เมื่อรถม้าเดินทางกลับมาถึงจวนองค์ชายหก มู่อวิ๋นจิ่นรีบะโลงวิ่งพรวดเข้าไปในเรือนลี่เฉวียนทันที โดยมีจื่อเซียงสาวเท้าไล่ตามจากด้านหลัง
ติงเซี่ยนไม่ได้รู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่เกิด ได้เอ่ยถามฉู่ลี่ขึ้นว่า “องค์ชาย คุณหนูฉินกลับมาแล้ว พวกเราสามารถไปดูดอกบัวสีดำได้หรือยังพ่ะย่ะค่ะ?”
“รออีกหน่อย” ฉู่ลี่เอ่ยเสียงเรียบ พร้อมเดินเข้าไปในจวน
…..
ในเช้าวันถัดมา มู่อวิ๋นจิ่นสลบไสลถึงยามซานกาน[1]จนกระทั่งด้านนอกมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น มู่อวิ๋นจิ่นถึงได้สติสัมปชัญญะขึ้นมา เดินงัวเงียมาเปิดประตู
“เข้ามาได้”
“เ้ามาหาข้ามีธุระอะไร?” มู่อวิ๋นจิ่นบิดี้เี
จื่อเซียงจึงตอบกลับว่า “ดูเหมือนเกิดเื่ใหญ่ขึ้นแล้ว และต้องเชิญคุณหนูไปให้จงได้เ้าค่ะ”
“อย่างนั้นก็ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
หลังจากนั้นไม่นาน มู่อวิ๋นจิ่นอาบน้ำแต่งตัวออกจากห้องไป ชำเลืองมองห้องที่อยู่ด้านข้างแล้วประตูยังคงปิดแน่นสนิท ดูก็รู้ว่าฉู่ลี่ไม่อยู่ที่จวน
เมื่อเดินผ่านห้องอาหาร แม่นมเสิ่นส่งยิ้มให้มู่อวิ๋นจิ่น “พระชายาทานอาหารเช้าให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยไปดีไหมเ้าคะ?”
“ได้” มู่อวิ๋นจิ่นเดินเข้าไป
ในเวลานี้บนโต๊ะอาหารจัดเรียงอาหารที่กำลังทำอย่างร้อนๆ มู่อวิ๋นจิ่นนั่งลงหยิบชามโจ๊กมา พร้อมกับมองอาหารเต็มโต๊ะ
“ทำไมวันนี้เตรียมอาหารมากมายเพียงนี้?”
“เป็อย่างนี้เ้าค่ะวันนี้ตอนเช้าตรู่ คุณหนูฉินมาที่จวน ลงมือทำอาหารเช้าให้องค์ชายหก แต่ไม่รู้เกิดสิ่งใดขึ้น คุณหนูฉินกลับพาองค์ชายไปทานอาหาด้านนอกจึงเหลืออารหารมากมายเช่นนี้เ้าค่ะ” แม่นมเสิ่นอธิบาย
มู่อวิ๋นจิ่นได้ฟังอย่างตั้งใจถึงกับเบะปากอย่างชัดเจน ฉู่ลี่ในความทรงจำของนางเป็คนเ็าแม้ฟ้าผ่ายังไม่สะท้าน เหตุใดพอคุณหนูฉินกลับมา ถึงได้ตามใจนางเพียงนี้
สรุปแล้ว เขามีใจปฏิพัทธ์ให้คุณหนูฉินหรือว่าถูกนางกุมความลับเอาไว้?
คิดมาถึงตรงนี้ มู่อวิ๋นจิ่นกลับไม่อยากทานอาหารอีกแล้ว ดังนั้นนางวางช้อนลงในชามโจ๊ก “ไม่ทานแล้ว ข้าจะกลับไปทานที่จวนอัครเสนาบดีมู่แทน”
“ห๊ะ? ไม่ทานแล้วเหรอเ้าคะ?” แม่นมเสิ่นมองมู่อวิ๋นจิ่นด้วยสายตาแปลกใจ อาหารที่จัดวางเรียงรายกลับไม่มีใครทานสักคนเดียว แม่นมเห็นได้แต่ถอนหายใจอย่างเสียดาย
……
หลังจากเลือกไม่ทานอาหารเช้าที่จวนองค์ชายหก มู่อวิ๋นจิ่นตั้งใจเดินกลับไปที่อัครเสนาบดีมู่ที่อยู่ห่างออกไปเพียงสอง่ถนน หากนั่งรถม้าก็ถึงว่องไวไม่ต่างจากเดินไป
ระหว่างทางเดินไป มู่อวิ๋นจิ่นได้ซื้อซาลาเปาสองลูกข้างทาง เดินไปกินไปอย่างเอร็ดอร่อย
จื่อเซียงที่เดินด้านข้างกลับถามอย่างสงสัย “คุณหนู เมื่อครู่อาหารจัดวางอยู่เต็มโต๊ะ เหตุใดยังต้องออกมาทานข้างนอกละเ้าคะ?”
