เฉียวลู่เขียนสูตรอาหารที่ปรุงจากกุ้งให้เถ้าแก่จีคือ หม่าล่าต้ม ผัดโป๊ยเซียนที่นางทำให้เด็กๆ กินวันแรกและข้าวอบจักรพรรดิ โชคดีที่นางอ่านมาก่อน จากนั้นนางก็ตามผู้ช่วยเหวินไปที่ครัวด้านล่างทำอาหารสองสามอย่างที่ทำจากกุ้งให้เถ้าแก่จีชิม แต่ดูเหมือนว่าผู้ช่วยเหวินไม่ได้ยกอาหารไปที่ห้องของเถ้าแก่จีที่ชั้นสอง แต่ผู้ช่วยเหวินยกถาดอาหารไปที่ห้องรับรองพิเศษห้องหนึ่งที่อยู่บนชั้นสามแทน เฉียวลู่ไม่ค่อยเข้าใจนักแต่นางก็ไม่สนใจว่าเขาจะยกไปให้ใครชิมเพราะนางได้รับค่าสูตรอาหารมาแล้ว
ผู้ช่วยเหวินเข้าไปในห้องนั้นสักพักจากนั้นจึงออกมาจากห้องนั้นพร้อมกับถาดที่มีผ้าไหมสีแดงคลุมอยู่ เฉียวลู่ที่ยืนรออยู่ก็ใช้สายตาถามผู้ช่วยเหวินว่าเป็อย่างไรบ้าง ผู้ช่วยเหวินยิ้มให้เฉียวลู่อย่างใจดีจากนั้นจึงเปิดผ้าที่คลุมถาดออก ตั๋วเงินสองร้อยตำลึงวางอยู่บนนั้นพร้อมทั้งก้อนเงินอีกหลายสิบก้อน
“นี่เป็รางวัลที่มอบให้กับเ้าผู้ที่ทำอาหารได้ถูกปากนายท่าน แม่นางเฉียวเ้ารู้หรือไม่ว่าั้แ่ท่านผู้นั้นมาพักอยู่ที่นี่ก็ไม่เคยมีพ่อครัวคนไหนทำอาหารที่นายท่านเอ่ยชมสักครั้ง เ้ารู้หรือไม่ว่าเ้านั้นเป็คนแรก”
เฉียวลู่อึ้งไปสักพักนางไม่รู้เลยว่าตอนที่นางกำลังร้อนเงินจะมีมือจาก์หยิบยื่นความช่วยเหลือมาให้นางเช่นนี้ ถึงเฉียวลู่จะดูพอใจเพียงใดนางก็ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า นางยังคงสงบนิ่งเหมือนกับว่าไม่ได้หวั่นไหวไปกับเงินมากมายที่อยู่ตรงหน้า ทุกอิริยาบถของเฉียวลู่ล้วนอยู่ในสายตาของใครบางคน
ผู้ช่วยเหวินอดที่จะชื่นชมแม่นางน้อยผู้นี้ไม่ได้ ถ้าหากว่าเป็ผู้อื่นหรือแม้แต่ตัวเขาเองคงจะดีใจจนสั่นไปทั้งตัวแล้ว ถ้าหากได้รับเงินที่ตกรางวัลมากมายเช่นนี้แต่นางกลับไม่แยแสเหมือนว่าเงินมากมายเช่นนี้เป็สิ่งที่นางได้พบเห็นอยู่เป็ประจำ
"ฝากท่านไปขอบคุณนายท่านผู้นั้นแทนข้าด้วยนะเ้าคะ" เฉียวลู่รับตั๋วเงินสองร้อยตำลึงมา ส่วนก้อนเงินที่คะเนจากสายตาน่าจะมากกว่าห้าสิบตำลึงนางไม่ได้แตะต้องมัน
“นี่เป็ส่วนของท่านเ้าค่ะ ถ้าหากว่าผู้ช่วยเหวินไม่เป็คนที่ยกอาหารของข้าไปที่ห้องพิเศษห้องนั้นข้าก็คงไม่ได้รับเงินรางวัล ดังนั้นท่านจึงมีส่วนด้วย”
