ปากว่าไม่ แต่ใจรัก

สารบัญ
ปรับตัวอักษร
ขนาดตัวอักษร
-
+
สีพื้นหลัง
A
A
A
A
A
รีเซ็ต
แชร์

บรรยากาศภายในงานสัมมนาวิชาการที่คับคั่งไปด้วยผู้คนจากหลากหลายสาขาวิชาชีพ ทั้งแพทย์ ทนาย ตำรวจ นักวิทยาศาสตร์และบุคลากรจากมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วไป ที่ต่างก็ให้ความสนใจเข้าร่วมรับฟังการสัมมนาเกี่ยวกับมาตรฐานในการตรวจพิสูจน์คดีของประเทศไทยในครั้งนี้ ทำให้หน้าห้องประชุมเนืองแน่นไปด้วยผู้คนจากทั่วทุกสารทิศ

“สวัสดีค่ะจากหน่วยงานไหนคะ” หญิงสาวที่นั่งประจำอยู่ที่โต๊ะลงทะเบียนเอ่ยถามกับสองหนุ่มที่เพิ่งเดินทางมาถึงงาน

“ตำรวจครับ” นนท์ตอบพร้อมกับยิ้มโปรยเสน่ห์ให้กับสาวตรงหน้า อีกฝ่ายยิ้มตอบก่อนจะก้มอ่านรายชื่อบนเอกสารแล้วส่งมันให้พวกเขารับไปเซ็นชื่อ

“ลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว เชิญด้านในห้องประชุมได้เลยนะคะ”

“เอ้า นั่นป้าแว่นก็มาเหรอว่ะ”

หลังจากเซ็นชื่อเสร็จ นนท์ก็ส่งต่อให้กับวิน ส่วนตัวเองมองสำรวจภายในงานจนไปสะดุดตาเข้ากับหญิงสาวคนหนึ่งที่เพิ่งลงทะเบียนเสร็จและกำลังจะเดินเข้างานไป

หญิงสาวคนนั้นสวมชุดเดรสสีหวานแล้วสวมเบลเซอร์สีเข้มทับไว้อีกที ผมยาวสลวยของเธอถูกรวบขึ้นแบบเกล้าสูงเพื่อให้ดูเรียบร้อย แว่นสายตาที่เธอใส่มาด้วย ยิ่งทำให้บุคลิกของเธอคล้ายกับผู้เชี่ยวชาญในสาขาการตรวจพิสูจน์ทางนิติเวชเป็๲อย่างมาก

“นั่นมันหมอป่าน นายไปเรียกเขาแบบนั้นได้ไง” วินมองตามก่อนแย้งเพื่อนสนิท

“ก็ดูยายนั่นเขาแต่งตัวสิ เหมาะแล้วกับชื่อนี้ ว่าแต่นายรู้จักกับเขาด้วยเหรอ” นนท์ถามด้วยความสงสัย

“เคยคุยกันตอนไปดูเขาผ่าศพ เขาก็เก่งอยู่นะ” นนท์พยักหน้า รับอย่างเห็นด้วยกับคำชมของเพื่อน

“รู้...แม่ชอบมาเล่าว่า น้านวลชอบมาพูดอวดลูกสาวให้ฟังว่า เก่งอย่างนั้น เก่งอย่างนี้ นี่เห็นว่าเ๽้าหล่อนเพิ่งกลับมาจากไปสัมมนาที่เกาหลี” ชายหนุ่มบ่นไปถึงมารดาของตนและเพื่อนของมารดา ซึ่งก็คือคุณหญิงนวลพรรณ มารดาของแพทย์หญิงปรียานันท์ วัฒนเลิศสกุล หรือหมอป่านนั่นเอง

ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายสนิทกันเพราะช่วยเหลืองานอยู่ในสมาคมเดียวกัน แถมพวกเขาก็ยังทำงานอยู่ในสายงานที่เกี่ยวพันกันอีก โดยเขาเป็๞ตำรวจฝ่ายสืบสวน

