แต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็วทั้งซ้งเชียนและผู้ช่วยสวี่ลู่ก็ไม่มาให้ข้าเห็นหน้าเลยทำให้แต่ละมื้อของข้าได้กินไปเพียงก้นกระเพาะเท่านั้นพอตกดึกก็ต้องนอนคุดคู้เพราะหิวจนไส้แทบขาด
หลังจากเกลากระบี่กองสุดท้ายเสร็จก็เลือกหยิบขึ้นมาเล่มหนึ่งและเริ่มกวัดแกว่งไปมาฝึกฝนทั้งการเคลื่อนไหว ความคล่องตัวในการใช้ และเพื่อฝึกร่างกายไปในตัวพอเหนื่อยได้ที่ก็นั่งพักบนท่อนไม้ที่ลานหน้ากระท่อม
ในยามดึกที่เงียบสงัดมักจะมีกลิ่นอายิญญาของหลายสรรพสิ่งล่องลอยอยู่ทั่วบริเวณและผู้ฝึกฝนิญญาแต่ละคนก็จะดูดซับเพื่อใช้เป็พลังิญญาให้แก่ตัวเองแต่ก็น่าเสียดายที่เมื่อข้ากลืนกินมันเข้าไปสักเท่าไรก็เหมือนกับว่าร่างกายจะกำจัดมันออกทุกครั้งไป ไร้ซึ่งหนทางที่จะดูดซึมพลังิญญา
หลังจากที่พยายามกลืนมันเข้าไปครั้งแล้วครั้งเล่าร่างกายก็เหนื่อยล้าคล้ายจะพังลงให้ได้
มองเวลาก็ล่วงเลยมาจนห้าทุ่มกว่าซึ่งควรที่จะเข้านอนได้แล้ว...
กระท่อมดูโล่งผิดปกติเช่นเดียวกับตาเฒ่าผู้นั้นที่หายไปเช่นกัน แต่พอข้าเดินเข้ามาในกระท่อมข้าก็พบตำราเล่มหนึ่งวางอยู่ในโต๊ะไม้...ปราณ์แบบละเอียดหนังสือเล่มนี้เป็ของใครและมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ข้าหยิบขึ้นมาอย่างแปลกใจจะว่าไปก็พอมีบางส่วนที่คุ้นตาอยู่บ้างเพราะเมื่อก่อนข้าก็เคยศึกษาในขั้น์แบบเต็มหลักสูตรมาแล้วจึงค่อนข้างคุ้นเคยกับเนื้อหาพอสมควร
ขณะที่ข้ากำลังตั้งใจอ่านอยู่นั้นสายตาก็ดันไปสะดุดเข้ากับบางสิ่งปรากฏอยู่บนหน้าตำรา...
มันแปลกเพราะพอเมื่อตั้งใจอ่านอย่างละเอียดแล้วดูเหมือนว่ามีใครบางคนตั้งใจใช้ปากกาสีแดงขีดเน้นจุดสำคัญเอาไว้ราวกับว่าอยากจะให้ข้าเห็นเนื้อหาเกี่ยวกับปราณ์ได้อย่างชัดเจน
ปราณ์คือปราณใหญ่อันดับสองในร่างกายมนุษย์หากทำให้ปราณ์หรือปราณิญญาจุดใดจุดหนึ่งเชื่อมต่อกับปราณหลักได้ผู้ฝึกฝนก็จะมีพลังิญญาที่แข็งแกร่ง และฟื้นตัวได้เร็วขึ้น หรือที่เรียกว่า‘ปราณิญญาเป็หลัก ปราณ์เป็รอง ทั้งสองสอดประสานก็จะเกิดผลสำเร็จ’ นั่นเอง
พออ่านจบความอัดอั้นในใจก็คลายออก
ใช่จริงๆด้วย มันคือปราณอันดับสองของร่างกาย ที่ข้าจะต้องฝึกให้สำเร็จในวันข้างหน้าถึงแม้ว่าพลังของปราณ์จะสู้ปราณิญญาหลักไม่ได้แต่ก็ทำให้ข้าเริ่มมีความหวังขึ้นมาบ้าง
เส้นปราณ์ของคนปกติจะถูกปิดกั้นเอาไว้แต่เมื่อครั้งที่ข้ายังอยู่ในขั้น์ก็ได้คลายมันออกไปแล้วครั้งหนึ่งและถึงแม้พิธีปลุกพลังจะล้มเหลวจนเผาไหม้ปราณิญญาระดับ์ของข้าไปแต่ใช่ว่าจะทำลายปราณ์ในส่วนลึกของร่างกายไปด้วยขอเพียงแค่ข้าสามารถคลายมันออกได้ ข้าก็จะกลับมาใช้พลังิญญาได้อีกครั้ง!