ผู้ช่วยเหวินมีท่าทางอึกอัก ถึงเขาจะทำงานเป็ผู้ช่วยแต่เงินเดือนในแต่ละเดือนก็ไม่ได้มากมายเพียงแค่พอใช้ในแต่ละเดือน แต่นี่แม่นางกับไม่แยแสเงินที่มากขนาดนี้ทั้งยังยกให้กับเขาอีก นางช่างเป็คนดีและเอื้อเฟื้อแก่ผู้อื่นยิ่งนัก
เฉียวลู่ไม่รู้ความคิดที่อยู่ในใจของผู้ช่วยเหวิน แต่ในอนาคตนางยังต้องใช้ชายวัยกลางคนผู้นี้อยู่ มีน้ำใจกับเขาเล็กน้อยไม่นับว่าเป็อะไร สำหรับนางแล้วเื่แบบนี้ถือว่าเป็เื่เล็กน้อยเท่านั้น เมื่อได้รับรางวัลนั่นแปลว่าอาหารของนางใช้ได้ดังนั้นเฉียวลู่ก็หมดหน้าที่ที่นี่แล้วนางกล่าวลาเถ้าแก่จีและผู้ช่วยเหวินจากนั้นจึงกลับไปหาจางหย่งที่รออยู่ที่เกวียนวัว
คล้อยหลังของเถ้าแก่จีและผู้ช่วยเหวิน บุรุษชุดดำที่สวมหน้ากากสีดำดูลึกลับนั่งมองอาหารที่ถูกจัดการไปจนเกลี้ยงด้วยสายตาเหม่อลอย นี่คืออาหารที่นางทำเด็กสองคนนั้นได้ทานอาหารรสเลิศเช่นนี้ทุกวันอย่างนั้นหรือ ตัวเขาเองก็อยากจะเป็ส่วนหนึ่งในนั้นเช่นกันนะ เพียงแต่ตอนนี้เขายังเปิดเผยตัวไม่ได้ไม่เช่นนั้นทั้งนางและเด็กทั้งสองคนจะต้องเป็อันตรายแน่
“ส่งคนไปตามอารักขานางสี่คน”
เสียงที่เ็าถูกเปล่งออกมาอย่างเนิบช้า รังสีสังหารที่ถูกปล่อยออกมาจากตัวเขาทำให้ผู้ติดตามทั้งสองรู้สึกอึดอัด
“ขอรับนายท่าน”
ชายหนุ่มที่สวมชุดดำออกมาจากมุมหนึ่งของห้องคุกเข่ารับคำจากนั้นจึงทะยานออกจากห้องไปอย่างไร้ร่องรอย เฉียวลู่ไม่รู้ว่าตอนนี้นางกำลังถูกใครบางคนจับตามอง นางกำลังอารมณ์ดีเป็อย่างยิ่งเพราะตั๋วเงินสองร้อยตำลึงที่อยู่ในอกเสื้อ เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้านมู่โฉวเฉียวลู่ก็ตรงดิ่งไปหาแม่เฒ่าหลี่ทันที
“ท่านยายเ้าคะข้ามีเื่อยากจะถามท่าน เพราะข้าจำเื่ราวในอดีตไม่ได้ดังนั้นข้าจึงไม่รู้ว่าพื้นที่ที่ข้าอยู่นั้นมีขนาดเท่าใด ท่านยายท่านพอจะรู้หรือไม่”
แม่เฒ่าหลี่นิ่งคิดเล็กน้อย
“ข้าเองก็จำไม่ได้เอาอย่างนี้เราไปหาหัวหน้าหมู่บ้านกันเ้าจะได้รู้ว่าท่านพ่อของเ้าซื้อที่เอาไว้มากน้อยเท่าใด”
