย่านีก็กล่าวว่า “พี่สะใภ้ พี่อยู่เฝ้าของที่นี่ดีกว่า ฉันจะเข้าไปซื้อหม้อกับกระทะหน่อยเดี๋ยวฉันรีบกลับมา”
เซี่ยงเหมยตอบรับคำ “ได้ งั้นเธอก็รีบไปรีบกลับล่ะ”
ตู้ขายหม้อกับกระทะตั้งอยู่ตรงข้างๆ ประตูนี่เอง ในยุคนี้มีสินค้าให้เลือกเพียงไม่กี่ยี่ห้อทว่าคุณภาพกับดีเยี่ยม ซย่านีไม่มีอะไรให้เลือกมากนัก เพียงไม่นานเธอก็ซื้อของทุกอย่างที่้าจนครบถ้วน
ทว่าตอนนี้บนกระบะรถสามล้อเต็มไปด้วยผ้านวม แล้วทีนี้จะวางหม้อกับกระทะอย่างไรก็ยังคงเป็ปัญหาสำหรับเธออยู่ดี
เซี่ยงเหมยมองดูของต่างๆ แล้วค่อยหันไปมองรถสามล้อ “เราวางชาม ตะเกียบกับมีดทำครัวไว้ที่ตะกร้าหน้ารถก็แล้วกัน ส่วนหม้อมีหูเราก็เอาเชือกคล้องหูแล้วมัดมันไว้กับตัวรถ” เซี่ยงเหมยชี้ไปยังจุดที่ตัวรถสามล้อเชื่อมต่อกับเบาะนั่ง ตรงนั้นมีท่อเหล็กไว้ผูกสิ่งของอยู่พอดีจึงช่วยให้ไม่รบกวนคนขี่
ซย่านีพยักหน้า “ได้ งั้นก็ทำเช่นนี้ก็แล้วกัน”
ระหว่างทางกลับเซี่ยงเหมยก็ช่วยซย่านีคำนวณค่าใช้ในการมาห้างครั้งนี้
เท่านี้นับว่าไม่ใช่เื่ใหญ่โตอะไรแต่เซี่ยงเหมยกลับใมาก ซย่านีเองก็ใเช่นกัน
ในการเดินทางมาห้างสรรพสินค้าครั้งนี้ ซย่านีใช้เงินไปก้อนใหญ่เลยทีเดียว เงินที่ถูกหามาอย่างยากลำบากถูกใช้ออกไปเหมือนการละลายน้ำ หากเป็ตัวเธอในชาติก่อนคงไม่มีทางกล้าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยขนาดนี้แน่ๆ
เซี่ยงเหมยรู้สึกเสียดายแทนซย่านีขึ้นมา “หากเธอใช้เงินแบบนี้ล่ะก็ เงินที่เธอหามาได้ทั้งอาทิตย์คงหมดลงภายในไม่มีวันนี้แน่ๆ”
ซย่านีเองก็รู้สึกเสียดายขึ้นมาเล็กน้อยเพราะชาติก่อนเธอเป็คนประหยัดมาก เธอพูดขึ้น “นี่มิใช่สถานการณ์พิเศษหรอกหรือ? ฉันใช้จ่ายแค่วันนี้วันเดียวนี่แหละ วันข้างหน้าก็ใช้จ่ายไปกับเื่ของลูกๆ แล้ว ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ค่ากินอยู่และพวกเสื้อผ้า หรือเงินไปโรงเรียนก็ไม่ได้เยอะแยะเท่านี้หรอกค่ะ”
คำพูดนี้ของซย่านีมีไว้เพื่อปลอบใจเซี่ยงเหมยและตัวเธอเองก็เท่านั้น
“ไม่ใช่สิ ทำไมฉันฟังคำพูดนี้ของเธอแล้วรู้สึกว่าเธอวางแผนจะหย่าขาดกับซ่งหานเจียงจริงๆ เล่า?” เซี่ยงเหมยจับประเด็นที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของซย่านีได้ในทันที เธอบอกเพียงว่าจะอยู่กับลูกๆ โดยไม่ได้คิดถึงสามีของตนเองเลย!
