“นี่มันเื่อะไรกัน เฒ่าเจิง เ้าจะลอบกัดเช่นนี้ไม่ได้ ยืมมือลูกศิษย์ข้าเล่นงานตระกูลหนานกง เ้ากำลังคิดจะใช้ข้ออ้างนี้ ทำให้สำนักบริบาลเดรัจฉานของข้าขัดแย้งกับตระกูลหนานกงใช่หรือไม่?” เลวี่ยเหวินซิวเพิ่มให้อีกคำถามหนึ่ง
เจิงฉู่ไฉปากอ้าๆ หุบๆ แต่กลับพูดไม่ออก นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ขนาดตัวเขาเองก็ยังไม่ทราบ สัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวเมื่อครู่ยังดีๆ อยู่ พลันทรยศหนีไปอย่างกะทันหัน นั่นเป็สัตว์อสูรพาหนะระดับราชันาขั้นสูงสุดเชียวนะ จะบอกว่าถูกจ้านอู๋มิ่งปราบจนเชื่องในเวลาอันสั้นเช่นนั้นหรือ ผีสางตนใดจึงจะเชื่อ ขนาดตนเองก็ยังมิยอมเชื่อ แต่อธิบายกับหนานกงเจี้ยนเซ่อจะมีประโยชน์อันใด? เจิงฉู่ไฉกระอักโลหิตที่ย้อนขึ้นออกมาคำหนึ่ง หลังจากตนได้พบกับจ้านอู๋มิ่งทุกอย่างก็แปรเปลี่ยนเป็ไม่ราบรื่นขึ้นมาแล้ว
“อาววว…” เื่ของสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวยังไม่ทันจางหาย เยี่ยนซานตั้งระงมด้วยเสียงคำรามเสียงยาวของสัตว์อสูรจิติญญา จากนั้นเสียงกรีดร้องและอุทานอย่างใเริ่มดังขรม ไม่เพียงเจิงฉู่ไฉตะลึง แต่ละสำนักนิกายหลักและอัจฉริยะจากสถานที่ต่างๆ ทั่วแผ่นดินใหญ่ก็ตกตะลึงเช่นกัน เพราะสัตว์อสูรทุกตัวที่ขี่มาล้วนพยศแล้ว แม้แต่สัตว์อสูรวิหคกระจอกสีขาวและสัตว์อสูรกีบเท้าดำที่เทียมเกวียน ซึ่งเป็สัตว์อสูรนิสัยอ่อนโยนเสมอมา ก็เข้าร่วมพยศด้วย
สัตว์อสูรพุ่งชนไปรอบๆ บนเยี่ยนซานตั้งมีเงาคนวิ่งพรวดพราดไปมา ที่โชคดีคืออัจฉริยะที่กำลังทะลวงด่านแสวงหาความก้าวหน้า ไม่จำเป็ต้องใช้เวลามากเกินไปในการบรรลุระดับขั้น หากเป็การทะลวงด่านจากปรมาจารย์นักยุทธ์เพื่อบรรลุราชันาก็คงจะต้องโชคร้ายแล้ว เพราะใช้เวลานานเกินไป ยังไม่ทันตั้งสติกลับคืนมาจากการนั่งสมาธิ ก็ถูกสัตว์อสูรของตนเองเตะด้วยกีบเท้าจนธาตุไฟแทรกแล้ว
สัตว์พาหนะที่สำนักิญญาเร้นลับ สำนักิญญา์ สำนักเบญจพิษและสำนักอื่นๆ พากันโกลาหลไปหมด โดยเฉพาะสัตว์พาหนะของสัตว์ประหลาดเฒ่าเ่าั้ อย่างน้อยก็เป็พาหนะสัตว์อสูรราชันาระดับสูงสุด ยามนี้พออาละวาดวุ่นวายขึ้นมา ลูกศิษย์ที่อยู่รอบๆ ต่างก็รับเคราะห์อย่างกะทันหัน