ตอนนี้ข้าะโโลดเต้นด้วยความดีใจราวกับคนโง่ทั้งที่รู้ดีว่าเป็เพียงการคาดเดา แต่ก็ทำให้ข้ากลับมามีความหวังอีกครั้ง
...
ข้านั่งขัดสมาธิทำสมาธิเพื่อให้เืลมเข้าทลายสิ่งที่ปิดกั้นปราณิญญาอย่างไม่ยอมหลับยอมนอนทว่าจะลองทำสักกี่ครั้งมันก็ล้มเหลวไม่เป็ท่าเพราะดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างไปสกัดกั้นปราณิญญาของข้าเอาไว้โดยที่พลังในตัวข้าก็มีไม่มากพอที่จะจัดการได้
ข้านึกย้อนกลับไปยัง่ที่ข้าได้บำเพ็ญขั้นประกายจิตและใช้พลังิญญาทะลวงปราณิญญาได้อย่างง่ายดายแต่มาวันนี้พลังที่เคยมีกลับหายไปจนหมดแม้ว่าปราณิญญาของข้ามันจะเปิดอยู่ก่อนแล้วแต่พลังในตัวข้าวันนี้ก็ยากที่จะตัดผ่านมันอยู่ดี
โครกกก...
เสียงท้องร้องที่ดังขึ้นทำให้รู้ว่าตอนนี้อาจจะไม่ใช่เวลาที่จะกลับไปนอนเสียแล้วและข้าก็คงไม่ใช่ศิษย์คนแรกที่จะหิวตายในสำนักหมื่นิญญานี่ใช่ไหม?
แต่คนเราจะมัวมานั่งรอความตายแบบนี้ไม่ได้!
ข้าลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ผูกเนกไทให้เป็งานเป็การเสร็จเรียบร้อยก็ก้าวออกจากโรงเกลากระบี่ มุ่งตรงไปยังห้องทำงานของรองเ้าสำนักเพราะพี่เสวียนยินจะต้องอยู่ที่นั่นแน่ และพอเจอนาง ข้าก็จะไม่อดตายแล้วล่ะ
เมื่อข้ามาถึงหน้าห้องทำงานของเ้าสำนักก็เห็นว่ามีทหารองครักษ์ยืนรักษาการณ์อยู่เพราะห้องนี้อยู่ใกล้กับห้องทำงานของฝ่ายาซึ่งทำหน้าที่ด้านการทหารของสหพันธ์รวมทั้งงานจัดหาศิษย์เพื่อเข้าร่วมกองทหาร จึงไม่แปลกนักที่จะมีองครักษ์ประจำอยู่
“หยุด! เ้าเป็ใคร?”
องครักษ์นายหนึ่งถามเสียงแข็งก่อนจะหรี่ตามองมาที่ข้า “เ้าเป็ศิษย์ของสำนักงั้นเหรอ?”
ข้าพยักหน้าแล้วตอบไป“อืม ข้ามาหาท่านรองเ้าสำนัก”
“เฮอะ! ท่านรองเ้าสำนักเป็คนที่เ้าอยากจะเจอก็เจอได้งั้นหรือ? อย่าลืมสิว่านอกจากจะเป็รองเ้าสำนักแล้วนางยังเป็ถึงเทพศาสตราวุธหญิงด้วย ไอ้หนุ่ม เ้ากลับไปเถอะ นี่ก็ดึกมากแล้วท่านรองเ้าสำนักคงจะพักผ่อนแล้วล่ะ”
ข้าสิ้นหวังเล็กน้อยและขณะที่กำลังจะหันหลังกลับก็มีเสียงดังมาจากข้างใน “ปู้อี้เชวียนใช่ไหม?...องครักษ์ ให้เขาเข้ามา”
เป็เสียงของสวี่ลู่ผู้ช่วยของรองเ้าสำนัก
องครักษ์ทั้งสองใเล็กน้อยก่อนจะรีบทำความเคารพอย่างรวดเร็วและให้ข้าเข้าไปข้างใน
สวี่ลู่เองก็เดินออกมาต้อนรับแล้วพูดพลางยิ้ม“ทำไมเ้ายังไม่นอนอีก? แล้วมีเื่อะไรหรือเปล่าถึงได้มาหาพี่สาวเ้าถึงที่นี่?”
