“จริงด้วย คุณหนูใหญ่สกุลไป๋ทำตัวร้ายกาจอยู่ในจวนสกุลไป๋ทุกวี่ทุกวัน จะยิงธนูเป็ได้อย่างไร?”
เมื่อมีคนตั้งคำถามขึ้นมา สีหน้าของโหยวพิงถิงก็ฉาบไว้ด้วยความรู้สึกผิดอย่างจริงใจทันที
“ขออภัยเ้าค่ะพี่สะใภ้ ข้าพูดผิดเสียแล้ว”
ไป๋เซี่ยเหอส่ายศีรษะอย่างไม่ใส่ใจ นางส่งคันธนูให้องครักษ์ จากนั้นก็ปรี่ไปตรงหน้าของฮั่วเยี่ยนไหวโดยไม่สนใจเสียงตั้งคำถามเ่าั้
“เป็อย่างไรเพคะ?”
ฮั่วเยี่ยนไหวยกจอกสุราตรงหน้าขึ้นมาด้วยท่วงท่าสง่างาม “พอใช้ได้!”
สิ้นเสียงของเขา ทุกคนในงานเลี้ยงต่างเงียบลงชั่วครู่
ต่อมาพวกเขาก็เข้าใจทันที ที่แท้เซ่อเจิ้งอ๋องเป็ผู้สอนนี่เอง เช่นนั้นก็ไม่น่าแปลกใจ ผู้ใดไม่รู้บ้างว่ายามเซ่อเจิ้งอ๋องเข้าสู่สนามรบเมื่อปีนั้น สิ่งที่เขาเชี่ยวชาญที่สุดคือการยิงลูกธนูสิบดอกพร้อมกัน ทุกดอกล้วนเข้าเป้าอย่างแม่นยำ!
ทว่า...
เซ่อเจิ้งอ๋องสอนไป๋เซี่ยเหอั้แ่เมื่อไรกัน?
ทักษะเช่นนี้ไม่อาจฝึกฝนได้ภายในวันสองวันเป็แน่
ทว่าก่อนหน้านี้คุณหนูใหญ่สกุลไป๋เป็คู่หมั้นของไท่จื่อไม่ใช่หรือ?
เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วก็ไม่กล้าคิดต่อ
ความสัมพันธ์ช่างยุ่งเหยิงนัก!
สีหน้าของฮั่วิเชินหมองคล้ำ จอกที่กำอยู่ในมือส่งเสียง ‘กร๊อบ’ เบาๆ ก่อนจะแตกออก
สุราในจอกไหลออกมาตามรอยแตก มันไหลไปตามง่ามนิ้วก่อนจะนองอยู่บนพื้น
ไป๋เซี่ยเหอมุ่นคิ้วโดยไม่ได้สนใจท่าทีกังขาของทุกคน นางนั่งลงข้างกายของฮั่วเยี่ยนไหวอย่างเป็ธรรมชาติ โดยนั่งใกล้เขามากขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
“อย่าลืมคำสัญญาของท่านเสียเล่า”
“ย่อมได้”
ภาพการกระซิบกระซาบของทั้งสองตกอยู่ในสายตาของผู้คน และเป็สิ่งยืนยันว่าพวกเขารู้จักกันมานานแล้ว
โหยวพิงถิงกำมือแน่น ก่อนจะนั่งลงในตำแหน่งเดิมของตนเองด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มบางๆ “พี่สะใภ้เก่งกาจจริงๆ เ้าค่ะ”
จากนั้นนางก็หันไปมองฮั่วเยี่ยนไหวที่ดูหล่อเหลาและสง่างาม “พี่ชาย...เซ่อเจิ้งอ๋องทรงสอนพี่สะใภ้ได้ดีจริงๆ เพคะ”
“อืม”
น้ำเสียงของฮั่วเยี่ยนไหวเฉยเมยไม่บ่งบอกอารมณ์ ทว่ากลับเป็การยอมรับกลายๆ ว่าเขาเป็คนสอนไป๋เซี่ยเหอยิงธนู