ลูกศิษย์ของสำนักกระบี่ิญญานั้นย่ำแย่ที่สุด นอกจากสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวที่ช่วยเหลือจ้านอู๋มิ่งหนีไปแล้ว พาหนะของจักรพรรดิาอีกสองคนก็ล้วนเป็ราชันาระดับสูงสุดเช่นกัน ผู้าุโจักรพรรดิาสองคนของสำนักกระบี่ิญญากำลังเผชิญหน้า คุมเชิงอยู่กับพวกผู้าุโของสำนักบริบาลเดรัจฉาน จะมีโอกาสมาดูแลพาหนะสัตว์อสูรของตนเองได้อย่างไร เพียงครู่เดียว พวกอัจฉริยะเ่าั้ที่เพิ่งรับเข้ามาและลูกศิษย์ระดับราชันาของเจิงฉู่ไฉก็เสียชีวิตไปแล้วห้าหรือหกคน
หนานกงเจี้ยนเซ่อและหนานกงพั่วไฮว่ก็ร้อนรนเช่นกัน พาหนะของพวกตนก็เป็สัตว์อสูรระดับราชันาระดับกลางเช่นกัน นี่เป็ของดีที่พวกเขาทุ่มเททั้งกำลังกายและใจไปมิน้อยกว่าจะได้มา ขณะที่สัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวห้อตะบึงไปอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาก็คิดจะขี่สัตว์อสูรพาหนะออกตามไล่ล่าจ้านอู๋มิ่งเช่นกัน แต่ตีให้ตายสัตว์อสูรพาหนะก็ไม่ยอมเชื่อฟัง ยังเกิดพยศขึ้นมา พาะโขึ้นลง ดีที่ด้วยพลังบ่มเพาะของพวกเขา การกำราบสัตว์อสูรระดับราชันาระดับกลางก็ยังทำได้ง่ายอยู่ แต่พอเสียเวลาเพราะความล่าช้านี้ จ้านอู๋มิ่งก็ได้หนีไกลแล้ว
สำนักบริบาลเดรัจฉานถือว่าโชคดีที่สุด เนื่องจากการเลี้ยงสัตว์อสูรของแผ่นดินนี้ ฝีมือของพวกเขานับได้ว่าเป็ระดับบรรพบุรุษแล้ว ขวดโถที่จ้านอู๋มิ่งขว้างขึ้นไปะเิบนฟ้า พอกลิ่นอายกระจายออกมา สีหน้าของพวกเขาก็แปรเปลี่ยน สำนักเชี่ยวชาญกับนิสัยของสัตว์อสูรยิ่งนัก และก็คุ้นเคยกับตัวยาบางชนิดที่ไปรบกวนอารมณ์ของสัตว์อสูรเป็อย่างดี
จ้านอู๋มิ่งกลับมีผงหอมรบกวนจิตสมาธิฟ้าบกพร่องอยู่ในมือมากมายเช่นนี้ ของสิ่งนี้สามารถทำให้อารมณ์สัตว์อสูรสับสน กลับคืนสู่สันดานดิบ ถ้าสัตว์อสูรพาหนะเ่าั้ได้กลิ่นหอมชนิดนี้ สัตว์อสูรระดับห้าลงมาจะแปรเปลี่ยนหวนคืนสันดานดิบในชั่วพริบตา อานุภาพของสิ่งนี้ สำหรับในวันนี้ไม่ต่างจากความหายนะ มีหลายคนจากแต่ละสำนักนิกายหลักที่ไม่ได้ขี่สัตว์อสูรมา ต่อให้ไม่ได้ขี่สัตว์อสูรมาก็ต้องนั่งรถเทียมสัตว์อสูรมาเช่นกัน
เหล่าอัจฉริยะมาจากที่ต่างๆ ทั่วทั้งแผ่นดิน ล้วนแต่เป็แก้วตาดวงใจของบิดามารดา เดินทางไกลมาถึงแคว้นหนานเจาจะไม่ให้ขี่สัตว์อสูรได้หรือ? สัตว์อสูรจำนวนมากหวนคืนสัญชาตญาณในเวลาเดียวกัน จึงกลายเป็ความโกลาหลแล้ว
โชคดีที่สำนักบริบาลเดรัจฉานเป็ผู้เชี่ยวชาญในการเลี้ยงสัตว์อสูร กลิ่นอายนั้นพอแผ่ขยายไปถึงสำนักบริบาลเดรัจฉาน พวกเขาก็รีบป้อนยาแก้พิษให้กับสัตว์อสูรของพวกเขาทันที สัตว์อสูรของพวกเขาจึงไม่ได้เข้าร่วมก่อความวุ่นวาย