“คือว่า...” ข้ารู้สึกเก้อเขินที่จะพูดเพราะถ้าจะบอกว่ามาหาเพื่อให้นางเลี้ยงข้าวล่ะก็ มันก็ดูยังไงอยู่ก็เลยพูดแก้หน้าไปก่อน “ไม่มีอะไร ก็แค่เกิดคิดถึงนางขึ้นมาแล้วนี่พี่เสวียนยินนางหลับไปหรือยัง?”
“ยังหรอก นางอยู่ในห้องทำงานด้านซ้ายสุดนั่น เ้าเข้าไปเองละกัน”
“อืม ขอบคุณท่านมากผู้ช่วยสวี่”
นางหัวเราะก่อนจะยิ้มบางแล้วพูดขึ้น“ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น วันหลังเรียกข้าว่าพี่ลู่แล้วกัน”
“อืม ได้เลย”
สวี่ลู่ว่าแล้วก็หันหลังเดินไปส่วนข้าเองก็เดินมาหยุดอยู่หน้าห้องที่มีป้ายตัวหนังสือสีทองเขียนไว้ว่ารองเ้าสำนักแต่ยังไม่ทันได้เคาะประตู ก็มีเสียงดังแทรกขึ้นมาจากด้านใน “เข้ามาเลยประตูไม่ได้ล็อก”
“อื้ม...”
ข้าผลักประตูเข้าไปก็เห็นนางกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่ หนังสือถูกวางเรียงซ้อนกันเป็ชั้นพอได้มองเข้าไปก็เห็นหนังสือสภาพเก่าคร่ำครึ อย่างประวัติแห่งพลังิญญาการกลืนพลัง ประวัติศาสตร์เมืองหลงหลิง ตำนานเทพโบราณ และยังมีอีกมากมายบางเล่มก็ทำด้วยกลีบไม้ไผ่ส่วน้าที่เป็ผ้าก็ถูกพวกมดมอดเจาะเป็รูเพราะมีอายุการใช้งานที่นานมากแล้ว
“ท่านกำลังยุ่งอยู่หรือเปล่า?” ข้าถามขึ้น
ปู้เสวียนยินเงยหน้าขึ้นมองแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน“ก็ไม่เท่าไร เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว แล้วเ้ามาหาถึงที่นี่มีธุระอะไรหรือเปล่า?”
ข้ายังไม่ทันได้พูดอะไรท้องก็ร้องขึ้นเสียงดังเพื่อบอกสาเหตุของการมาแล้ว
ปู้เสวียนยินที่ได้ยินก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้“ข้าได้ข่าวว่าเ้ากินเยอะขึ้นกว่าเดิมใช่ไหม? จริงๆแล้วเ้าไม่ต้องกังวลไปหรอกเพราะมันเป็อาการปกติของคนที่สูญเสียปราณิญญาและพลังในร่างกายที่ลดลงอยู่แล้วบางทีผ่านไปสักปีครึ่งก็อาจจะหายไปเอง”
“ความจริงข้าก็ไม่ได้กังวลอะไรสักเท่าไร แต่เพราะหิวจนไส้จะขาด แถมท่านเองก็ไม่ได้ให้เงินข้าเลยสักนิด”
“อ้อ...” ปู้เสวียนยินหัวเราะจนเสียงแหบก่อนจะพูดต่อ“ข้าลืมเื่นี้ไปซะสนิทเลย เอาอย่างนี้เดี๋ยวข้าจะพาเ้าไปกินข้าวนอกสำนักเป็ไง?”
“อืม ดีเลย!”
ข้ารู้สึกดีใจขึ้นมาทันทีหลังจากนั้นปู้เสวียนยินก็เดินไปหยิบเสื้อคลุมมาสวมพอออกมาหน้าประตูองครักษ์ทั้งสองก็ทำความเคารพและมองมาที่ข้าด้วยแววตาอิจฉาเล็กน้อยซึ่งก็ทำให้ข้ารู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไร
...
