อวี๋เฉียวซานดึงสตรีแซ่จางเอาไว้เพื่อไม่ให้นางพูดอีก สตรีแซ่จางสะบัดมือเขาออกด้วยความโมโห เอ่ยด้วยน้ำเสียงอัดอั้นไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ “จือโจวก็จะสอบขุนนางเช่นกัน เหตุใดผ้าที่สกุลมู่ส่งมาจึงถูกเอาไปทำอาภรณ์ให้เพียงจิ่นซูกับจิ่นเหยียน ท่านพ่อ หากท่านยังลำเอียงเช่นนี้ ครอบครัวใหญ่ของพวกเราคงทนต่อไปไม่ได้แล้วเ้าค่ะ!”
อวี๋หรูไห่โยนตะเกียบลงบนโต๊ะด้วยใบหน้าดำทะมึน เอ่ยตำหนิ “ทะเลาะกันอีกแล้ว ทะเลาะกันวันเว้นวัน ในสายตาพวกเ้ายังมีข้าผู้เป็บิดาอยู่หรือไม่!”
สตรีแซ่จางไม่เห็นด้วย หากท่านผู้เฒ่าตักน้ำชามเดียวเสมอกัน นางจะหาเื่ใส่ตัวให้ตนต้องโมโหอย่างนั้นหรือ?
อวี๋เฉียวซานไม่คิดจะเข้าร่วมกิจการของครอบครัวสามแม้แต่นิด จือโจวได้เข้าเรียนในสำนักศึกษาระดับอำเภอก็นับว่าดีมากแล้ว ขอเพียงเด็กๆ อยู่ดี เขาไม่นึกอิจฉาที่ครอบครัวสามมีเงิน
“ร้านขายเนื้อของเ้าสามยังไม่ทันเริ่ม สะใภ้ใหญ่กลับก่อกวนเช่นนี้ นับวันชักจะทำตัวไม่เข้าท่าขึ้นเรื่อยๆ แล้ว!” สตรีแซ่อวี๋โจวเอ่ยสีหน้าเ็า “กิจการภายในครอบครัวของตนเอง มาพูดเื่เงินๆ ทองๆ อะไรกัน ภายหน้ายามจือโจวจะสอบขุนนางเซียงซื่อก็ยังต้องใช้เงินอีกมาก ในเงินส่วนกลางจะไม่มีส่วนของเขาได้อย่างไร?”
อวี๋หรูไห่หันไปเอ่ยกับอวี๋เฉียวซานด้วยใบหน้านิ่งขรึม “เ้าฟังดูสิว่าภรรยาของเ้าเอ่ยวาจาเช่นใดออกมา? ในฐานะที่เ้าเป็พี่ใหญ่ การช่วยเหลือน้องๆ ย่อมเป็เื่สมควร ครอบครัวเดียวกันควรมุ่งมั่นขยันขันแข็งไปในทางเดียวกัน ไม่ควรมีสายตาตื้นเขินเช่นนี้ วันทั้งวันเอาแต่ยุยงเื่ขี้หมูราขี้หมาแห้ง ทำลายความปรองดองภายในครอบครัว”
ไม่รอให้สตรีจางเอ่ยสิ่งใด อวี๋เฉียวซานก็เอ่ยขึ้นว่า “ท่านพ่อท่านแม่พูดถูก หากฮั่นซานยุ่งมากจน้าความช่วยเหลือก็ให้มาเรียกข้าเป็พอ” กล่าวจบก็รีบดึงมือสตรีแซ่จางพาออกไปจากห้องโถง
เมื่อกลับมาถึงเรือนฝั่งตะวันตก สตรีแซ่จางพลันเอ่ยอย่างโมโหว่า “ท่านดึงข้าออกมาทำไม? จิตใจของพ่อแม่เอนเอียงไปหมดแล้ว ท่านไม่พูดแล้วยังไม่ยอมให้ข้าพูดอีกหรือ”
