การฝึกฝนระดับต้นคือการให้ปราณิญญาเข้าสู่กล้ามเนื้อแล้วแล่นผ่านจุดปราณสามภพให้แตกเพื่อเชื่อมเส้นลมปราณหลักกับเส้นลมปราณเล็กๆเข้าด้วยกัน ในส่วนของขั้นเบิกิญญา ขั้นหลอมปราณ และขั้นประกายจิตล้วนเป็สิ่งที่ข้าก้าวผ่านทั้งหมดมาอย่างราบรื่น ส่วนขั้น์นั้นถือเป็จุดที่ยากเกินกว่าจะข้ามผ่านไปได้สำหรับบางคนก็ไม่สามารถทะลวงทำลายจุดกั้นของปราณ์เพื่อเข้าสู่ขั้น์ได้เลยตลอดชีวิตผิดกับข้าที่ทำได้สำเร็จั้แ่อายุเพียงสิบสี่ปี
“ได้ยินว่าเมื่อวานเ้าประลองกับซูเหยียนงั้นเหรอ?” ปู้เสวียนยินซดน้ำซุปเนื้อแกะไปหนึ่งคำก่อนจะถามขึ้นแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“อืม นางบอกจะต้องประลองให้ได้ ข้าเองก็ไม่มีทางเลือก”
“คราวหลังก็อย่าใจร้อนแบบนี้อีกเพราะยังไงซูเหยียนก็เป็ถึงลูกสาวของท่านเสนาบดี แถมอารมณ์ของนางก็ไม่ค่อยจะดีอีกถ้าเกิดว่านางไม่รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาขึ้นมา เ้าเองนั่นแหละที่จะเสียเปรียบ”นางพูดด้วยน้ำเสียงคล้ายตำหนิ แต่ก็เต็มไปด้วยความห่วงใย
พอได้ยินแบบนี้ข้าเองก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาก่อนจะถามอีกฝ่ายกลับ “ท่านพี่ ถ้าเกิดข้าถูกซูเหยียนทำร้ายขึ้นมาจริงๆท่านจะทำยังไง?”
ปู้เสวียนยินขมวดคิ้วเป็ปมแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่สนใครหน้าไหน “นางทำเ้าเจ็บเท่าไรข้าก็จะทำนางเจ็บเท่านั้น อย่าว่าแต่ท่านเสนาบดีเลย ต่อให้จักรพรรดิมาช่วยห้ามก็ไม่มีประโชยน์เพราะข้ามีน้องชายแค่คนเดียว...”
“แล้วเสวียนอู่ล่ะ?”
“เฮอะ ข้าตัดขาดกับสองพ่อลูกนั่นไปนานแล้ว”นางว่าพลางมองมาที่ข้าด้วยแววตาที่อ่อนลง “ข้าแยกออกว่าใครคือญาติพี่น้องเ้าเองก็น่าจะเข้าใจ...”
“ข้ารู้น่าท่านพี่”
“กินเข้าไป!”
“เถ้าแก่ เอาแผ่นแป้งย่างมาอีกสองหม้อ!”
“...”
...
แค่ข้าวมื้อเดียวแต่กลับหมดไปเจ็ดร้อยกว่าเหรียญหลงหลิงทำให้พี่เสวียนยินกลับมาส่งข้าที่โรงเกลากระบี่แบบไม่ค่อยสบอารมณ์แล้วก็กลับไปเลยแต่นางก็ไม่ลืมที่จะทิ้งเงินไว้สองพันเหรียญสำหรับค่าข้าวของข้าใน่นี้
กินอิ่มหนำจนพุงกางแล้วข้าก็รีบเข้านอนรู้ตัวตื่นอีกทีก็เข้าเช้าของวันใหม่แล้ว
หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จก็กลับมาทำงานต่ออย่างทุกวัน
ดูเหมือนว่าศิษย์ใหม่จะมีความสามารถที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆทำให้จำนวนกระบี่ที่ต้องเอาไปส่งมีมากกว่าเมื่อวานถึงยี่สิบกว่าเล่ม
แสงอาทิตย์สาดส่องไปทั่วบริเวณเสียงของการฝึกซ้อมจากสนามก็ดังขึ้นมาเป็ครั้งคราวกลุ่มนี้ถือว่าเป็กลุ่มศิษย์ที่แข็งแกร่งพอสมควรเพราะพลังของบางคนก็เข้าขั้นประกายจิต หรือสูงกว่านั้นร่วมสามสิบกว่าคนเลยทีเดียวแต่น่าเสียดายที่ข้าสูญเสียพลังไปซะก่อนไม่อย่างนั้นอันดับหนึ่งของปีนี้ต้องตกเป็ของข้าอย่างแน่นอน ถ้าพูดถึงเื่การฝึกฝนแล้วซูเหยียนน่าจะอยู่ในขั้น์ระดับกลางเท่านั้นแต่ข้าเป็ถึงขั้น์ระดับสมบูรณ์ และถ้าไม่ใช่เพราะปราณิญญาสลายไปละก็ตอนนี้คงใกล้จะบรรลุขั้นเทวิญญาอย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน
ขณะกำลังครุ่นคิดอยู่ก็มีกลุ่มศิษย์ที่แต่งกายด้วยชุดของสำนักมายืนอยู่ตรงหน้ารถเข็นคนผมสีทองหนึ่งในนั้นเดินตรงเข้ามาขวางด้วยใบหน้าที่อวดดีก่อนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงและสายตาเชิงยั่วยุ“เ้าคือศิษย์ตัวสำรองที่ชื่อปู้อี้เชวียนนั่นใช่ไหม?”