“ท่านรองเ้าสำนัก ดึกป่านนี้แล้ว ท่านจะออกไปข้างนอกงั้นหรือขอรับ?”หน้าประตูยังคงมีองครักษ์ราวแปดนายยืนเฝ้าอยู่
“อืม ว่าจะออกไปหาอะไรกินสักพัก”
ปู้เสวียนยินพูดออกมาเรียบๆแต่กลับให้ความรู้สึกที่น่าเกรงขาม อาจเป็เพราะในสายตาขององครักษ์พวกนี้นางก็เป็เหมือนเทพที่น่าเกรงขามอะไรทำนองนั้น
“เสี่ยวเชวียน เห็นเ้าแบบนี้แล้วจะต้องมีเื่ไม่สบายใจแน่ๆ ใช่หรือเปล่า?”นางที่เดินอยู่ข้างๆ ถามแล้วยิ้มออกมา
“อืม”
ข้าพยักหน้ารับแล้วบอกไปอย่างไม่ปิดบัง“ข้ารู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังช่วยให้ข้าหาทางฟื้นฟูพลังกลับมาอีกครั้งและข้าก็เพิ่งรู้ว่า นอกจากปราณโดยกำเนิดแล้วยังมีปราณ์อยู่อีกบางทีมันอาจจะเป็ความหวังเดียวของข้าก็ได้”
“ปราณ์?”
ปู้เสวียนยินขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น“ความแข็งแกร่งของปราณ์สู้ปราณหลักไม่ได้ ถึงแม้จะสามารถทำลายมันได้แต่พลังที่ฟื้นกลับมาก็จะมีไม่ถึงสองส่วนด้วยซ้ำ และมันก็อันตรายมากอีกด้วยสภาพร่างกายของเ้าตอนนี้ยังยากเกินกว่าที่จะเริ่มบำเพ็ญขั้นเบิกชีพจร์ใหม่ได้เ้าแน่ใจแล้วเหรอที่จะทำแบบนั้น?”
“ถึงแม้วิธีนี่มันจะเสี่ยงและความหวังมันจะน้อยนิดแต่ข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่น”
“อืม”
ปู้เสวียนยินพยักหน้าเบาๆแล้วพูดขึ้น “แต่เ้าไม่มีพลังิญญา ดังนั้นการที่จะทะลวงปราณ์ก็มีเพียงทางเดียวคือใช้ลมปราณของตัวเ้าเองแต่นั่นก็หมายความว่ามันจะเกิดความท้าทายกับร่างกายของเ้าเป็อย่างมากอีกอย่างถ้าเกิดว่าเ้าอยากจะประสบความสำเร็จก็ต้องใช้เคล็ดวิชาการต่อสู้ของตระกูลปู้ที่สืบทอดต่อกันมา แล้วนี่วิชาปราบิญญาของเ้าฝึกไปถึงไหนแล้วหลายปีมานี่ข้าก็ไม่ได้ถามเ้าเลย”
วิชาปราบิญญาเป็วิชาที่ตระกูลปู้สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นเล่าว่ามันมีมาั้แ่เมื่อพันปีก่อน โดยแบ่งออกเป็สี่ท่าไม้ตายซึ่งเคล็ดวิชาการต่อสู้ถือเป็พื้นฐานของวิชาปราบิญญา ผู้ที่อยากจะฝึกวิชาปราบิญญาจำเป็ต้องเรียนรู้และฝึกฝนเคล็ดวิชาการต่อสู้เสียก่อนเพราะสามารถเพิ่มพลังได้อย่างมหาศาลและให้โทษแก่ร่างกายอย่างมากเช่นเดียวกันซึ่งผู้ใช้พลังจะาเ็น้อยกว่าศัตรูเพียงแค่สองส่วนแต่เพื่อการแสวงหาพลังบรรพบุรุษของตระกูลปู้ก็ยังคงถ่ายทอดพลังนี้จากนี้รุ่นสู่รุ่นอยู่ดี
เคล็ดวิชาการต่อสู้แข็งแกร่งอย่างไร้เทียมทานมีเพียงผู้เป็ชายเท่านั้นที่จะฝึกได้ทำให้ปู้เสวียนยินไม่ได้เรียนเคล็ดวิชาต่อสู้จากท่านพ่อั้แ่วัยเด็กแต่กลับคิดค้นเคล็ดวิชาที่เหมาะสมกับตนเองอย่างเคล็ดวิชาใจขึ้นมาและนั่นก็เป็หนึ่งเหตุผลที่นางได้ชื่อว่าผู้มีปัญญาล้ำเลิศ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำถามของนางข้าก็ถึงกับกระแอมเล็กน้อยอย่างภูมิใจก่อนจะพูดขึ้น“วิชาปราบิญญานั่นข้าท่องกลับหลังยังได้เลยส่วนกระบวนท่าในเนื้อหาข้าก็ฝึกฝนจนเกือบสำเร็จแล้วล่ะ”