“พูดให้น้อยลงหน่อยเถิด อย่าสร้างปัญหาเลย” อวี๋เฉียวซานพยายามเกลี้ยกล่อมอย่างจนปัญญา “กว่าจะส่งจือโจวไปเรียนในสำนักศึกษาระดับอำเภอก็ไม่ใช่เื่ง่ายแล้ว เ้าจะไปทะเลาะกับครอบครัวสามทำไม อย่าทำให้ท่านพ่อโกรธไปเลย ข้าไม่อิจฉาที่คนในครอบครัวสามมีกิจการ พวกเราอย่าเข้าไปยุ่งด้วยเลย”
สตรีแซ่จางน้ำตาไหลพราก เอ่ยอย่างแค้นใจในความไม่เอาไหนของสามี “ถ้าไม่ใช่เพราะนิสัยดื้อรั้นของท่าน ข้ายังต้องแก่งแย่งหรือ? ครอบครัวรองมีเมิ่งอวี๋เจียวหาเงิน ครอบครัวสามทำมาค้าขายก็มีเงินส่วนตัว มีเพียงครอบครัวใหญ่ของเราที่ไม่มีอะไรทั้งสิ้น แม้แต่อาภรณ์ตัวใหม่ก็ยังตัดไม่ได้!”
อวี๋เฉียวซานถอนหายใจเมื่อเห็นนางร่ำไห้ เขาไม่พูดอะไรอีก นิ่งเงียบปล่อยให้สตรีแซ่จางต่อว่า
เพราะสตรีแซ่จางก่อเื่บนโต๊ะอาหาร อวี๋ฮั่นซานดื่มสุราไม่ลง ไม่นานนักหลังจากทุกคนกินอิ่มจึงแยกย้ายกันไป
สตรีแซ่ซ่งเก็บชามและตะเกียบแล้วเอาไปล้างในห้องหุงต้ม ครั้นได้ยินเสียงร้องไห้ของสตรีแซ่จางดังมาจากเรือนฝั่งตะวันตก นางก็ถึงกับถอนหายใจออกมา
อวี๋เจียวเดินย่อยอาหารอยู่ในลานเรือน นางเงยหน้ามองฟ้าดวงดาวบนท้องฟ้าอย่างเหม่อลอย
อวี๋ฉี่เจ๋อเดินเข้ามาทางด้านหลังอย่างเชื่องช้า เขาแหงนหน้ามองไปตามสายตาของนางแล้วเอ่ยถาม “กำลังมองอะไรหรือ?”
“ดวงดาวกับก้อนเมฆเ้าค่ะ” อวี๋เจียวตอบกลับ ปลายนิ้วที่อยู่ใต้ชายแขนเสื้อขยับเล็กน้อยทำการคิดคำนวณ จากนั้นอดขมวดคิ้วเข้าหากันไม่ได้
อวี๋ฉี่เจ๋อพบว่านางชอบตรวจสอบท้องฟ้าเป็พิเศษ ข้อนี้ช่างคล้ายกับท่านอาจารย์ เพียงแต่ท่านอาจารย์ของเขามองท้องฟ้าแล้วสามารถกล่าวคำทำนายได้ เขาไม่คิดว่าอวี๋เจียวจะรู้วิชาลึกซึ้งในศาสตร์แห่งความลี้ลับเหล่านี้ ท้ายที่สุดคงเป็เพราะความกว้างใหญ่อันเงียบสงบและความงดงามของท้องฟ้าที่ทำให้นางรู้สึกชื่นชอบ
อวี๋ฉี่เจ๋อก้มหน้าลงมองใบหน้าเรียวเล็กสงบของอวี๋เจียว เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ได้ยินว่ายามค่ำคืนในดินแดนโม่เป่ยสามารถเอื้อมมือออกไปคว้าดาวได้ จะต้องงดงามมากเป็แน่ หากเ้าชอบ ภายหน้าพวกเราหาโอกาสไปเที่ยวเล่นที่โม่เป่ยกันดีหรือไม่”