“ใช่ มีอะไรหรือเปล่า?”
เขาแสยะยิ้มยกหัวแม่มือชี้เข้าหาตัวเองก่อนจะพูดขึ้น “ถ้าไม่มีเื่อะไรข้าก็จะมาหาเ้าไม่ได้งั้นเหรอ? นี่เ้าไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของข้าที่ชื่อว่าเฉิ่นลั่งหรือไง?”
“ไม่เคย แล้วก็ช่วยหลีกทางให้ข้าด้วย” ข้าขมวดคิ้วบอกไปข่าวที่ลงในหนังสือพิมพ์นั่นหาเื่ให้ข้าอย่างที่เคยพูดไว้จริงๆ
“จุ๊ๆๆ อารมณ์ร้ายไม่เบานี่” เฉิ่นลั่งว่าแล้วยื่นมือที่แข็งแรงกั้นรถของข้าไม่ให้เข็นไปต่อก่อนจะใช้มืออีกข้างหยิบกระบี่ในรถเข็นโยนมาให้ข้า แล้วพูดต่อ“ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าคนที่เอาชนะซูเหยียนได้จะเก่งขนาดไหน!”
ว่าแล้วเขาก็ยกมือขวาขึ้นวาดไปกลางอากาศเป็รูปกระบี่เพียงชั่วครู่พลังิญญาก็แผ่ออกมา เผยให้เห็นอาวุธิญญาประจำกายของเขา“กระบี่สลายิญญา จงออกมา!”
ข้าโยนกระบี่ลงไปที่เดิมก่อนจะพูดขึ้น“ข้าจะไม่สู้กับเ้า หรือเ้าอยากจะแหกกฎของสำนักกันล่ะ?”
“อย่างงั้นเหรอ?”
เฉิ่นลั่งถามขึ้นก่อนจะถีบรถเข็นนั่นจนกลิ้งตลบแล้วแสยะยิ้ม “ข้าแหกกฎแล้วใครจะทำไม? เ้าจะสู้หรือไม่สู้?อย่าบีบให้ข้าต้องลงมือก่อนจะดีกว่า”
ส่วนกลุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆต่างก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “นี่เ้าศิษย์สำรองความหยิ่งยโสที่เอาชนะซูเหยียนวันก่อนมันหายไปไหนแล้วล่ะ? นี่เ้าไม่กล้าสู้กับลูกพี่เฉิ่นของข้าอย่างงั้นเหรอ?”
หนึ่งในนั้นเตะกระบี่ให้หมุนคว้างกางอากาศแล้วพุ่งตรงมาหาข้าอย่างรวดเร็วแม้ว่าจะไม่มีพลังิญญาเหลืออยู่แต่ก็ยังว่องไวเหมือนเดิม
ก่อนที่กระบี่จะใกล้ประชิดตัวข้าเฉิ่นลั่งก็ะโเสียงดัง เขาพุ่งเข้ามาพร้อมกับกระบี่สลายิญญาในมือและด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเกินต้านข้าจึงทำได้เพียงใช้กระบี่เหล็กเข้าขวางเอาไว้เท่านั้น
เคร้ง!