“ไม่อยากกิน” มู่อวิ๋นจิ่นตอบ
“คุณหนู บ่าวคิดว่าคุณหนูหงุดหงิดใจ เพราะได้ฟังเื่คุณหนูฉินกับองค์ชายหกไปทานอาหารข้างนอกด้วยกันใช่ไหมเ้าคะ” จื่อเซียงยู่ปาก
มู่อวิ๋นจิ่นถลึงตาโตใส่ทันที “เ้านี่นะ พูดจาเลอะเทอะไปเรื่อย”
“เ้าก็รู้นี่หน่า ข้ากับฉู่ลี่มิได้เป็สามีภรรยากันจริง ไม่ช้าเร็วต้องจากกันอยู่ดี ในเวลานี้ฉินมู่เยว่กลับมาแล้ว ไม่ว่าฉู่ลี่ปฏิบัติต่อนางอย่างไรล้วนไม่เกี่ยวข้องกับข้าทั้งสิ้น ถึงตอนนั้นหากฉู่ลี่แต่งกับฉินมู่เยว่จริง ข้าจะได้ถอนตัวโดยนำเงินสามหมื่นตำลึงทองไปใช้อย่างสบายใจเฉิบ”
จื่อเซียงหน้าตาบิดเบี้ยวหลังได้ยินสิ่งที่มู่อวิ๋นจิ่นพูด แม้เป็เื่ที่มิอยากให้เกิด ทว่าสักวันต้องเผชิญหน้ากับความจริงอยู่ดี
คุณหนูกับองค์ชายหกเป็สามีเพียงแค่ในนาม แต่ตำแหน่งพระชายาหกเป็ของจริง หากคุณหนูฉินรับต่อไปจริง ในใจของคุณหนูคงต้องยากทำใจ
“คุณหนูคิดใช้ชีวิตสบายใจเฉิบคนเดียวมิได้ บ่าวจะติดตามคุณหนูไปจนวันตายเ้าค่ะ” จื่อเซียงปรับความรู้สึกให้เป็ปกติ
มู่อวิ๋นจิ่นยิ้มน้อยๆ ยื่นมือออกไปหยิกแก้มของจื่อเซียง “เ้าไม่คิดแต่งงานอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่แต่ง บ่าวจะติดตามรับใช้คุณหนูไปตลอดชีวิตเ้าค่ะ”
“เ้านี่มันดง่เขลาเสียจริง……”
นายบ่าวคู่นี้สนทนาพาทียิ้มแย้มแจ่มใส จนเดินมาถึงหน้าประตูจวนอัครเสนาบดีมู่
ผู้ดูแลจวนเห็นมู่อวิ๋นจิ่นมาถึงหน้าประตูจวน พลันรีบออกไปต้อนรับทำความเคารพมู่อวิ๋นจิ่น “นายท่านรอพระชายาหกอยู่ที่ห้องโถงขอรับ”
มู่อวิ๋นจิ่นพยักหน้ารับทราบ ก้าวเข้าไปด้านในจวน
พอเดินถึงด้านในห้องโถงก็เห็นอัครเสนาบดีมู่กับลัวหนิงอวี่นั่งอยู่ตรงกลาง สองข้างด้านล่างซ้ายขวาเป็มู่หลิงจู มู่เซี่ยโหรวและจ้วงอวี้เหยียน
เมื่อเห็นการนั่งที่พร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้ มู่อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก้าวข้ามธรณีประตูเดินเข้าไป “ท่านพ่อ”
พอเห็นมู่อวิ๋นจิ่นเดินเข้ามา มู่อวิ๋นจิ่นกลับหน้านิ่วคิ้วขมวด ยกมือขวากวักนางเรียกเข้ามา “อวิ๋นจิ่นนั่งก่อน”
มู่อวิ๋นจิ่นนั่งเป็ที่เรียบร้อย หันไปเอ่ยกับอัครเสนาบดีมู่ “ท่านพ่อเรียกข้ามาวันนี้ มิทราบมีเื่ด่วนอะไรเ้าคะ?”