ยามนี้ทุกคนจึงได้เข้าใจ วิธีการของจ้านอู๋มิ่งเมื่อครู่เป็การชักฟืนออกจากใต้เตานั่นเอง ทำให้สำนักกระบี่ิญญาเกิดความระส่ำระสาย ไม่มีเวลาไปขัดขวางสำนักบริบาลเดรัจฉาน แบบนี้สำนักบริบาลเดรัจฉานก็สามารถไปช่วยเขาแล้ว
ทุกคนล้วนไม่เข้าใจ ไฉนสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวไม่เกิดอาการบ้าคลั่ง แต่ว่ากลับทรยศและวิ่งหนีไป? จ้านอู๋มิ่งร่ายเวทมนตร์อะไรใส่มัน? แม้แต่เจิงฉู่ไฉก็ยังงงงัน ทำความเข้าใจมิได้
สัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวกับจ้านอู๋มิ่งแค่เคยพบหน้ากันเพียงครั้งเดียว ก็คือในคืนนั้น เจิงฉู่ไฉไม่อยากจะเชื่อจริงๆ เห็นหน้าเพียงครั้งเดียว จ้านอู๋มิ่งกลับสามารถทำให้สัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวทรยศและหนีไป ก่อนจากไปยังพุ่งชนใส่หนานกงเจี้ยนเซ่ออย่างรุนแรงอีกด้วย
หนานกงเจี้ยนเซ่อและหนานกงพั่วไฮว่เดือดดาลแล้ว ไม่เคยเจอเื่ไร้สาระเช่นนี้มาก่อน พวกมันฆ่าสัตว์อสูรพาหนะที่ไม่เชื่อฟังของตนเองโดยไม่ลังเล ติดตามไล่ล่าไปยังทิศทางที่จ้านอู๋มิ่งหายตัวไปราวสายลม ตระกูลหนานกงมีชื่อเสียงเื่ความเร็วเสมอมา ถึงแม้สัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวจะแข็งแกร่งสุดเปรียบปาน แต่มันไม่ใช่สัตว์อสูรที่มีชื่อเสียงด้านความเร็ว กลับขึ้นชื่อเื่ความแข็งแกร่งของเนื้อหนังและพลังอันมหาศาล
หากพวกเขาพยายามติดตามสุดกำลัง ด้วยฐานบ่มเพาะจักรพรรดิาของ เชื่อว่าสามารถติดตามจ้านอู๋มิ่งทันในระยะเวลาสั้นๆ แต่หากเป็วิ่งแข่งระยะไกล มนุษย์ไม่สามารถมีความทรหดเทียบเท่าสัตว์อสูรพาหนะขับขี่ได้ หนานกงเจี้ยนเซ่อและหนานกงพั่วไฮว่บันดาลโทสะจนบ้าคลั่งไปแล้ว ต่อให้พวกมันยอมละทิ้งสัตว์พาหนะไป อย่างไรก็ต้องติดตามไล่ล่าฆ่าจ้านอู๋มิ่งให้ได้ มิฉะนั้นจ้านอู๋มิ่งก็จะกลายเป็จิตมารของพวกเขา หากไม่ฆ่าเขาเสีย ในอนาคตขอบเขตจิตใจพวกตนบนเส้นทางการบ่มเพาะย่อมไม่สามารถบรรลุความสมบูรณ์ได้อีกต่อไปแล้ว
เลวี่ยเหวินซิวใจหล่นวูบ พอคิดจะไล่ติดตามไป กลับถูกเจิงฉู่ไฉพัวพันอยู่ สัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวของเจิงฉู่ไฉหนีไปแล้ว ผู้ใดกล้าพูดว่าสำนักบริบาลเดรัจฉานไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย? มันไม่เชื่อเด็ดขาดว่าจ้านอู๋มิ่งจะมีความสามารถในการฝึกฝนสัตว์อสูรร้ายกาจถึงเพียงนี้ แต่กลับไม่เข้าใจจริงๆ สัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวตัวนี้เป็สัตว์อสูรที่เขาแย่งมาจากมือของเลวี่ยเหวินซิวในปีนั้น