ขณะที่พวกเขาสนทนากันได้สักพักก็มาถึงด้านนอกของตำหนักตงหวา องครักษ์คุ้นเคยกับพวกเขาแล้ว หลังจากคำนับแสดงความเคารพแล้วจึงปล่อยให้เข้าไป ขันทีหยางซึ่งกำลังรอปรนนิบัติอยู่ด้านหน้า หลังจากเห็นพวกเขาก็เข้ามาต้อนรับและเชิญเข้าไปด้านใน
เฟิงฉางหลินขมวดคิ้วถามว่า “ขันทีหยาง วันนี้สภาพจิตใจของเสด็จพ่อเป็อย่างไรบ้าง?”
หยางเหิงตอบอย่างสุภาพ
“ดีกว่าเมื่อวานพ่ะย่ะค่ะ แค่ยังมีอาการเบื่ออาหารอยู่บ้าง เมื่อครู่เพิ่งเสวยไปได้เล็กน้อย ตอนนี้กำลังรอฝ่าาและท่านราชครูอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“ดีแล้ว” เฟิงฉางหลินถอนหายใจด้วยความโล่งอก
อิ้งหลีแอบทำปากยื่นอย่างอดไม่อยู่
จิ้งจอกเฒ่า[1] หยางเหิงตอนนี้ก็ยังโกหกออกมาอย่างไร้สมอง ตี้จวินสูญเสียความอยากอาหารล้วนเป็เื่หลอกลวงทั้งสิ้นใช่ไหม เมื่อคืนตี้จวินเสวยกับแกล้มไปมากขนาดนั้นตาของเ้าบอดหรืออย่างไร?
“ลูกคารวะเสด็จพ่อ”
“กระหม่อมคารวะตี้จวิน”
เฟิงฉางหลินและอิ้งหลีก้มศีรษะคารวะก่อนถึงแท่นบรรทม คนที่เอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนอ่านตำราโดยมีผ้าคลุมหัวอยู่บนเตียงมองมาด้วยรอยยิ้ม
“ลุกขึ้นได้”
“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ”
“ขอบพระทัยตี้จวิน”
อิ้งหลีนำหีบที่บรรจุฎีกาไปวางลงบนโต๊ะสี่เหลี่ยมที่จัดไว้ข้างเตียง พู่กันและหมึกล้วนเตรียมพร้อม หยางเหิงนำเก้าอี้มาให้พวกเขานั่งที่โต๊ะแล้วถอยออกไป
ไม่มีการสนทนาที่ไม่จำเป็ เฟิงฉางหลินนำฎีกาออกมาทีละม้วน มีไม่มากนัก ทั้งหมดเพียงสิบม้วน
ตี้จวินทรงยื่นพระหัตถ์มาหยิบขึ้นไปอ่านหนึ่งรอบก่อนจะตรัสช้าๆ
“ฎีกาที่หลินเอ๋อร์ไม่สามารถตัดสินใจได้ล้วนเป็เื่ของการบรรเทาสาธารณภัยและค่าตอบแทนทหาร”
เฟิงฉางหลินนั่งตัวตรงก้มศีรษะเล็กน้อย “ใช่พ่ะย่ะค่ะ นี่เป็เื่สำคัญมาก ลูกจึงไม่กล้าตัดสินใจด้วยตนเองพ่ะย่ะค่ะ”
ตี้จวินเหลือบมองอิ้งหลีที่กำลังค่อยๆ ฝนหมึก “ท่านราชครูคิดอย่างไร?”