ส่วนเธอคือแพทย์นิติเวช บางครั้งงานของเขาก็ต้องอาศัยข้อมูลจากทางฝั่งของเธอมาใช้ในการสืบสวนคดีเช่นกัน แม้ว่าพวกเขาทั้งสองจะยังไม่เคยได้คุยกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่พวกเขาก็มักจะได้รับรู้ข่าวคราวของอีกฝ่ายจากการที่มารดาของพวกเขาพูดคุยแลกเปลี่ยนข่าวสารและไต่ถามสารทุกข์สุขดิบซึ่งกันและกันตามงานสังคมที่ทั้งคู่มักจะได้พบเจอกันอยู่เสมอและคอยมาเล่าให้พวกเขาฟังอีกที

คล้อยหลังหมอป่านที่เพิ่งเดินเข้าห้องสัมมนาไป นนท์ก็หยิบโทรศัพท์ที่มีสายเรียกเข้าขึ้นมากดรับ ส่วนวินก็มองสำรวจไปรอบงาน ก่อนจะเหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่ตัวเขาเองรู้สึกคุ้นตา

วันนี้เธอแต่งกายด้วยชุดสูทสีดำอย่างเป็๲ทางการ ผมที่ยาวของเธอถูกเกล้ามวยเอาไว้ หญิงสาวคนนั้นกำลังเดินมุ่งหน้าเข้างานมาพร้อมกับกลุ่มเพื่อนของเธอ ชายหนุ่มรู้สึกดีใจระคนสงสัย หรือว่าเธอเองก็ทำงานอยู่ในสายงานด้านนี้ถึงได้มาร่วมงานสัมมนาครั้งนี้เหมือนกันกับเขา

วินรู้สึกใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก แอบคิดเข้าข้างตัวเองว่า หรือนี่อาจจะเป็๞พรหมลิขิตที่ทำให้เขาได้พบเจอกับเธออีกครั้งก็เป็๞ได้ และครั้งนี้เขาบอกกับตัวเองแล้วว่า เขาจะไม่ยอมทิ้งโอกาสที่จะได้ทำความรู้จักกับเธอ

“มองอะไรอยู่ว่ะ ไอ้เตโทรมาบอกล่ะว่ามันกับพี่ปกรณ์ถึงงานแล้ว ให้พวกเราลงไปรอรับ” นนท์พูดพร้อมมองไปยังทิศทางที่วินยืนมองอยู่ก่อนแล้ว

“อ้าว สาวคนนั้นนี่หว่า มางานนี้ด้วยเหรอว่ะ สรุปเขาทำงานอะไรกันแน่เนี่ย กูนึกว่าเป็๞เด็กที่ร้านของพี่กวีเสียอีก”

“มึงลงไปรับพี่ปกรณ์กับเตเองแล้วกัน กูขอรออยู่แถวนี้แหละ” ปากพูดกับเพื่อน แต่สายตาเฝ้าจับจ้องอยู่แต่กับหญิงสาวคนนั้นไม่วางตา ประหนึ่งว่าถ้าคลาดสายตาไปเพียงนิดเดียวเธออาจจะหายตัวไป

“ตามใจมึง” นนท์เดินตรงไปทางบันไดเลื่อนก่อนแอบยิ้มที่มุมปาก ทำไมเขาจะไม่รู้เหตุผลที่เพื่อนสนิทของเขาไม่ยอมเดินไปรับนายด้วยกัน เหมือนฟ้าจะเป็๞ใจ ทำให้มันได้เจอกับสาวคนนั้นถึงสองวันติดกัน

บางทีงานนี้เพื่อนของเขาอาจจะได้ละทิ้งความโสดก็เป็๲ได้ หลังจากที่มันไม่คิดจะมีใครและทำตัวเป็๲เพลย์บอยมาถึงสามปี อยู่ที่ว่ามันจะรวบรวมความกล้าบุกเข้าไปทำความรู้จักกับหญิงสาวคนนั้นเมื่อไหร่ ซึ่งในงานวันนี้เขาก็แอบลุ้นในใจไว้เหมือนกันว่า...น่าจะมีหวัง

นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้