ด้วยความสามารถของเลวี่ยเหวินซิวยังไม่สามารถแย่งสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวกลับไป จ้านอู๋มิ่งที่เป็ปรมาจารย์นักยุทธ์เล็กๆ ผู้หนึ่งใช้วิธีการใดกันแน่? ยามนี้ความเกลียดชังที่มันมีต่อจ้านอู๋มิ่ง ดุจดั่งสายน้ำเชี่ยวกรากของแม่น้ำเลยทีเดียว ไหนเลยจะยอมให้เลวี่ยเหวินซิวไปช่วยจ้านอู๋มิ่งอีก
สำนักกระบี่ิญญามอบให้จักรพรรดิาผู้หนึ่งไปกำราบสัตว์อสูรพาหนะที่บ้าคลั่ง สำนักบริบาลเดรัจฉานได้แต่ให้คนอ้วนเตี้ยไปช่วยจ้านอู๋มิ่ง เสียดายที่ความเร็วของเขาเปรียบเทียบกับหนานกงเจี้ยนเซ่อและหนานกงพั่วไฮว่แล้ว ต่างกันจนสุดกู่ เลวี่ยเหวินซิวยังคงถอนหายใจด้วยความโล่งอก กู่เสียงยาวไปไกลๆ คราหนึ่ง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงวัวร้องเสียงต่ำแว่วมาแต่ไกล
ใบหน้าของเลวี่ยเหวินซิวปรากฏรอยยิ้มขึ้นวูบหนึ่ง เฝ้ามองเจิงฉู่ไฉไว้ เขาก็คร้านที่จะลงมือกับเจิงฉู่ไฉ ต่างก็คุมเชิงกันอยู่เช่นนี้เอง มีกระทิงเขียวของตนและศิษย์น้องเจ็ดติดตามไป จ้านอู๋มิ่งสมควรจะไม่เกิดปัญหาร้ายแรงขึ้น
อย่าว่าแต่จ้านอู๋มิ่งยังมีสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวตัวหนึ่ง เขาก็แปลกใจมากเช่นกัน จ้านอู๋มิ่งเข้ากับสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวนั้นได้อย่างไร นั่นคือสัตว์อสูรจิติญญาที่ถูกเจิงฉู่ไฉฝึกจนเชื่องแล้ว แม้แต่เขาเองก็มิสามารถทำให้สัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวทรยศหนีไปได้ มิฉะนั้นเขาคงจัดการแก้แค้นไปเนิ่นนานแล้วที่ในปีนั้นสัตว์อสูรจิติญญาตัวนี้ถูกเจิงฉู่ไฉใช้กลอุบายแย่งเอาไป
ในอนาคตจะต้องค่อยๆ เลียบเคียงถามจ้านอู๋มิ่งดูสักหน่อย ลูกศิษย์คนนี้ที่ยังไม่ได้เข้าสำนักอย่างเป็ทางการกลับทำเื่ให้ตนประหลาดใจมิน้อยเลยจริงๆ เขาแทบจะเกิดมาก็เพื่อเป็คนของสำนักบริบาลเดรัจฉาน ยังมิทันได้เข้าสำนักก็เล่นงานจนกระทั่งสัตว์อสูรหัวหมุนวุ่นวายไปหมดแล้ว สีเขียวมาจากสีน้ำเงินแต่สวยงามกว่าสีน้ำเงิน[1]! คิดถึงตรงนี้สีหน้าเลวี่ยเหวินซิวก็รู้สึกละอายขึ้นมาบ้างแล้ว อันใดเรียกว่ามาจากสีน้ำเงิน ตนเองยังมิเคยสอนอะไรเขาเลยนะ จะพูดว่ามาจากสีน้ำเงินได้อย่างไรเล่า จ้านอู๋มิ่งเดิมก็เป็สีเขียวอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวอะไรกับตนแม้แต่น้อย อย่างนี้จึงจะเรียกว่าอัจฉริยะโดยกำเนิด!
