ในดินแดนอันห่างไกลเหนือสุดของแคว้นเสวี่ยหรง ท่ามกลางขุนเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะหนาแน่นและพายุหิมะที่ไม่มีวันสงบ มีถ้ำลึกลับที่ถูกเล่าขานว่า “ถ้ำิญญานิรันดร์” ซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาไป๋หลิง ถ้ำแห่งนี้ถูกกล่าวขานว่าเป็สถานที่ต้องคำสาป ตั้งอยู่ในจุดที่ลมหนาวโหมกระหน่ำจนดูเหมือนจะกลืนกินทุกชีวิตที่กล้าก้าวเข้าไป
ผู้เฒ่าผู้แก่เล่ากันว่า ถ้ำิญญานิรันดร์คือประตูสู่ดินแดนของภูติหิมะ ผู้ใดที่กล้าล่วงล้ำจะต้องถูกพายุหิมะโหมกระหน่ำจนสิ้นชีพ หรือหลงทางในความมืดลึกของถ้ำจนไม่มีวันได้กลับออกมา บ้างก็เชื่อว่ามีสิ่งชั่วร้ายซ่อนตัวอยู่ภายในคอยล่อลวงิญญาของผู้คน เื่เล่าเหล่านี้ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ถ้ำ แม้กระทั่งคนเลี้ยงสัตว์บนูเายังหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ใกล้กับเทือกเขาไป๋หลิง
ในความลึกลับของสถานที่ที่ดูเหมือนจะเป็จุดสิ้นสุดของชีวิตมนุษย์ กลับมีชีวิตหนึ่งซ่อนอยู่ในถ้ำ หญิงสาวผู้หนึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำแห่งนี้ราวกับเป็ส่วนหนึ่งของมันเอง
ภายในความมืดลึกของถ้ำ แสงสะท้อนจากเกล็ดน้ำแข็งบนเพดานส่องประกายระยิบระยับดุจดวงดาว ร่างหนึ่งเคลื่อนไหวช้า ๆ อยู่บนที่นอนขนสัตว์ เส้นผมสีดำขลับยาวสยายคลอเคลียผิวขาวซีด หญิงสาวลืมตาขึ้น ดวงตากลมโตสีเทาอ่อนจับจ้องเพดานน้ำแข็งที่ระยิบระยับ ราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่าง
นางนั่งนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ผ้าคลุมสีขาวสะอาดลู่ตามการเคลื่อนไหวของนาง ร่างบอบบางเดินไปยังมุมหนึ่งของถ้ำ ที่นั่นมีแอ่งน้ำแข็งใสราวกระจกสะท้อนเงาของนาง หญิงสาวคุกเข่าลง แตะผิวน้ำเบา ๆ ความเย็นเฉียบแล่นผ่านปลายนิ้ว ความเย็นจัดแล่นผ่านปลายนิ้วของนาง แต่แทนที่จะสะดุ้ง นางกลับยิ้มบาง ๆ
ภาพสะท้อนในแอ่งน้ำเผยให้เห็นใบหน้าที่นางเห็นทุกวัน ใบหน้านั้นแต้มด้วยรอยยิ้มสงบนิ่ง นางจ้องมองอยู่นาน ก่อนจะลดมือลงจากผิวน้ำ นางเอ่ยกับตนเองเสียงเบา “ไป๋เซี่ยนหลัว…”
ชื่อนี้ปรากฏอยู่บนจี้หยกขาวลายดอกเหมยที่นางสวมติดตัวอยู่เสมอ จี้ชิ้นนี้เป็สิ่งเดียวที่บ่งบอกตัวตนของนาง มันเป็หยกขาวบริสุทธิ์ สลักลายดอกเหมยรอบๆ และมีตัวอักษรทรงพลังสลักคำว่า “ไป๋เซี่ยนหลัว” ไว้อย่างงดงาม นางไม่รู้ว่าชื่อนี้มาจากที่ใด และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองเป็ใคร แต่นับั้แ่จำความได้ นางก็เรียกตัวเองด้วยชื่อนี้
เสียงข่วนเบา ๆ ดังขึ้นจากด้านหลัง ไป๋เซี่ยนหลัวหันไปมอง ดวงตาสีเทาของนางจับจ้องไปยังร่างเล็ก ๆ ที่โผล่ออกมาจากเงามืด กิ้งก่าสีขาวตัวหนึ่งปรากฏตัว ดวงตาสีฟ้าสดใสราวกับอัญมณี และลำตัวที่เรืองแสงจาง ๆ ของมันดูราวกับสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นจากน้ำแข็ง
นางยกมือขึ้นเล็กน้อยเหมือนส่งสัญญาณ เ้ากิ้งก่าะโขึ้นไปเกาะบนไหล่ของนาง มันทำเสียงครืดคราดในลำคอราวกับบ่น นางลูบหัวมันเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เ้าก็หิวแล้วใช่หรือไม่?”