การยอมรับของเขาเพียงพอให้ไป๋เซี่ยเหอหลุดพ้นจากความยุ่งยาก
“ท่านอ๋องกับพี่สะใภ้ช่างหวานชื่นกันเสียจริงเพคะ”
ไป๋เซี่ยเหอหันไปมองโหยวพิงถิงด้วยสายตาเฉียบคม ทว่ากลับพบเพียงแววตาที่ชื่นชมและใสบริสุทธิ์เท่านั้น
ไป๋เซี่ยเหอจึงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “วันหน้าเ้าก็จะได้พบกับบุรุษที่รักและทะนุถนอมเ้าเช่นกัน”
เมื่อโหยวพิงถิงได้ฟังถ้อยคำนี้ ก็มีท่าทีโศกเศร้าในทันใด
“บนโลกนี้ไม่มีบุรุษที่รักและทะนุถนอมข้ามากที่สุดอีกแล้วเ้าค่ะ”
ฮั่วเยี่ยนไหวที่นั่งอยู่ข้างๆ ตัวแข็งทื่อ เขามีท่าทีเซื่องซึมและไม่พูดไม่จาใดๆ
ทันทีที่งานเลี้ยงจบลง
ไป๋เซี่ยเหอเดินตามหลังฮั่วเยี่ยนไหวไปและกล่าวขอบคุณ
นางไม่ได้เอ่ยอย่างชัดเจนว่าขอบคุณเื่ใด ทว่าทั้งสองต่างรู้ว่าเป็เื่ของเซี่ยถิง
ฮั่วเยี่ยนไหวชะงักฝีเท้า เขาไม่ได้เอ่ยอะไร และจากไปทันที
“คุณหนู เซ่อเจิ้งอ๋องเป็อะไรหรือเ้าคะ?”
ฝูเอ๋อร์ที่เมื่อครู่ไม่กล้าส่งเสียงกลับถามขึ้นด้วยความระมัดระวัง นางสังเกตเห็นว่าอารมณ์ของฮั่วเยี่ยนไหวดูคล้ายจมดิ่งลง
“ฝูเอ๋อร์ เ้าคิดว่าอันหนิงจวิ้นจู่เป็อย่างไร?”
ฝูเอ๋อร์ครุ่นคิด “บ่าวรู้สึกว่าอันหนิงจวิ้นจู่งดงามและน่าสงสารมากเ้าค่ะ”
“ถูกต้อง น่าสงสาร...”
เมื่อกลับถึงจวน ไป๋เซี่ยเหอก็รินสุราดอกท้ออุ่นๆ ใส่จอกและยกขึ้นจิบ
“เซี่ยถิง เ้ารู้ความเป็มาของกริชเล่มนั้นหรือไม่?”
เซี่ยถิงเดินเข้ามาจากด้านนอก เขาคารวะไป๋เซี่ยเหอด้วยความเคารพ จากนั้นก็เล่าในสิ่งที่ตนเองรู้ทั้งหมด
“เ้าบอกว่ากริชเล่มนั้นฮั่วเยี่ยนไหวเป็คนทำขึ้น แล้วมอบให้แม่ทัพเวยอู่อย่างนั้นหรือ?”
เช่นนั้นก็ไม่น่าแปลกใจที่เขามีท่าทีเช่นนั้น
ว่ากันว่าหลังจากาครั้งนั้น มีคนนำศพของแม่ทัพเวยอู่กลับเมือง เกราะของเขาพังยับเยิน ร่างกายมีร่องรอยถูกแทงทั้งตัว ทว่ากริชกลับถูกเก็บรักษาในสภาพสมบูรณ์
“ขอรับ ว่ากันว่าเซ่อเจิ้งอ๋องกับแม่ทัพเวยอู่มีความสัมพันธ์อันดีอย่างยิ่ง เป็ทั้งอาจารย์ทั้งสหายขอรับ”
ทว่าอันหนิงจวิ้นจู่คือทายาทเพียงหนึ่งเดียวของแม่ทัพเวยอู่
เซี่ยถิงไม่ได้เอ่ยถ้อยคำนี้ออกไป
“คุณหนู เช่นนั้นหากท่านอ๋องอภิเษกสมรสกับอันหนิงจวิ้นจู่ ท่านจะทำ...”