เปิดประตูสำนักออกไหว้คารวะอาจารย์ รับเป็ศิษย์ของสำนักอย่างเป็ทางการ การตัดสินใจของตนจะต้องได้รับความชื่นชมยินดีจากเหล่าบรรดาบรรพบุรุษอย่างแน่นอน
เลวี่ยเหวินซิวจ้องมองเจิงฉู่ไฉและครุ่นคิดอย่างมีความสุข
……
จ้านอู๋มิ่งรู้ว่าไม่สามารถสลัดจากการตามไล่ล่าของจักรพรรดิาได้ง่ายดายเพียงนั้น ชีพจรสายเืของสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวนั้นสูงส่งยิ่ง สุดยอดที่สุดในเหล่าบรรดาสัตว์อสูร แต่มันไม่ใช่สัตว์อสูรประเภทเ้าแห่งความเร็ว
หลังจากที่ถูกทำให้เชื่องแล้ว โดยทั่วไปสัตว์อสูรก็สามารถควบคุมสัญชาตญาณของสัตว์ป่าได้ ผู้คนเรียกสัตว์อสูรชนิดนี้ว่าสัตว์อสูรจิติญญา พลังแฝงของสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวมีศักยภาพสูงยิ่งนัก ตำนานเล่าขานว่าสัตว์อสูรชนิดนี้สามารถทะลวงถึงระดับเก้ากลายเป็เทพเ้าสัตว์อสูร แต่จำนวนน้อยมากและหายากยิ่งนัก ดังนั้นตอนที่เขาเห็นเจิงฉู่ไฉถึงกับมีสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวตัวหนึ่งจริงๆ เขาจึงอิจฉายิ่งนัก
แต่ผู้อื่นคือจักรพรรดิา ช่องว่างระหว่างขอบเขตแตกต่างกันมากเกินไป แย่งมาย่อมทำไม่ได้อยู่แล้ว แต่ว่าเขาไม่คิดจะถอดใจยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนั้น จ้านอู๋มิ่งในชาติภพที่แล้วเข้าใจสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวเป็อย่างดี สัตว์อสูรจิติญญาตัวนี้มอบให้เจิงฉู่ไฉเป็การเสียของเปล่าๆ หากอยู่ในมือของจ้านอู๋มิ่งเกรงว่าจะทะลวงผ่านจากขอบเขตสี่ บรรลุขอบเขตห้าไปเนิ่นนานแล้ว
รออยู่หนึ่งวันในเมืองหนานเจา จ้านอู๋มิ่งไม่ได้ปล่อยให้เวลาผ่านไปเปล่าๆ เขาเห็นหญ้าเกล็ดเขียวเก้าใบต้นหนึ่งในหอสมบัติล้ำค่า ต้นหญ้านี้เป็หญ้าิญญาระดับหกที่หายากยิ่งนัก หญ้าชนิดนี้ไม่ค่อยมีประโยชน์อะไรมากมายนักในสายตานักหลอมโอสถหลายๆ คน เนื่องจากมีสมุนไพริญญาระดับห้าจำนวนมากสามารถทดแทนสรรพคุณทางยาของมันได้ แต่ราคาหญ้าิญญาระดับหกต้นหนึ่งสามารถซื้อหญ้าิญญาระดับห้าได้มากถึงสิบต้นเลยทีเดียว
ดังนั้นแทบจะมิมีผู้ใดสนใจหญ้าเกล็ดเขียวเก้าใบต้นนี้เลย จ้านอู๋มิ่งกระจ่างแจ้งถึงเหตุผลที่มิมีผู้ใดสนใจหญ้าเกล็ดเขียวเก้าใบ เพราะมีโอสถสมุนไพรชนิดหนึ่งที่นักหลอมโอสถท่านอื่นหาไม่ได้ นั่นคือดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ฟีนิกซ์์นั่นเอง