กิ้งก่าขยับหางอย่างว่าง่าย นางลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและเดินไปยังส่วนลึกของถ้ำ
ใจกลางถ้ำ มีแท่นน้ำแข็งสูงตั้งตระหง่าน ลูกแก้วเรืองแสงสีฟ้าลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ นางหยุดยืนตรงหน้าแท่น ดวงตาจับจ้องลูกแก้วด้วยสายตาสงบนิ่งก่อนจะยื่นมือไปแตะ ความเย็นจัดแล่นผ่านปลายนิ้ว พลังจากลูกแก้วเชื่อมโยงกับตัวนาง นางหลับตาลงชั่วครู่เพื่อรับรู้ถึงสมดุลของพลังที่ยังคงมั่นคง
“ยังคงดี” ไป๋เซี่ยนหลัวพึมพำเบา ๆ เ้ากิ้งก่าที่เกาะอยู่บนไหล่ะโลงไปไต่แท่นน้ำแข็ง มันมองลูกแก้วด้วยความอยากรู้อยากเห็น นางจึงมองมันด้วยสายตาดุๆ ก่อนจะเอ่ยเตือน “อย่าเล่นซนมากนัก เสวี่ย”
เ้ากิ้งก่าขยับหางเล็กน้อยก่อนจะถอยกลับมาหานาง นางลดมือลงและเดินกลับไปยังโถงถ้ำ กิ้งก่าขาวะโขึ้นไปบนโต๊ะน้ำแข็งใกล้ ๆ มันนอนขดตัวอย่างสบายใจ
เมื่อเสร็จจากการตรวจสอบแก่นพลัง ไป๋เซี่ยนหลัวจึงเดินกลับมายังโถงถ้ำใหญ่ ที่นั่น นางยกมือขึ้น ลำแสงสีเงินปรากฏจากปลายนิ้ว เปลี่ยนเกล็ดน้ำแข็งที่ลอยอยู่ในอากาศให้ก่อตัวเป็รูปร่างทีละน้อย จนกลายเป็ “หมั่นโถว” สีขาวนวลและผลไม้ที่ดูเหมือนสาลี่
“นี่คงใกล้เคียงกับอาหารของมนุษย์” นางเอ่ยเบา ๆ ขณะวางอาหารเ่าั้ลงบนโต๊ะ กิ้งก่าขาวะโขึ้นไปเลียสาลี่น้ำแข็งที่เธอสร้างขึ้น
“เ้าชอบมันหรือ?” ไป๋เซี่ยนหลัวถามยิ้ม ๆ ลูบหัวมันเบา ๆ แต่ในใจลึก ๆ นางยังคงสงสัยว่ารสชาติที่แท้จริงของอาหารมนุษย์เป็เช่นไร ก่อนจะหยิบหมั่นโถวขึ้นมามอง มันดูเหมือนอาหารจริงแต่กลับเย็นเฉียบ ไม่มีรสชาติ นางกัดชิ้นเล็ก ๆ ก่อนจะถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้