ฝูเอ๋อร์ยังพูดไม่ทันจบประโยค ก็ถูกเซี่ยถิงที่อยู่ข้างกายกระทุ้งศอกใส่อย่างแรง
เซี่ยถิงรู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย ไม่เห็นหรือไรว่านายท่านไม่สบอารมณ์? เหตุใดถึงยังพูดเื่นี้อีก?
ยามดึก
เป็เวลาที่จวนสกุลไป๋ตกอยู่ในความเงียบสงัด
ประตูของเรือนสุ่ยฉิงได้เปิดออก
“นายท่าน”
เซี่ยถิงปรากฏกายในเวลาที่สมควร เขาดูประหลาดใจเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด
“ไปกันเถิด ไปดูเรือนที่จิ่วหานเตรียมเอาไว้กัน”
เรือนถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยมาสองสามวันแล้ว เพียงแต่นางไม่ว่างไปดูเท่านั้นเอง ถือโอกาสที่วันนี้นอนไม่หลับพอดีไปเยือนสักครา
เพื่อที่จะหลบเลี่ยงสายตาของผู้คน เรือนหลังนั้นจึงไม่ได้ตั้งอยู่ใจกลางของถนนอันพลุกพล่านในเมืองหลวง มันอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย
‘ก๊อกๆๆๆ’
หลังเสียงเคาะประตูเป็จังหวะดังขึ้น จิ่วหานก็เปิดประตูจากข้างในพร้อมกับหาวทีหนึ่ง
“เข้ามานั่งสิขอรับ”
ไป๋เซี่ยเหอตรงเข้ามาในเรือนโดยไม่ชายตามองสิ่งใด ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เรียกคนออกมาให้หมด”
นี่คือสิ่งที่นางเคยสั่งไว้ในจดหมาย กล่าวคือ หลังจากเรือนสร้างเสร็จแล้ว ให้พาตัวขอทานเด็กจำนวนหนึ่งเข้ามาอาศัยอยู่ที่นี่ โดยบอกพวกเขาเพียงว่าให้ฝึกซ้อมเพื่อเป็องครักษ์ของคุณชายคุณหนูแห่งจวนขุนนาง
ตอนนี้มีเด็กประมาณสามสิบกว่าคนเป็อย่างน้อย
“ขอรับ”
สีหน้าของจิ่วหานดูจริงจัง เขาหมุนกายเข้าไปในลานอันมืดมิด
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป
เด็กอายุระหว่างแปดถึงสิบสองปีจำนวนสามสิบเก้าคนก็ยืนอยู่ภายในลาน
แม้ว่าพวกเขาจะมีรูปร่างผอมบางอย่างยิ่ง ทว่ากลับดูกระปรี้กระเปร่า เห็นได้ชัดว่าใช้ชีวิตเป็อย่างดีใน่หลายวันมานี้
“เหตุใดถึงเรียกพวกเราออกมาดึกดื่นป่านนี้?”
“ถูกต้อง ข้าทั้งง่วงทั้งหนาว”
ยืนไม่เรียบร้อย พูดจาไร้สาระ ไม่มีความเป็ระเบียบแม้แต่น้อย
นี่คือความประทับใจแรกที่ไป๋เซี่ยเหอมีต่อเด็กเหล่านี้
แย่! แย่มาก!