ถ้าเอาหญ้าเกล็ดเขียวเก้าใบและดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ฟีนิกซ์์มารวมกัน สามารถสร้างโอสถวิเศษชนิดหนึ่งที่ทำให้สัตว์อสูรทะลวงด่านยกระดับขอบเขตได้โดยตรง โอสถสัตว์อสูรศิลาแลง โอสถนี้ทำให้โลหิตของสัตว์อสูรบรรลุนิพพาน ทำให้ชีพจรสายเืของมันถูกผันแปรและกลั่นให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ประจวบเหมาะในมือจ้านอู๋มิ่งมีดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ฟีนิกซ์์ ดังนั้นเขาจึงจ่ายเงินก้อนใหญ่ซื้อหญ้าเกล็ดเขียวเก้าใบต้นนั้นมา และยังขอให้หอสมบัติล้ำค่าลดราคาถึงครึ่งหนึ่ง เหตุผลคือไม่มีผู้ใด้าสมุนไพริญญาอันดับหกนี้
เพื่อสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียว จ้านอู๋มิ่งจ่ายเงินไปก้อนใหญ่มากจริงๆ ตำรับโอสถสัตว์อสูรศิลาแลง ในแผ่นดินนี้สูญหายจากการสืบทอดไปแล้ว เพราะไม่มีผู้ใดมีดอกบัวศักดิ์สิทธิ์ฟีนิกซ์์และพวกเขาก็มิได้ใช้มันเอง ปรุงกลั่นโอสถสัตว์อสูรศิลาแลงให้สัตว์อสูรจิติญญาตัวหนึ่งนับเป็อันใด สิ้นเปลืองมากเกินไปแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงล้วนปฏิเสธและมิเห็นตำรับโอสถชนิดนี้อยู่ในสายตา จึงย่อมต้องสูญหายจากการสืบทอดไป
จ้านอู๋มิ่งทราบดีว่าเม็ดโอสถนี้มีแรงกระตุ้นดึงดูดต่อชีวิตสัตว์อสูรอย่างร้ายแรง ขอเพียงควบคุมทิศทางการส่งกลิ่นหอมของโอสถให้ดี สัตว์อสูรแทบทั้งหมดล้วนไม่สามารถต้านทานได้ สัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวมีสติปัญญาเนิ่นนานแล้ว จะไม่ทราบถึงประโยชน์ของมันได้อย่างไร จ้านอู๋มิ่งจึงลักพาตัวสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวมาได้อย่างง่ายดายเช่นนี้เอง ประกอบกับผงหอมรบกวนจิตสมาธิฟ้าบกพร่อง ทำให้สัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวหวนคืนสัญชาตญาณของสัตว์ป่าเป็ระยะเวลาสั้นๆ ดังนั้นมันจึงทะยานเข้าพุ่งชนใส่หนานกงเจี้ยนเซ่อที่อยู่ใกล้ที่สุดก่อน จึงค่อยหันมาโผเข้าไปในอ้อมกอดของจ้านอู๋มิ่ง
สัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวเร่งตะบึงเข้าไปในส่วนลึกของเยี่ยนซานตั้ง จ้านอู๋มิ่งเข้าใจดี หากหนีกลับเมืองหนานเจา จะไม่สามารถใช้ข้อได้เปรียบของตนเองได้เลย ตระกูลใหญ่อย่างตระกูลหนานกง เป็ไปไม่ได้ที่จะมิมียอดฝีมือและสายสืบเป็หูเป็ตาในเมืองหนานเจา ถ้าไปถึงเมืองหนานเจาเกรงว่าจะตกอยู่ในกำมือตระกูลหนานกงทันที