อัครเสนาบดีมู่ถอนหายใจ ก่อนมองไปทางมู่หลิงจู แล้วหันกลับมาที่มู่อวิ๋นจิ่น “เมื่อคืนที่ผ่านมา จูเอ๋อร์ปิดตาตวัดอักษร เป็ที่ชื่นตาตื่นใจของทุกคนในงานเลี้ยงฉลอง วันนี้พ่อไปเข้าเฝ้าฝ่าาที่ว่าราชกิจในท้องพระโรง บังเอิญพบน้องชายแท้ๆ ของฝ่าา มีพระนามว่าท่านอ๋องหรง”
“ท่านอ๋องหรงกับพ่อได้เอ่ยถึงจูเอ๋อร์ ทั้งชื่นชมในความสามารถเป็นัยๆ”
มู่อวิ๋นจิ่นแอบคำนวณในหัวถึงสิ่งที่อัครเสนาบดีมู่เล่าให้ฟัง ฮ่องเต้ซีิองค์ปัจจุบันพระชนมายุห้าสิบปีกว่าแล้ว องค์ชายหลายท่านอายุก็ราวๆ ยี่สิบปีกันแล้วทั้งนั้น น้องชายของฝ่าาคงมีชนมายุประมาณสี่สิบปีกว่าแล้วกระมัง
มู่อวิ๋นจิ่นชำเลืองมองไปที่มู่หลิงจู เห็นนางเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ดวงตาบวมแดง เห็นได้ชัดเจนว่าเพิ่งร้องไห้มา
หรือว่าเื่ที่ท่านอ๋องหรงบอกเป็นัยยะจะหมายถึง……
“ท่านอ๋องหรง้าแต่งกับน้องสี่ใช่ไหม?” มู่อวิ๋นจิ่นถามสิ่งที่สงสัยออกมาอย่างตรงไปตรงมา
พอถามเช่นนี้ สีหน้าของอัครเสนาบดีมู่กลับเคร่งขรึม พยักหน้ารับงกๆ “เื่ที่ท่านอ๋องหรงหมายความคืออยากได้จูเอ๋อร์ไปเป็สนมเช่อเฟย”
“อวิ๋นจิ่น เ้ามีวิธีใดบ้างที่ให้องค์ชายหกช่วยยับยั้งเื่นี้ได้ไหม? ท่านอ๋องหรงชนมายุสี่สิบห้าแล้ว พระชายาหรงมีองค์หญิงสองท่านที่ใกล้เข้าพิธีวัยปักปิ่น[2] โดยองค์หญิงมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับจูเอ๋อร์ หากแต่งไปท่านอ๋องหรงจะมีแต่เสียกับเสียทั้งขึ้นทั้งล่อง!”
อัครเสนาบดีมู่พูดด้วยความกังวลใจเป็ที่สุด จนไอกระแอมออกมาไม่รู้ตัว
มู่อวิ๋นจิ่นเม้มปาก จู่ๆ นึกวิธีรับมือขึ้นได้ ่ก่อนฉู่ชิงเฉียงเตรียมขอให้ฝ่าาพระราชทานงานสมรส ให้นางกับมู่อวิ๋นหาน ทว่ามู่อวิ๋นหานกลับปล่อยข่าวลือมให้แพร่สะพัดไปว่าจะแต่งงานกับจ้วงอวี้เหยียน
นางจึงถามขึ้นว่า “ถ้าฉวยโอกาสที่ท่านอ๋องหรงยังไม่ได้มาตกลงเป็กิจจะลักษณะ ควรใช้วิธีปล่อยข่าวลือให้น้องสี่ก็สิ้นเื่”
อัครเสนาบดีมู่ส่ายหน้าอย่างจำใจ “ท่านอ๋องหรงเตรียมแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยปล่อยข่าวลือว่าเอ๋อร์จะแต่งกับเขา บัดนี้หากใครกล้ามาขอแต่งกับจูเอ๋อร์ นั่นหมายความถึงเปิดศึกกับท่านอ๋องหรง!”