หลังมือมีอาการชาจากแรงกระแทกส่วนร่างกายก็ถูกพละกำลังอันแข็งแกร่งของเฉิ่นลั่งพุ่งเข้าใส่จนเซถลาไปชนเข้ากับกำแพงที่ห่างออกไปเกือบสองเมตร
เขามองมาอย่างลำพองใจก่อนจะพูดขึ้น“คิดว่าคนอย่างเ้าจะมากั้นพลังที่รุนแรงกว่าสามร้อยสี่สิบชั่งของข้าได้งั้นหรือ?”
ชั่งเป็หน่วยวัดพลังของสหพันธ์หลงหลิง โดยอาวุธิญญาจะมาจากการวัดพลังของผู้เป็นายและแน่นอนว่าพลังยิ่งเยอะเท่าไรความแข็งแกร่งก็ย่อมมากขึ้นเท่านั้นเฉิ่นลั่งเป็ผู้ฝึกฝนขั้น์ที่มีพลังสามร้อยสี่สิบชั่งก็ถือว่าไม่เลวแต่เมื่อดูจากชื่อบนหน้าอกจึงได้รู้ว่าเขาไม่ใช่ศิษย์ใหม่ในปีนี้แต่เป็ศิษย์ระดับสูงของสำนักจวี๋ฉี
ข้าบัดฝุ่นบนไหล่ก่อนจะพูดต่อ“เ้ายังจะสู้ต่อหรือเปล่า?”
“แน่นอน ข้าจะไม่หยุดจนกว่าจะได้เหยียบเ้าให้จมดิน!” เฉิ่นลั่งมองอย่างดูถูกแล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างจากสายตาสักเท่าไร “เ้าวางใจได้พลัง์ของข้าจะทำหน้าที่เป็เกราะิญญาว่าแต่เ้าเถอะ...แม้แต่เกราะิญญายังไม่มีเลย พลังของข้าจึงใช้กับเ้าไม่ได้ก็ถือว่าได้เปรียบในเื่นี้ไป”
ข้ากัดฟันด้วยความโกรธและดูเหมือนว่าวันนี้คงจะเลี่ยงไม่ได้แล้วข้าจึงรวบรวมพลังทั้งหมดที่มีส่งผ่านเสียงตวาดเข้มออกไปเพียงชั่วพริบตาก็มีพลังสีขาวแผ่ซ่านออกมา นี่ไม่ใช่พลังิญญาแต่คือพลังทั้งหมดในร่างกายที่ได้จากการฝึกฝนเคล็ดวิชาการต่อสู้และมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถผ่านการฝึกอันแสนทรหดและใช้พลังที่สามารถมองเห็นได้ซึ่งเคล็ดวิชาการต่อสู้ของข้าก็ใช้ได้เพียงพลังพื้นฐานอันน้อยนิดหรือแทบจะไม่มีเลยเพราะเคยโดนสลายพลังมาก่อน
“ฮ่าๆๆ ในที่สุดเ้าก็ยอมแสดงพลังออกมาแล้วสินะ?”
เฉิ่นลั่งหัวเราะออกมาอย่างชอบใจก่อนจะพุ่งเข้ามาดุจลูกศรธนู เขาง้างกระบี่สลายิญญาฟันลงมาที่กระบี่เหล็กของข้าเต็มแรงแล้วมีหรือที่กระบี่ธรรมดาจะต้านทานอาวุธิญญาได้และเมื่อโดนแรงปะทะมากขึ้นตัวข้าก็ยิ่งถอยร่นกลับไปทุกครั้งตอนนี้พลังในร่างกายของข้าก็เริ่มอ่อนล้าเต็มทีมันไม่ง่ายเลยที่จะใช้พลังกายของคนธรรมดาเพื่อต่อสู้กับพลังของผู้ที่ฝึกฝนขั้น์ได้
ศิษย์ที่มุงดูต่างส่งเสียงเชียร์อย่างชอบใจ“พี่เฉิ่นสู้ๆ ใช้พลังซัดมันให้หมอบลงไปเลยดูซิว่ามันจะกล้าอวดดีกับพี่อีกหรือเปล่า!”
เวรเอ๊ย!เฉิ่นลั่งสบถออกมาเบาๆ ขนาดโจมตีไปถึงสองรอบยังทนได้อีก “ตายยากตายเย็นซะจริงๆ มา!ครั้งต่อไปข้าจะไม่ออมมือแล้วนะ!”