ไป๋เซี่ยเหอนั่งจิบชาอยู่ในเรือน นางเชิดหน้ามองเด็กเ่าั้ที่ยืนอยู่ในลานโดยไม่เอ่ยวาจา หมอกสีขาวที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือถ้วยชาได้บดบังแววตาของนาง ทำให้ผู้คนไม่อาจรู้ได้ว่านางรู้สึกอย่างไร
ใบหน้าของจิ่วหานฉาบไว้ด้วยความจนปัญญาเช่นเดียวกัน เด็กพวกนี้อกตัญญูเสียจริง ถึงแม้จะรับพวกเขามาอาศัยอยู่ในเรือนหลังนี้หลายวันแล้ว ทว่านายท่านไม่ได้สั่งให้เขาทำสิ่งใด เขาจึงไม่ได้ทำอะไร
ทำให้เด็กเหลือขอพวกนี้ได้ผลประโยชน์ กินอิ่มนอนหลับทุกวัน นับว่าเป็การเลี้ยงดูให้ท้ายจนเคยตัวเสียแล้ว
จิ่วหานมองเด็กที่สวมเสื้อคลุมหนาเตอะทว่ายังบ่นว่าหนาว เขาจำได้ว่ายามที่เด็กผู้นี้เพิ่งมาถึงที่นี่ อีกฝ่ายสวมเพียงเสื้อบางๆ ตัวเดียวเท่านั้น ทั้งยังขาดวิ่นเสียจนไม่อาจห่อหุ้มร่างกายได้
“พี่จิ่ว สตรีที่อยู่ข้างบนคือผู้ใดหรือขอรับ? งดงามนัก”
จนถึงตอนนี้เพิ่งจะมีคนสนใจการมีอยู่ของไป๋เซี่ยเหอ
“อ๊าก!”
เสียงกรีดร้องดังขึ้น
เด็กที่กล่าววาจาจาบจ้วงไป๋เซี่ยเหอกลับเอามือปิดปากตนเองด้วยใบหน้าหวาดผวา เืสีแดงฉานไหลทะลักออกมาตามง่ามนิ้วของเขาอย่างไม่ขาดสาย แทบเท้าของเขามีเศษลิ้นชิ้นเล็กๆ ตกอยู่
“ฆ่าคนแล้ว”
“ช่วยด้วย ฆ่าคนแล้ว”
ความวุ่นวายเกิดขึ้นทันที เด็กๆ ส่งเสียงดังเอะอะขึ้นมา
“หากยังส่งเสียงเอะอะอีกก็ไสหัวไปประเดี๋ยวนี้!”
เสียงของไป๋เซี่ยเหอไม่ดังนัก ทว่าแฝงไว้ด้วยอำนาจ
ภายในลานเงียบลงอย่างรวดเร็ว เด็กๆ ต่างพากันตัวสั่นงันงก
“นายท่านจะจัดการเด็กผู้นี้อย่างไรขอรับ?”
รูม่านตาของทุกคนขยายใหญ่ ที่แท้สตรีที่ไร้เหตุผลและงดงามนางนั้นคือเ้านายของพวกเขานั่นเอง
การพูดจาดูิ่เ้านายต่อหน้าสาธารณชนนั้น...
“โยนเขาออกไป”
“อย่าขอรับ ข้าผิดไปแล้ว อย่าโยนข้าออกไปนะขอรับ” เมื่อเสียลิ้นไปซีกเล็กๆ ซีกหนึ่ง เขาจึงพูดได้ไม่คล่องนัก ทว่าตอนนี้เขากลัวว่าตนเองจะถูกโยนออกไปเสียยิ่งกว่า
เขาไม่้ากลับไปใช้ชีวิตอย่างขอทานที่อดมื้อกินมื้อ และไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ยามเหมันตฤดูอีกแล้ว
ไหนเลยจะมีความสุขเช่นตอนนี้
ขอเพียงอยู่ที่นี่ต่อไปได้ ต่อให้ถูกตัดลิ้นอีกส่วนก็ไม่มีปัญหา
เพียงแต่ไม่มีผู้ใดสนใจคำพูดของเขา จิ่วหานสั่งให้คนหิ้วตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
ไป๋เซี่ยเหอวางถ้วยชาในมือลง ก่อนจะเดินนวยนาดไปที่หน้าประตูแล้วเอนกายพิงกรอบประตู
นิ้วชี้อันเรียวบางและขาวผ่องชี้ไปยังเด็กจำนวนสิบสองคน
“นอกจากพวกเขาสิบสองคนแล้ว ที่เหลือออกไปให้หมด”
------------------------
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้