เฉียวลู่พยักหน้าเห็นด้วยกับแม่เฒ่าหลี่ เ้าหัวไชเท้าน้อยทั้งสองของนางตอนนี้ตามหลิวหงและฉินจื่อเฉินไปจับกุ้งที่สระบัวที่เรือนของแม่เฒ่าหลี่จึงเงียบมาก เฉียวลู่ไม่ได้ถามหาเด็กๆ เพราะนางรู้ว่าพวกเขาจะต้องดูแลบุตรชายทั้งสองของนางเป็อย่างดีแน่ เฉียวลู่และแม่เฒ่าหลี่ไปที่เรือนของผู้ใหญ่บ้านที่ตั้งอยู่ใกล้กับทางเข้าหมู่บ้าน เรือนหลังขนาดกลางที่ดูเหมือนจะดีกว่าเรือนของชาวบ้านคนอื่นๆ อยู่เล็กน้อยถูกปิดประตูเอาไว้ แม่เฒ่าหลี่ะโเรียกสองสามครั้งแต่กลับไม่มีใครมาเปิดประตูเลย
“ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่นะเ้าคะ”
เฉียวลู่ฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้
“ข้าคิดว่าข้าพอจะรู้แล้วว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนเ้าค่ะท่านยาย”
จากนั้นเฉียวลู่และแม่เฒ่าหลี่ก็เดินตรงไปที่สระบัวที่ตอนนี้ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านต่างมารวมตัวกันที่นี่อย่างไม่ได้นัดหมาย อีกไม่กี่เดือนก็จะเข้าหน้าหนาวแล้วน้ำในสระบัวก็จะแห้งขอด ถึงตอนนั้นกุ้งก็ไม่มีให้จับแล้ว ตอนนี้พวกเขาเลยต้องรีบกอบโกยก่อนที่หิมะจะตกลงมา เมื่อเฉียวลู่และแม่เฒ่าหลี่มาถึงสระบัวทุกคนที่ได้รับผลประโยชน์จากบ้านสกุลจางต่างก็กล่าวทักทายนางอย่างเป็มิตรรวมไปถึงเฉียวลู่ผู้ที่ทำให้ชาวบ้านมีรายได้ด้วย เฉียวลู่ตอบรับคำทักทายชาวบ้านทีละคน นางมองไปรอบๆ จึงเห็นว่ามีเ้าหัวไชเท้าน้อยสองหัวที่ตัวคลุกโคลนดำไปทั้งตัว ใกล้ๆ กันยังมีเด็กๆ จากในหมู่บ้านที่กำลังเล่นโคลนเป็เพื่อนพวกเขา เฉียวลู่ถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ ช่างเถอะปล่อยให้ออกมาเล่นบ้างเขาจะได้มีเพื่อนไม่ใช่เอาแต่ตามติดนาง
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้านอยู่ที่นี่หรือไม่เ้าคะ”
เฉียวลู่ะโลงไปในสระบัวที่มีคนมากมายตัวเลอะโคลนจนมองไม่ออกว่าใครเป็ใคร
“ข้าอยู่นี่ เฉียวลู่เ้ามีธุระกับข้าหรือ”
เฉียวลู่มองไปที่ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่ตัวเปรอะโคลนจนมองไม่ออกว่าเป็ใคร
“เ้าค่ะข้ามีเื่ให้ท่านช่วย”
“เช่นนั้นข้ากลับเรือนไปเปลี่ยนชุดก่อนเ้าตามไปพบข้าที่นั่นแล้วกัน”