พลังที่แผ่ออกมาจากกระบี่สลายิญญาเผยให้เห็นว่าเฉิ่นลั่งก็เริ่มเอาจริงขึ้นมาแล้ว
แต่ในตอนนี้เองก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากอีกฟาก “หยุดเดี๋ยวนี้นะ เฉิ่นลั่ง!”
เ้าของเสียงนั้นก็คือสวี่ลู่ที่กำลังหอบกองเอกสารไว้ในมือนางมองมาที่ข้ากับเฉิ่นลั่งจนเข้าใจทุกอย่างก่อนจะพูดขึ้น “เฉิ่นลั่งเ้าเป็ถึงคนของสำนักจวี๋ฉี แต่กลับไม่รู้กฎของสำนักว่าการใช้อำนาจท้าประลองกับศิษย์สำรองมันเท่ากับรังแกคนที่อ่อนแอกว่าอย่างงั้นเหรอ!”
“ผู้ช่วยสวี่ เ้าฟังข้าก่อน...” เฉิ่นลั่งยิ้มแห้งก่อนจะพูดต่อ“ก็เขารับคำท้าของข้าเอง”
“ไปให้พ้น!”
สวี่ลู่ทำสีหน้าจริงจังพลางพูดขึ้นเสียงดัง“ถ้าเกิดเ้ากล้าผิดกฎของสำนักอีก ต่อให้เอาพ่อของเ้ามาก็คงช่วยอะไรไม่ได้ถ้าไม่เชื่อก็ลองดู ออกจากสนามฝึกแล้วไปรับโทษเดี๋ยวนี้!”
“ได้...ได้...ผู้ช่วยสวี่”
เฉิ่นลั่งรับคำสายตาก็จับจ้องมาที่ข้าพักหนึ่ง ก่อนจะหันไปพูดกับกลุ่มเพื่อนที่มาด้วยกัน “พวกเรากลับ!”
...
“เสี่ยวเชวียน เ้าไม่เป็ไรใช่ไหม?”
สวี่ลู่ช่วยข้าพลิกรถเข็นขึ้นก่อนจะพูดต่อ“ข้าต้องขอโทษด้วยจริงๆ ...ในสำนักก็แบบนี้แหละ ชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่าและเฉิ่นลั่งก็เป็หนึ่งในนั้น ใครๆ เขารู้กันไปทั่ว...”
ข้าเอากระบี่กลับไปวางไว้ในรถแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม“ข้าทราบดี พี่ลู่ จริงๆ แล้วท่านก็ไม่จำเป็ต้องมาปลอบข้าหรอกเพราะข้าเองก็ไม่ใช่ลูกไก่ที่เพิ่งฟักออกมาจากเปลือกสักหน่อย”
สวี่ลู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา“ดูเ้าสิ อายุยังน้อยแต่คำพูดคำจาอย่างกับผู้ใหญ่เ้าไม่ใช่ลูกไก่แต่เป็พ่อเหยี่ยวแล้วอย่างงั้นเหรอ? เ้าเด็กนี่ ประสบการณ์เ้าก็โชกโชนไม่เบาเหมือนกันนี่...”
ข้าเองก็ยิ้มออกมาเหมือนกันสวี่ลู่นางเป็คนสนิทของพี่เสวียนยิน ความรู้สึกที่มีให้จึงไม่ต่างกันเท่าไรนัก
“เอาล่ะ ข้ายังมีงานต่อ เ้าก็ไปได้แล้วถ้าเกิดโดนรังแกอีกละก็อย่าลืมบอกข้าเชียวนะข้าจะช่วยจัดการกับพวกมดแมงตัวน้อยพวกนี้เอง”
“อืม ท่านไปเถอะ”
ข้าเริ่มเข็นรถแล้วทำงานต่อ
โชคดีที่หลังจากเฉิ่นลั่งแล้วก็ไม่มีใครมาหาเื่อีกเลยทั้งวันด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ข้ารู้ว่า จริงๆแล้วสำนักหมื่นิญญาก็เพียงสังคมใหญ่แบบย่อส่วนและพวกชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่าก็มีอยู่ด้วยกันทุกที่ ในบรรดาห้าสำนักใหญ่ศิษย์ของสำนักจวี๋ฉีถือว่าแข็งแกร่งที่สุดดังนั้นการที่คนของสำนักจวี๋ฉีจะรังแกพวกที่อ่อนแอกว่าอีกสี่สำนักจึงเป็เื่ปกติขอแค่ไม่ถึงชีวิตเป็พอ ซึ่งทางสำนักเองก็ดูแลไม่ไหวหรือถึงขั้นไม่กล้าที่จะเข้ามายุ่งเลยก็ว่าได้ เพราะั้แ่ลูกหลานที่เดินบนถนน ไปจนถึงลูกสาวของเสนาบดีและศิษย์พวกนั้นต่างก็เป็ลูกของผู้มีอำนาจทั้งนั้น
ส่วนซูเหยียนก็คงจะมีแต่นางที่ไปรังแกคนอื่นเพราะคงไม่มีทางที่คนอื่นจะมารังแกนางได้
...