พอเห็นท่านอ๋องหรงเตรียมพร้อมรับมืออย่างเต็มที่ มู่อวิ๋นจิ่นถึงกับถอนหายใจไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปดี
นึกไม่ถึงว่าการแสดงที่ยอดเยี่ยมจับใจของมู่หลิงจูในค่ำคืนที่ผ่านมา มิอาจดึงดูดคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ แต่กลับดึงดูดคนที่จะมีปัญหาเข้ามาในชีวิตเสียแทน
ตำแหน่งสนมเช่อเฟยของท่านอ๋องหรง ถึงแม้ฟังดูดี แต่คนที่หยิ่งยโสถือตัวอย่างมู่หลิงจู รู้ว่าคนที่ต้องแต่งงานด้วยอายุรุ่นราวคราวเดียวกับท่านพ่อของนาง ทั้งยังเป็สามีของนางอีก มีหวังคงบ้าบอเสียสติไปก่อน
“ท่านพี่ ช่วยข้าทีเถอะ ข้าไม่อยากแต่งเข้าจวนท่านอ๋องหรง ท่านพี่ช่วยขอร้ององค์ชายหกช่วยทีเถอะ องค์ชายหกต้องหาวิธีโน้มน้าวท่านอ๋องหรงได้เป็แน่”
มู่หลิงจูร้องห่มร้องไห้ “ฮือ ฮือ” คุกเข่าฟุบลงกับพื้นวิงวอนร้องขอ
มู่หลิงจูกัดริมฝีปากล่าง นึกถึงเมื่อก่อนที่มู่หลิงจูร้ายกาจ ไม่อยากจะยื่นมือเข้าช่วย แต่พอคิดดูว่านางต้องแต่งกับคนรุ่นท่านพ่อ จึงมิอาจใจจืดใจดำไม่ช่วยเหลือ
“ข้า……”
“ท่านอ๋องหรงเสด็จแล้ว!”
มู่อวิ๋นจิ่นกำลังจะเอ่ยปากบอกว่าให้ฉู่ลี่ลองช่วยโน้มน้าว แต่เวลานี้เสียงรายงานดังขึ้น พร้อมกับหีบหลายใบถูกแบกเข้ามาในห้องโถงหีบแล้วหีบเล่า
จากนั้นภายในห้องโถงมีหับจัดเรียงเต้มไปหมด บุรุษกลางคนในอาภรณ์ชุดสีเทาก้าวเข้ามา ด้วยรูปร่างที่มีเสน่ห์ ใบหน้าหล่อเหลาสมวัย แม้จะมีริ้วรอยไปบ้างตามกาลเวลา
“กระหม่อมคารวะท่านอ๋องหรง” อัครเสนาบดีมู่ยกมือประสานทำความเคารพ พร้อมกับเหงื่อแตกพล่านที่เห็นหีบมากมายเรียงรายในห้องโถงเต็มไปหมด
“ฮ่าๆๆๆ อัครเสนาบดีมู่ไม่ต้องมากพิธีไป วันนี้เปิ่นหวาง[3]มาที่นี่เพื่อวางสินสอดหมั้นหมาย” ท่านอ๋องหรงเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม กวาดสายตามองทุกคนในห้องโถง
ทุกคนในที่นั้นสบสายตาต่างรีบทำความเคารพท่านอ๋องหรง ที่มีพระนามจริงคือ “ฉู่เจิ้ง”
ฉู่เจิ้งเห็นมู่อวิ๋นจิ่นอยู่ที่นั่นพลันหัวเราะขึ้นมา “หลานสะใภ้อยู่ที่นี่ด้วยหรือ?”
มู่อวิ๋นจิ่นเกิดความเก้อเขินทำตัวไม่ถูก ได้แต่ยิ้มมุมปากมองไปทางฉู่เจิ้ง “คารวะเสด็จลุง”
“อืม” ฉู่เจิ้งพยักหน้าด้วยพอใจ จากนั้นหันไปมองที่มู่หลิงจู พยายามเดินเข้าไปประชิด
พอเห็นท่านอ๋องหรงกำลังก้าวเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ มู่หลิงจูยืนตัวสั่นสะเทิ้มหยุดอยู่กับที่
“แม่นางสี่ตระกูลมู่ เ้าดูสินสอดหมั้นหมายของเปิ่นหวาง เห็นแล้วเพียงพอหรือไม่? หากไม่พอ เปิ่นหวางจะให้คนขนมาให้มากกว่านี้”
พูดจบ ท่านอ๋องหรงยื่นมือไปลูบแก้มทั้งสองข้างของมู่หลิงจู “โอ้ ทำไมตัวสั่นเช่นนี้ เ้ากลัวเปิ่นหวางขนาดนี้เลย?”