จากนั้นไม่นานเฉียวลู่ก็นั่งประจันหน้ากับหัวหน้าหมู่บ้านแซ่หลี่ซึ่งเป็ญาติห่างๆ แซ่เดียวกันกับแม่เฒ่าหลี่
"ท่านหัวหน้าหมู่บ้านยังจำได้หรือไม่เ้าคะว่าท่านพ่อของข้าได้ซื้อที่ปลูกเรือนมากน้อยเท่าใด" หัวหน้าหมู่บ้านพยักหน้าจากนั้นจึงกลับเข้าห้องไปค้นหาหนังสัญญาซื้อขายที่ดินในหมู่บ้านออกมายื่นให้เฉียวลู่ พื้นที่ขนาดไม่กว้างเพียงแค่หนึ่งหมู่เท่านั้นไม่สามารถปลูกหรือทำสิ่งใดได้ เฉียวลู่เข้าใจในตอนนั้นว่าท่านพ่อของร่างเดิมคงจะไม่มีเงินเหลือแล้วเพราะต้องเดินทางรอนแรมมาจากชายแดน ไม่เช่นนั้นกระท่อมที่พวกเขาอยู่คงจะไม่ทรุดโทรมขนาดนั้น
“ข้าอยากจะซื้อที่เชิงเขาเพิ่มไม่ทราบว่าราคาอยู่ที่หมู่ละเท่าไหร่เ้าคะ”
หัวหน้าหมู่บ้านหยิบแผนที่หมู่บ้านออกมาให้เฉียวลู่ดู
“เ้าคิดจะซื้อที่บนเนินเขานั่นจริงหรือ หากอยากซื้อที่ทำไมไม่มาซื้อที่ในหมู่บ้านเล่า ราคาต่างกันไม่เท่าไหร่”
เฉียวลู่นิ่งคิด นางชอบบรรยากาศที่มองมาจากบนเนินเขาถึงแม้มันจะอยู่ห่างจากหมู่บ้านเล็กน้อยแต่ก็ไม่เป็ไร เฉียวลู่ตัดสินใจซื้อที่เชิงเขาเช่นเดิม
“ข้าชอบที่นั่นเ้าค่ะ อีกอย่างนั่นก็เป็มรดกที่ท่านพ่อเหลือเอาไว้ให้ข้าก่อนตาย ข้าอยากซื้อพื้นที่ตรงเชิงเขาไปจนถึงตีนเขาไม่ทราบว่ามีประมาณกี่หมู่และหมู่ละเท่าไหร่เ้าคะ”
หัวหน้าหมู่บ้านเคารพการตัดสินใจของเฉียวลู่นางและบิดามาอยู่ที่นี่สี่ปีกว่าแล้วนับว่าเป็ส่วนหนึ่งของหมู่บ้านมู่โฉวเช่นกัน
“คำนวณจากสายตาน่าจะราวๆ ยี่สิบหมู่ หมู่ละห้าตำลึง เดี๋ยวข้าจะให้คนไปวัดพื้นที่ที่เ้าจะซื้อแล้วข้าจะมาบอกเ้าทีหลังนะ”
เฉียวลู่พยักหน้าจากนั้นนางจึงควักเงินห้าตำลึงออกมาจากแขนเสื้อยื่นให้หัวหน้าหมู่บ้าน
“ข้ารบกวนท่านด้วยเ้าค่ะ เงินนี้สำหรับเดินเื่สัญญาซื้อขายที่ดินเมื่อถึงวันที่จะต้องไปทำสัญญาซื้อขายที่อำเภอข้าต้องรบกวนท่านหัวหน้าหมู่บ้านอีกครั้ง”
หัวหน้าหมู่บ้านหลี่ดีใจแต่ก็ยังรักษาท่าที
“ได้สิเ้าไม่ต้องกังวลข้าจะรีบจัดการให้เรียบร้อย”