อิ้งหลีหยุดการเคลื่อนไหว เงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อย
“่ผลัดเปลี่ยนฤดูใบไม้ผลิมาเป็ฤดูร้อนในทุกปีมักเกิดน้ำท่วมขึ้นในหลายพื้นที่ วันนี้ในห้องทรงพระอักษรได้สอบถามท่านผู้าุโ จากการคำนวณของหกฝ่าย[2] จึงได้ทราบรายละเอียดว่า เมื่อปีก่อนพื้นที่เสี่ยงภัยที่มีรายงานในฎีกาล้วนมีการจัดสรรงบให้ตามปกติ ปีที่แล้วบางพื้นที่ไม่มีน้ำท่วม งบในการบรรเทาภัยพิบัติจึงยังคงอยู่ ยังมีงบที่ได้รับการจัดสรรแต่แรกอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“ในกรณีนี้ ตามความเห็นของกระหม่อมควรส่งขุนนางชั้นผู้ใหญ่เป็ผู้แทนพระองค์ไปก่อนเพื่อพบเ้าเมืองซึ่งมีอำนาจในการแก้ปัญหาภายในพื้นที่ หลังจากเข้าใจสถานการณ์แล้วจึงจะสามารถแจกจ่ายงบบรรเทาสาธารณภัยได้ตามความเหมาะสม ส่วนสถานที่ที่ไม่มีงบคงเหลืออยู่ก็ให้จัดสรรงบตามปีที่ผ่านมา หลังจากที่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ลงไปตรวจสอบอย่างชัดเจนแล้ว เพื่อให้งบในการบรรเทาภัยพิบัติสามารถบรรลุผลได้จริงพ่ะย่ะค่ะ”
“ในส่วนของค่าตอบแทนทหารนั้น กระหม่อมคิดว่าจำเป็ต้องให้เพิ่มขึ้น ดังที่แม่ทัพฮั่วกล่าวไว้ว่า ตอนนี้แคว้นเทียนซูของเราเจริญรุ่งเรืองทั้งยังสงบสุข ประชาชนอยู่อาศัยและทำงานได้อย่างสันติ เป็เวลาที่ดีที่จะยกทัพและเสริมสร้างแคว้น การเสริมกำลังทหารสามารถปราบต่างแคว้นที่เข้าก่อกวนทางตอนเหนือมานานหลายปีได้ในคราวเดียว ทั้งยังช่วยส่งเสริมศักดิ์ศรีให้แคว้นของเราอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่กี่วันก่อนฮั่วหยางและแม่ทัพหลายคนที่ปกป้องชายแดนทางตอนเหนือ ได้อาศัยข้ออ้างในเื่การเกณฑ์ทหารร่วมมือกับเว่ยซูหานเพื่อแบ่งกองกำลังส่วนบุคคลทั้งสองหมื่นนายของอ๋องฉางอันออกไปเข้าร่วมกับกองทัพทางเหนือ สองหมื่นนายไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ ด้วยข้ออ้างในการเกณฑ์ทหารสามารถจัดสรรออกไปได้หนึ่งพันแปดร้อยนายแล้ว ทรัพยากรที่ต้องใช้ในการบริโภคยังคงมีมากเกินไป
แม้ว่าหลังจากที่เหยียนชิงรับทราบแผนการของเว่ยซูหานเขาจึงได้อาศัยอำนาจของตระกูลเหยียนมอบเงินและอาหารให้เป็จำนวนมากเพื่อแก้ปัญหาที่เร่งด่วน แต่ในระยะยาวยังคง้าให้คลังหลวงเป็ผู้จัดสรรเงินตอบแทนทหารถึงจะสามารถรักษาเอาไว้ได้ การที่ล่าช้าไประยะหนึ่งเป็เพราะไม่้าให้ตี้จวินคิดเป็อื่น
หลังจากตี้จวินได้รับฟังคำพูดของอิ้งหลี ก็พยักหน้าให้สายตาจับจ้องไปยังใบหน้าของเขาอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นจึงมองไปที่เฟิงฉางหลินอีกครั้ง
“หลินเอ๋อร์ สำหรับสิ่งที่ท่านราชครูกล่าวมาเ้ามีความคิดเห็นอื่นหรือไม่?”
เฟิงฉางหลินพยักหน้า “ลูกเห็นด้วยกับแนวทางของท่านราชครูพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม เจิ้นก็คิดว่าท่านราชครูกล่าวได้ถูกต้อง”
ตี้จวินลูบคางของตน หยิบฎีกาขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง เฟิงฉางหลินและอิ้งหลีคิดเห็นเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาก็เห็นด้วยกับความคิดเห็นของอิ้งหลีเช่นกัน
อิ้งหลีถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่าตี้จวินทรงอนุมัติฎีกาที่แม่ทัพฮั่วหยางรวบรวมรายชื่อแม่ทัพเพื่อเรียกร้องมา
ขณะที่ตี้จวินพิจารณาฎีกาไปก็อธิบายความคิดเห็นของตนไปด้วย และยังอธิบายถึงแนวทางแก้ไขและผลลัพธ์ของสถานการณ์เดียวกันนี้ในปีที่ผ่านมา เฟิงฉางหลินและอิ้งหลีต่างก็ฟังอย่างตั้งใจ
“เอาล่ะ พวกเ้ายังมีเื่ใดที่ไม่เข้าใจอยู่หรือไม่?”