หลังจากทำงานและไล่ซ้งเชียนให้กลับไปแล้วข้าก็เริ่มฝึกการทะลวงปราณ์ทันที
โรงเกลากระบี่ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบสงัดมีเพียงเสียงเดียวที่ยังดังอยู่ขณะนี้ก็คือเสียงจากโรงท่อน้ำที่ระบายสิ่งปฏิกูลลงท่อรวมถึงกลิ่นเหม็นที่ลอยมาผ่านมาเป็ระยะๆ
เพียงได้เริ่มใช้เคล็ดวิชาการต่อสู้ไอจากพลังสีขาวก็แผ่กระจายออก และค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายและดูดซับพลังอย่างเต็มที่ก่อนจะส่งผ่านไปตามจุดลมปราณต่างๆ และเข้าทำลายจุดที่ปิดกั้นออกไปได้ปราณ์จึงเปรียบเสมือนทางน้ำที่ไม่ได้เหือดแห้งไปเพียงแต่มีบางอย่างกั้นขวางไว้เท่านั้น
หลังจากนั้นไม่นานข้าก็รู้สึกราวกับหลุดพ้น ทุกส่วนของร่างกายเบาโล่งเพราะใช้ลมปราณไปจำนวนมาก ซึ่งเป็ผลมาจากการสูญเสียพลังิญญาจึงต้องนำพลังลมปราณของลมปราณเข้ามาแทน
ขั้นตอนนี้เป็สิ่งที่ต้องใช้เวลาและข้าเองก็ค่อยๆตกลงไปในภวังค์ ไม่นานเสียงโดยรอบก็เงียบหายไปแม้แต่จมูกเองก็ไม่ได้รับกลิ่นเหม็นนั้นอีกทั้งเนื้อทั้งตัวร่างกายของข้าตกอยู่ในห้วงแห่งภวังค์อันเป็ผลจากการฟื้นฟูด้วยพลังของเคล็ดวิชาการต่อสู้หรือจะเป็อย่างที่พี่เสวียนยินเคยพูดไว้ว่าวิธีนี้อาจจะได้ผล และมันก็ได้ผลจริงๆ!
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรกว่าที่ทุกอย่างจะกลับมาเป็ปกติสิ่งที่เคยปิดกั้นเส้นปราณ์ก็ถูกทำลายออกจนหมด ภายในร่างกายเหมือนถูกเชื่อมต่อกันจนรู้สึกโล่งสบายและรับรู้ถึงการกลับมาของพลังิญญาอีกครั้งหนึ่ง!
เพียงอึดใจเดียวจุดปราณสามภพก็กลับมาเปิดอีกครั้ง!
หลังจากที่ข้าได้ดูดซับกลิ่นอายของิญญาประมาณหนึ่งและหลอมรวมกันจนเกิดเป็พลังิญญา ไม่นานก็รู้สึกถึงพลังที่แล่นไปทั่วแขนทั้งสองข้างและไหลผ่านจุดปราณทั้งสามที่ฝ่ามือเพราะจะต้องเชื่อมจุดสามภพเข้าด้วยกันจึงจะสามารถควบคุมหรือเรียกอาวุธและเกราะิญญาออกมาได้!!!
...
พรึบพรึบ...
เส้นสีเขียวเป็ลำแล่นจากข้อมือไปถึงใจกลางฝ่ามือและไหลวนอยู่อย่างนั้นมันเต็มไปด้วยชีวิตและกลิ่นอายของิญญาแต่ก็ทำให้ปวดร้าวและแสบร้อนราวกับถูกไฟลุกไหม้เช่นกันเส้นปราณทั้งสามเมื่อถูกทำลายก็เริ่มแยกออกจากกันนั่นหมายความว่าจุดปราณสามภพเริ่มมีรอยแตกออกมาแล้ว!
ข้าะโร้องด้วยความดีใจแล้วหัวเราะลั่น‘ขั้นเบิกิญญา’ ข้ากลับมาแล้ว!!!