ปู้เสวียนยินสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะยิ้มและพูดออกมา“ว่าแล้วเชียวว่าเ้าต้องไม่ทำให้ข้าผิดหวังเ้าพัฒนาไปเร็วกว่าเ้าเด็กเสวียนอู่นั่นตั้งเยอะ”
ปู้เสวียนอู่เป็น้องชายแท้ๆของนาง เพียงแต่โดนผู้เป็พ่อเอาใจจนเสียคน ชอบทำตัวอวดเก่งั้แ่เด็กจน่หลังที่พ่อแท้ๆ ของนางกลับมา นางก็ไม่ค่อยคบค้าสมาคมกับพวกนั้นเท่าไรจะอยู่ก็แต่ในนามลูกสาวของท่านพ่อเท่านั้นกระทั่งนางหายไปอย่างไร้ข่าวคราวแล้วกลับมาอีกทีในนามของเทพศาสตราวุธหญิง ซึ่งนานๆทีถึงจะกลับมาบ้านครั้งหนึ่งทุกคนจึงรู้จักนางในฐานะเทพศาสตราวุธหญิงปู้เสวียนยินมากกว่าจะรู้ว่านางมีน้องชายนิสัยเสียแบบนั้นอยู่อีกคน
“พี่เสวียนยิน ถ้าท่านพูดแบบนี้แสดงว่าสนับสนุนให้ข้าทะลวงปราณ์สินะ?”
“อืม ข้าสนับสนุนอยู่แล้ว แล้วเ้าจะเริ่มบำเพ็ญเมื่อไรล่ะ?”
“พรุ่งนี้ตอนบ่ายหลังจากที่ข้าทำงานเสร็จ”
“ได้ ข้าจะให้สวี่ลู่เตรียมของไว้ก่อน”
“เตรียมอะไร?”
“ถึงเวลานั้นเ้าก็รู้เอง”ปู้เสวียนยินว่าแล้วชี้มือไปทางร้านขายเนื้อแกะย่าง “ไปกันเดี๋ยวพี่สาวคนนี้จะเลี้ยงเ้าให้กินจนพุงแตกเอง!”
“งั้นข้าจะกินแกะตัวหนึ่ง”
“เด็กบ้านี่ เ้าเป็หมูหรือไง!”
“ข้าว่าหมูก็กินจุสู้ข้าไม่ได้...”
“...”
...
ผู้ฝึกฝนในแผ่นดินหลงหลิงมีขั้นตอนที่เหมือนๆกันก็คือหลังจากที่แต่ละคนปลุกพลังปราณิญญาแล้วก็จะสามารถฝึกฝนเพื่อพัฒนาในขั้นต่อไปโดยผู้ฝึกขั้นต้นจะถูกแบ่งย่อยออกเป็ห้าขั้นตามลำดับคือขั้นเบิกิญญาขั้นหลอมปราณ ขั้นประกายจิต ขั้น์ และขั้นเทวิญญา และทั้งห้าระดับนี้ถือว่าอยู่ในระดับแรกๆก่อนจะเข้าสู่โลกของผู้ฝึกฝนิญญาที่ถูกขนานนามว่าระดับเริ่มทั้งห้าและหลังจากนั้น เมื่อบำเพ็ญต่อเนื่องก็จะเป็ขั้นผู้พิทักษ์โดยจะแบ่งเป็ขั้นผู้พิทักษ์ระดับมนุษย์ ขั้นผู้พิทักษ์ระดับพิภพขั้นผู้พิทักษ์ระดับ์ จนถึงขั้นผู้พิทักษ์ระดับดาว หรือที่เรียกกันว่าผู้พิทักษ์สี่ระดับ ซึ่งมีคำเล่าขานเกี่ยวกับโลกสี่ิญญาอยู่บ้างแต่ก็เป็เพียงคำบอกเล่าเพราะบนแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ผู้ที่ฝึกฝนได้สูงสุดก็แค่ขั้นผู้พิทักษ์ระดับดาวเท่านั้น
ใช่แล้วล่ะและตอนนี้คนที่นั่งดูข้ากินเนื้อแกะย่างอย่างปู้เสวียนยินก็เป็หนึ่งในผู้แข็งแกร่งเพียงไม่กี่คนที่ฝึกฝนจนถึงขั้นผู้พิทักษ์ระดับดวงดาว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้