แต่ที่โชคดีมากก็คือก่อนจะมาเยี่ยนซานตั้ง เขาจัดการให้หลิ่วหว่านอวี๋และเหยียนอี้กับคนอื่นๆ ไปรออยู่ที่สาขาของสำนักบริบาลเดรัจฉานแล้ว มิมีสิ่งใดต้องเป็ห่วง
จ้านอู๋มิ่งกระจ่างแจ้งแก่ใจ การท้าสู้ในวันนี้จะทำให้สำนักกระบี่ิญญาโกรธเคือง ตนมีสำนักบริบาลเดรัจฉานคอยดูแล แต่หลิ่วหว่านอวี๋กับเหยียนอี้และพรรคพวก กลับเป็ไปไม่ได้ที่จะได้รับการดูแลโดยสำนักบริบาลเดรัจฉาน เมื่อเป็เช่นนี้ตนก็ต้องคอยห่วงหน้าพะวงหลัง ไม่อาจปล่อยวางได้เต็มที่
ที่ให้จ้านอู๋มิ่งตัดสินใจปล่อยวางจริงๆ เป็คำพูดจากตระกูลหนานกง ถึงกับนำตระกูลจ้านในเมืองมู่เหย่มาคุกคามตน ตระกูลหนานกงไม่มีการคบค้าสมาคมกับตนมาก่อน เป็ไปไม่ได้ที่จะรู้ว่าตระกูลจ้านอยู่ในเมืองมู่เหย่ ต้องเป็ข้อมูลที่ได้รับจากสำนักกระบี่ิญญาอย่างแน่นอน
โชคดีที่ตระกูลจ้านสลายตัวแล้ว กระจายไปยังสถานที่ต่างๆ แฝงตัวในความมืด ใช้วิธีการติดต่อกันอย่างลับๆ จ้านอู๋มิ่งยังมีส่วนร่วมในการวางแผนด้วย ไม่ว่าตระกูลหนานกงจะยิ่งใหญ่และร้ายกาจเพียงใด ก็เป็ไปไม่ได้ที่จะคุกคามตระกูลจ้านหนักข้อจนเกินไป เนื่องจากตระกูลจ้านไม่มีการคงอยู่แล้ว รากฐานของตระกูลจ้านในเมืองมู่เหย่ก็ถูกส่งต่อไปแล้ว
เหตุผลที่ตระกูลจ้านกระทำการอย่างละเอียดถี่ถ้วนเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าตระกูลจ้านนั้นเด็ดขาดมาก แต่เป็เพราะท่านแม่พบกองกำลังที่เหลืออยู่ของตระกูลฉินแล้ว ถึงแม้ตระกูลฉินถูกทำลาย แต่อำนาจบารมียังคงมีเหลืออยู่ กิจการของตระกูลทั่วหล้าก็มิใช่ว่ามหาจักรพรรดิชางเหยียนตี้กั๋วและตระกูลหนานกงบอกว่าจะทำลายก็สามารถทำลายได้ทันที จะมีขุมพลังที่ซ่อนเร้นที่ไม่มีผู้ใดสืบทราบหลงเหลืออยู่เสมอ ด้วยสิ่งเหล่านี้ ทำให้ตระกูลจ้านมีความกล้าที่จะกระจัดกระจายออกอยู่ตามที่ต่างๆ
สัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวพลันหวั่นไหวอย่างกะทันหัน จ้านอู๋มิ่งใวูบ สัตว์อสูรจิติญญามีความรู้สึกััทางิญญาที่ดีกว่ามนุษย์มาก ปฏิกิริยาของสัตว์อสูรั์ตาทองเนตรเขียวฉายชัดว่าคนในตระกูลหนานกงกำลังจะตามมาทันแล้ว
[1] สำนวนกล่าวถึงศิษย์เก่งกว่าอาจารย์
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้