หัวหน้าหมู่บ้านหลี่ทำงานได้อย่างรวดเร็วมาก วันต่อมาเฉียวลู่ก็นั่งเกวียนไปที่อำเภอเป่ยจิงพร้อมกับหัวหน้าหมู่บ้านอีกครั้งเพื่อไปทำสัญญาซื้อขาย เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเฉียวลู่พับหนังสือสัญญาและโฉนดที่ดินอย่างระมัดระวัง นี่เป็สินทรัพย์ชิ้นแรกที่นางมีในยุคโบราณ ต่อไปนางจะซื้อที่เยอะๆ เก็บเอาไว้ ให้บุตรชายทั้งสองของนาง ปล่อยเช่าทำนาจากนั้นลูกชายของนางก็ไม่ต้องทำงานหนักแค่เก็บค่าเช่าเท่านั้นก็พอ
่สายก่อนออกจากอำเภอเป่ยจิงเฉียวลู่เห็นคนกำลังทะเลาะกัน ชายร่างใหญ่ผู้ชั้นท่าทางดูคุ้นตายิ่งนักเมื่อเขาหันมาทำให้เฉียวลู่รู้ทันทีว่าเขาเป็ใคร ชายเคราดกร้านขายปิ้งย่างนั่นเอง หลังจากที่เฉียวลู่ไม่ได้มาขายกุ้งย่างที่ตลาดแล้วร้านของเขาจึงเป็ร้านเดียวที่ขายปิ้งย่าง หลังจากที่โดนเฉียวลู่ทุบตีวันนั้นพวกเขาก็กลับไปปรับปรุงน้ำจิ้มหมูปิ้งอีกครั้ง รสชาติพอใช้ได้จึงทำให้มีลูกค้าหลายคนมาอุดหนุนบ่อยๆ ถึงขั้นสั่งซื้อล่วงหน้า
สิ่งที่เฉียวลู่เคยคาดการณ์เอาไว้ได้เกิดขึ้น เมื่อชายเคราดกบอกว่าส่งอาหารให้ลูกค้าแล้วแต่ลูกค้ากลับบอกว่ายังไม่ได้รับอาหารทำให้ทั้งสองถกเถียงกันไปมาจนกระทั่งวางมวยอีกครั้ง เฉียวลู่ส่ายหัวไปมาแต่นางก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งเพราะมันไม่ใช่เื่ของนาง ไม่นานมือปราบจากที่ว่าการก็มาแยกพวกเขาสองคนจากนั้นจึงนำตัวไปไต่ส่วนที่ที่ว่าการอำเภอ
เฉียวลู่กลับมาที่หมู่บ้านมู่โฉวแล้ว นายช่างและลูกน้องกำลังขึ้นเขาตัดไม้มาสร้างเรือนให้นางระหว่างที่นางไม่อยู่เฉียวลู่ได้ขอร้องให้แม่เฒ่าหลี่มาดูแลเื่อาหารกลางวันของคนงานเกือบยี่สิบคนของนายช่างอู๋ ในสัญญาเขียนว่าจะต้องสร้างเสร็จภายในเวลาสองเดือนซึ่งนั่นพวกเขาจะต้องทำงานจนเต็มเวลา เพราะหากเลยเวลาทางนายช่างจะต้องจ่ายค่าผิดสัญญาให้กับเฉียวลู่ พวกเขาขึ้นเขาตัดไม้แทบจะไม่ได้หยุดพักนอกจากเวลาอาหารเที่ยงที่เฉียวลู่ทำไปส่ง
ตอนนี้เฉียวลู่และบุตรชายทั้งสองของนางมาพักอยู่ที่เรือนสกุลจางทำให้นางได้พบและพูดคุยกับท่านแม่ของฉินจื่อเฉินที่ออกมาเดินเล่นที่หน้าเรือนในบางครั้ง ร่างกายของนางตอนนี้แทบจะหายป่วยเป็ปกติแล้วทั้งสองพูดคุยกันอย่างถูกคอ เฉียวลู่นับว่าอายุน้อยกว่าฉินอี้เหยาดังนั้นนางจึงเรียกเฉียวลู่ว่าน้องลู่แทนคำว่าแม่นางเฉียว