“อันที่จริงเปิ่นหวางชื่นชมในความสามารถของแม่นางสี่ตระกูลมู่มาเนิ่นนานแล้ว แม่นางสี่ตระกูลมู่ถือเป็สตรีที่มีความสามารถอันดับหนึ่งที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปิดตาตวัดอักษร ช่างยอดเยี่ยมเป็ที่สุด!”
“หากแม่นางสี่ตระกูลมู่แต่งเข้าจวนหรง แม้เป็สนมเช่อเฟย แต่ไม่ต้องกลัวผู้ใดมารังแกข่มเหง เพราะพระชายาของเปิ่นหวางล้มป่วยมากว่าครึ่งปี บัดนี้จวนหรงขาดนายหญิงปกครอง จัดการดูแล ซึ่งแม่นางสี่ตระกูลมู่ดูเหมาะสมกับตำแหน่งนี้เป็ที่สุด”
ทุกคนในห้องโถงรับรองเห็นท่านอ๋องหรงเอ่ยด้วยความดีอกดีใจ ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าขัดขึ้น ด้วยเห็นว่าเป็น้องชายแท้ๆ ขององค์ฝ่าา ไม่ว่าจะเอ่ยคำใดย่อมต้องฟังอย่างมิอาจขัดขืน
มู่อวิ๋นจิ่นเห็นสถานการณ์ยากแก้ไข ได้แต่ถอนหายใจ ปรายตามองไปที่มู่หลิงจูด้วยสื่อว่ามิอาจช่วยเหลือได้
อัครเสนาบดีมู่ก้มหน้าก้มตาด้วยความขมขื่น เหตุใดเื่เฮงซวยพวกนี้ต้องมาเกิดขึ้นที่จวนตระกูลมู่และชีวิตของเขาด้วย
ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ในเมืองเตี๋ยฮวา จะเเพร่สะพัดข่าวลือที่ไม่มีมูลอะไรขึ้นอีก
ในเวลานี้ มู่หลิงจูขบฟันแแ่ สายตามองไปที่สินสอดทองหมั้น พร้อมกับความคิดที่พรั่งพรูมิหยุดยั้ง ถึงอำนาจที่กองอยู่เบื้องหน้า
แม้ในใจของนางปฏิพัทธ์ต่อฉู่ลี่ แต่บัดนี้เขาแต่งกับมู่อวิ๋นจิ่นไปแล้ว มิหนำซ้ำข้างกายฉู่ลี่ยังมีฉินมู่เยว่ผุดมาจากไหนอีกมิทราบ ไม่ว่าอย่างไรตำแหน่งพระชายาหกนั้น ยากยิ่งจะตกมาอยู่ที่นาง
การจบชีวิตของท่านแม่ซูปี้ชิงส่งผลให้ชื่อเสียงของนางตกต่ำ บรรดาองค์ชายตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองเตี๋ยฮวา ไม่มีผู้ใดกล้ามาขอนางแต่งงานด้วยสักคนเดียว
ในเมื่อช้าเร็วต้องแต่งอยู่แล้ว มิสู้แต่งกับท่านอ๋องหรงไปเสียเลย ในอนาคตข้างหน้านางอาจได้เป็พระชายาท่านอ๋องหรง จะได้ใช้ตำแหน่งและอำนาจกดหัวมู่อวิ๋นจิ่นให้จมธรณี
ขอเพียงได้ตำแหน่งพระชายาท่านอ๋องหรง มีท่านอ๋องหรงคอยอยู่เื้ั เชื่อว่าความเคียดแค้นที่ท่านแม่ต้องถูกปะา และความแค้นที่ถูกแย่งชิงองค์ชายหกไป ต้องมีวันได้ชำระกับมู่อวิ๋นจิ่นคืนให้สาสม!
“ท่านพ่อ ลูกเต็มใจแต่งงานกับท่านอ๋องหรงเ้าค่ะ”
[1] ยามซานกาน เป็เวลาประมาณ 9.00-11.00 น.
[2] พิธีวัยปักปิ่น เป็พิธีที่เด็กสาวอายุ 15 ปีเข้ารับการปักปิ่นมรกต แสดงถึงวัยที่สามารถออกเรือนมีครอบครัวได้แล้ว
[3] เปิ่นหวาง สรรพนามที่ท่านอ๋องใช้เรียกแทนตนเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้