ฎีกาม้วนสุดท้ายได้รับการอนุมัติแล้ว ตี้จวินทรงวางปากกาลง”
หลังจากที่เฟิงฉางหลินและอิ้งหลีส่ายหัวพร้อมกันแล้วก็ตอบประสานเสียงออกไปว่า “ไม่มีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
รอให้หมึกแห้งอยู่เพียงครู่ เฟิงฉางหลินก็เก็บฎีกาลงไปในหีบทีละม้วนอีกครั้ง แล้วจึงลุกขึ้นคารวะ
“เช่นนั้น ลูกขอลา”
พูดแล้วก็พยักหน้าไปทางอิ้งหลี หลังจากได้รับอนุญาตจากตี้จวินแล้ว เขาจึงเดินออกไปพร้อมกับหีบที่อยู่ในมือ ข้ารับใช้ในตำหนักรออยู่ภายนอกมาเป็เวลานานมากแล้ว
หยางเหิงส่งเฟิงฉางหลินออกจากตำหนักตงหวาแล้วจึงหันหลังกลับ ยกมุมปากขึ้นพร้อมมองเข้าไปในตำหนัก หันกลับไปนำอาหารที่เตรียมไว้ข้างตำหนักเข้ามา แล้วออกมาเฝ้ารอรับสั่งอยู่ด้านนอก
ด้านในตำหนัก อิ้งหลีเพิ่งเห็นว่าบนโต๊ะสี่เหลี่ยมที่เคยวางปากกาและหมึกเอาไว้ตอนนี้มีอาหารและเหล้ารสเลิศถูกยกมาวางไว้แทนที่ จากความอึดอัดใน่แรกค่อยๆ ถูกเปลี่ยนเป็ความเคยชินอย่างในตอนนี้
เฟิงจิ้งอี้ที่อยู่บนแท่นบรรทมโบกมือเรียกให้เข้าไปนั่งข้างๆ
“มา”
อิ้งหลีเดินเข้าไปนั่งลงอย่างไม่เต็มใจ ไม่สนใจว่าเฟิงจิ้งอี้ได้รินเหล้าให้เขาด้วยตนเองแล้ว เขายกเหล้าขึ้นมาดื่ม พร้อมกับส่งเสียงชื่นชม
“เหล้าดอกเหมย[3]?”
เฟิงจิ้งอี้พยักหน้า “ถูกต้อง มันถูกหมักเมื่อฤดูหนาวในปีก่อน รสชาติเป็อย่างไรบ้าง?”
อิ้งหลีดื่มอีกครั้งเพื่อวิเคราะห์รสชาติ “รสััชัดเจน มีกลิ่นหอมของดอกเหมยที่แสนบริสุทธิ์ รสชาติดี ทว่าเหล้าเช่นนี้ใน่ท้ายยังคงที่ทำให้ฤทธิ์ค่อนข้างแรงพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิงจิ้งอี้มองมาที่เขาด้วยรอยยิ้ม “ฤทธิ์เหล้าแรงจริง ๆ เหมาะกับการดื่มเพียงเล็กน้อย พรุ่งนี้เจิ้นจะส่งไปให้เ้าหนึ่งขวด”
“ขอบพระทัยฝ่าา”
อิ้งหลีคร้านเกินกว่าจะปฏิเสธ ถึงแม้ว่าเขาจะตอบว่าไม่้าแต่ในวันรุ่งขึ้นก็จะมีคนนำเหล้ามาให้ที่จวนของเขาอยู่ดี ห้องเก็บเหล้าขนาดเล็กภายในจวนที่มีเหล้ามากขึ้นเรื่อย ๆ เป็ข้อพิสูจน์ได้ดี ในทุกครั้งที่ได้ดื่มเหล้าส่วนพระองค์ภายในพระราชวังกับตี้จวิน ตี้จวินก็จะมอบเหล้าให้เขาหนึ่งขวดเสมอ
เฟิงจิ้งอี้เลิกคิ้วขึ้น “เจิ้นยังรู้สึกว่าเ้ากำลังปฏิเสธอย่างสุภาพอยู่”
“การปฏิเสธของกระหม่อมมีประโยชน์อันใด?”