อวี๋เจียวเก็บสายตากลับมาหลังได้ฟัง มุมปากหยักยิ้มบาง “ทางเหนือมีกลุ่มควันโดดเดี่ยวลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ทางใต้คล้ายพระอาทิตย์ลาลับลงขอบแม่น้ำฉางเหอ ชีวิตมนุษย์สั้นนัก ควรจะไปเที่ยวชมทิวทัศน์ที่อื่นบ้าง”
อวี๋ฉี่เจ๋อมองรอยยิ้มบางที่มุมปากของนางแล้วพลอยรู้สึกมีความสุขไปด้วย ความไม่สบายใจจากการทะเลาะเบาะแว้งในครอบครัวสลายหายไปจนหมด
ในแววตาของนางมีดวงดารา อาทิตย์อัสดงและสถานที่อันแสนไกล ดวงตาเป็ประกายสดใสคู่นี้ช่างทำให้ผู้อื่นลุ่มหลง
“ร่างกายของข้าไม่เป็อะไรแล้ว วันพรุ่งนี้พวกเราไปวัดฝ่าหวาเถิด” อวี๋เจียวเอ่ยขึ้น
อวี๋ฉี่เจ๋อพยักหน้า “ได้”
คนทั้งสองยืนอยู่ในลานเรือนครู่หนึ่งก่อนจะพากันกลับเข้าเรือน ครั้นเห็นสตรีแซ่ซ่งกับอวี๋ฝูหลิงกำลังเย็บฟูกนอนที่อวี๋เจียวเอาไปซัก อวี๋เจียวจึงเดินเข้าไปหยิบตะกร้าเข็มกับด้ายออกมาเพื่อช่วยพวกนางเย็บฟูกนอน ถึงฝีเย็บของนางจะบิดเบี้ยว ทว่าเป็ของใช้ในเรือนตนเอง จะเย็บปักน่าเกลียดสักหน่อยก็ไม่เป็ไร อวี๋ฝูหลิงทั้งหัวเราะและคอยสอนนางอยู่ด้านข้าง
อวี๋เมิ่งซานนั่งสานแหจับปลาอยู่ด้านข้าง ไม่กี่วันก่อนอวี๋เจียวเคยบอกไว้ว่าอยากตุ๋นปลาเพื่อบำรุงร่างกาย สตรีแซ่ซ่งไม่อาจหักใจจ่ายเงินซื้อปลาในตำบล อวี๋เมิ่งซานจึงจะไปจับปลาในลำธารตรงตีนเขาด้วยตนเอง
ครั้นได้ยินเสียงหัวเราะของคนทั้งสาม ใบหน้าดำคล้ำของเขาเริ่มแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม ภายในห้องอบอวลไปด้วยความอบอุ่น
อวี๋เจียวก้มหน้าเย็บฟูกครู่หนึ่ง ครั้นนึกไปถึงปรากฏการณ์ดวงดาวเมื่อครู่ ภายในใจเริ่มรู้สึกไม่สงบอยู่บ้าง
อวี๋ฝูหลิงเอ่ยถึงเื่ที่สตรีแซ่จางทะเลาะกับสตรีแซ่จ้าวบนโต๊ะอาหาร “ท่านปู่ลำเอียงรักครอบครัวสามเกินไปแล้ว ข้ายังรู้สึกน้อยใจแทนป้าสะใภ้ใหญ่ นายท่านสกุลมู่ส่งผ้ามาให้อวี๋เจียว ไม่เอ่ยถึงเื่ที่ครอบครัวสามเอาไป แต่ยังโอ้อวดถึงเพียงนั้น พี่จือโจวกับน้องเล็กไม่ได้ตัดชุดใหม่มาตั้งกี่ปีแล้ว”
อวี๋เจียวหวนนึกถึงชายอาภรณ์ตัวยาวที่เก่าชำรุดของอวี๋ฉี่เจ๋อ นางเอ่ยถามออกไปว่า “วันพรุ่งนี้ตอนพวกเราเดินทางไปวัดฝ่าหวาต้องผ่านตำบลหรือไม่เ้าคะ?”