ซย่านีตอบ “นี่ยังเป็เื่โกหกได้อีกหรือ?”
“เธอไม่ได้พูดไปเพราะโกรธหรือไง?”
ซย่านีตอบ “ฉันไม่ใช่คนโกรธง่ายขนาดนั้นหรอกค่ะ”
เซี่ยงเหมยไม่เข้าใจยิ่งนัก “ทำไมกันเล่า? ซ่งหานเจียงเป็คนดีมากเลยนะ เขาทั้งหน้าตาดีแถมยังมีการศึกษา มีตั้งกี่คนที่อิจฉาเธอที่ได้แต่งงานกับเขา!”
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ต่อหน้าพวกเด็กๆ เซี่ยงเหมยไม่สะดวกที่จะพูดเื่นี้กับซย่านีทว่าตอนนี้เธอมีโอกาสแล้ว เธอจะต้องเกลี้ยกล่อมซย่านีให้ได้ เซี่ยงเหมยกล่าวต่อไป “ใช่ เขามีแม่ที่ไร้เหตุผลกับน้องสาวเ้าปัญหา นั่นเป็เหตุผลที่ทำให้เธอไม่อยากอยู่บ้านตระกูลซ่งเื่นี้ฉันเข้าใจได้ แต่เธอก็ไม่ควรเอาแต่คิดเื่หย่าอย่างเดียวสิ! เธอเองก็สามารถเป็อย่างฉันได้นี่นา แค่ดึงตัวสามีเธอออกมาอยู่กับเธอ ดูอย่างฉันกับเฝิงหย่งตอนนี้สิชีวิตพวกเราสองคนมีความสุขดีไม่ใช่หรือ?”
ซย่านีตอบ “ฉันกับพี่ไม่เหมือนกันหรอกนะ”
เซี่ยงเหมยถามต่อ “ทำไมจะไม่เหมือนกัน? พวกเราแทบจะเหมือนกันเลยต่างหาก เราสองคนต่างก็ขัดแย้งกับครอบครัวสามีทั้งคู่! เธอก็เห็นนี่ว่าเดิมทีครอบครัวสามีก็ดูแคลนเธอและอยากให้ซ่งหานเจียงหย่ากับเธออยู่แล้ว หากเธอหย่ากับเขาขึ้นมาจริงๆ เช่นนั้นจะไม่เป็ไปตามความ้าของแม่สามีเธอหรือไง? เธอจะยอมปล่อยให้พวกนั้นสมใจอยากได้หรือ?”
ซย่านีหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เธอรู้ว่าหากไม่พูดความจริงกับเซี่ยงเหมย เธอก็คงไม่อาจรอดพ้นจากตรงนี้ไปได้ ซย่านีถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “พี่สะใภ้ พวกเราไม่เหมือนกันจริงๆ เพราะพี่เฝิงหย่งน่ะ มีพี่สะใภ้อยู่ในใจมาตลอด”
เซี่ยงเหมยมึนงงไปชั่วขณะ “เธอหมายความว่าอย่างไร? เธอจะบอกว่าในใจของซ่งหานเจียงไม่มีเธออยู่งั้นหรือ?”
ซย่านีถอนหายใจอีกครั้ง “ใช่แล้ว เขาไม่ได้มีใจให้ฉันเลยสักนิด”
เซี่ยงเหมยหัวเราะคิกคักพลางตบหลังซย่านีเบาๆ แล้วพูดติดตลกว่า “ไอหย๋า คิดไม่ถึงเลยจริงๆ นซย่านี น้องก็เป็คุณแม่ลูกสามแล้วกลับมีใจอ่อนไหวเหมือนพวกสาวน้อยอีกหรือนี่?”
ซย่านีใบหน้าเคร่งขรึม “...ฉันพูดจริงนะ”