อาจเป็เพราะดื่มเหล้าด้วยกันบ่อยครั้ง เมื่ออิ้งหลีได้ยินน้ำเสียงประชดประชันของเขาจึงเริ่มรู้สึกเกรงใจขึ้นมาบ้าง
“ไร้ประโยชน์” เฟิงจิ้งอี้ส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นจึงจ้องมองเขาพร้อมพูดอย่างแ่เบาว่า “เหตุใดเ้าจึงต้องปฏิเสธความเมตตาของเจิ้น?”
“ตี้จวินตรัสได้ถูกต้อง” อิ้งหลีหรี่ตาพร้อมกับดื่มเหล้าเข้าไปอีกครั้ง “ครั้งหน้ากระหม่อมจะไม่ปฏิเสธอีกพ่ะย่ะค่ะ”
ดูเหมือนว่าหานหานจะพูดถูก ตี้จวินทรงถือว่าเขาเป็สหายดื่มเหล้า ไม่เป็ไร กับเหล้า ก็เพียงแค่รับเอาไว้
ในดวงตาของเฟิงจิ้งอี้มีบางอย่างสะท้อนออกมา จากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างขี้เล่นว่า “หืม? จะไม่ปฏิเสธข้าแล้วหรือ?”
“ไม่ปฏิเสธแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
อิ้งหลียิ้มพร้อมกับส่ายหัว เดิมทีมันเป็การพูดแบบกึ่งหยอกล้อ แต่เมื่อเห็นดวงตาลึกล้ำของเฟิงจิ้งอี้หัวใจก็เกิดสั่นไหวขึ้นมาอย่างไม่สามารถอธิบายได้ จึงได้แต่ก้มศีรษะลงด้วยความตื่นตระหนกเพื่อปกปิดจังหวะการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ
อาจเป็เพราะดวงตาในฐานะฮ่องเต้ของเฟิงจิ้งอี้นั้นค่อนข้างทรงอำนาจ บางครั้งจึงทำให้อิ้งหลีไม่สามารถต้านทานดวงตาสีดำอันแสนลึกซึ้งนี้ได้ราวกับต้องมนต์สะกด และยังมีร่องรอยของความเขินอายที่ไม่ทราบที่มาแผ่ซ่านอยู่ภายในใจ แม้แต่การเต้นของหัวใจก็ยังถูกรบกวน
การตอบสนองที่ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัดนี้ หลังจากได้สนทนากับเฟิงจิ้งอี้มาหลายครั้งเข้า จำนวนครั้งที่ถูกกระตุ้นก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้ทำให้อิ้งหลีรู้สึกกลัวเล็กน้อย
เชิงอรรถ
[1] จิ้งจอกเฒ่า (老狐狸) อุปมาถึงคนเ้าเล่ห์ เ้าเล่ห์สุดๆ หรือบุคคลที่มีไหวพริบฉลาดแกมโกง
[2] หกฝ่าย(หกปู้) (六部) ปู้เป็หน่วยงานรัฐบาลโบราณในประเทศจีน เริ่มใช้ั้แ่ราชวงศ์สุยและราชวงศ์ถัง ปู้ทั้งหก ประกอบด้วย กงปู้ (กระทรวงโยธาธิการ) ปิงปู้ (กระทรวงยุทธนาการ) ลี่ปู้ (กระทรวงขุนนาง) สิงปู้ (กระทรวงราชทัณฑ์) หลี่ปู้ (กระทรวงพิธีการ) ฮู่ปู้ (กระทรวงครัวเรือน)
[3] เหล้าดอกเหมย คือ เหล้าที่หมักจากดอกบ๊วย มีรสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ ต่อให้เป็คนที่ไม่ชอบการดื่มเหล้าก็ดื่มได้ แต่ว่าฤทธิ์เหล้าค่อนข้างแรง ยิ่งดื่มมากก็ยิ่งเมามาก