อวี๋ฝูหลิงส่ายหน้า “ไม่ผ่าน หากไปทางหมู่บ้านสกุลหวังฝั่งทิศเหนือจะใกล้กว่าสักหน่อย”
อวี๋เจียวพยักหน้า นางคิดว่าหลังกลับจากวัดฝ่าหวาค่อยแวะไปซื้อผ้าในตำบล ถึงตอนนั้นค่อยซื้อหลายๆ ผืนสักหน่อย จะได้ตัดชุดใหม่ให้ครอบครัวรองคนละชุด
ถึงแม้ว่าวันนั้นนางจะฉีกตั๋วเงิน แต่ยังคงระวังอยู่บ้าง ไม่ได้ฉีกแรงจนเกินไป หลังแสดงละครเสร็จยังเอาไปสอดไว้ในตำรา หากเอาไปแลกเป็เงินในโรงแลกเงินคงไม่เป็ปัญหา
สตรีแซ่ซ่งกำชับอวี๋เมิ่งซาน “สองสามีภรรยาครอบครัวสามล้วนไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน[1] หากพวกเขาเรียกให้พวกเราช่วย ถ้าช่วยได้ก็ช่วย แต่ท่านอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการของพวกเขานะเ้าคะ”
อวี๋เมิ่งซานพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว” มือทั้งสองข้างของเขาดึงเชือกไม่กี่เส้นผูกเป็ปมอย่างคล่องแคล่วเพื่อสานตาข่าย
อวี๋เจียวเห็นมือของเขาคล่องแคล่วเช่นนี้ นางครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ฤดูร้อนปีนี้น้ำฝนมาก อีกสองเดือนจะย่างเข้าสู่ใบไม้ผลิ ทว่าฝนก็ยังไม่น้อยลง มิสู้ท่านอาเมิ่งซานกับท่านลุงใหญ่ทำร่มน้ำมันกระดาษไปขายในตำบล นับว่าเป็การค้าขายอีกอย่างหนึ่งเช่นกันเ้าค่ะ”
เมื่อครู่นางลองคำนวณจากดวงดาว คล้ายกับมีลางบอกเหตุว่าจะเกิดภัยพิบัติจากฝน ตลอดหลายวันมานี้ฝนตกหนักเกินไปจริงๆ อวี๋เจียวอดรู้สึกเป็กังวลไม่ได้ โชคดีที่หมู่บ้านชิงอวี่ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำ
อวี๋เมิ่งซานดวงตาเป็ประกายเมื่อได้ฟังคำเสนอแนะของอวี๋เจียว ร่มน้ำมันกระดาษทำไม่ยาก บริเวณตีนเขามีป่าไผ่ แค่ตัดต้นไผ่มาจักตอกกับคันร่มเป็อันใช้ได้
“แต่ว่าบนร่มยังต้องมีลวดลาย ถึงแม้ข้ากับพี่ใหญ่จะรู้หนังสือ แต่กลับไม่อาจวาดภาพ” อวี๋เมิ่งซานเอ่ยด้วยความลำบากใจ
“เื่นี้ไม่ต้องเป็กังวลขอรับ ข้ากับจือโจวช่วยได้” อวี๋ฉี่เจ๋อเอ่ยออกมา ไม่รู้ว่าเขาออกมาจากห้องด้านในั้แ่เมื่อไหร่
อวี๋เมิ่งซานไม่ค่อยเห็นด้วย “ประเดี๋ยวจะสอบขุนนางระดับเซียงซื่อแล้ว เ้าไม่อาจเสียเวลาอ่านตำรา”
อวี๋ฉี่เจ๋อเอ่ย “ไม่เป็ไรขอรับ ท่านพ่อไปถามความเห็นท่านลุงใหญ่เป็พอ”
.......
เชิงอรรถ
[1]ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน หมายถึง คนชอบสร้างปัญหาหรือรนหาเื่วุ่นวาย
