เมื่อหูฉางกุ้ยแบกเนื้อหนึ่งตะกร้าใหญ่กลับถึงบ้าน เจินจูกำลังยุ่งอยู่กับการพลิกอาหารหมักตากแดดอยู่พอดี
นางเดินเข้ามาช่วยเอาตะกร้าไผ่สานวางลง แล้วจึงยิ้มก่อนเอ่ยถาม “ท่านพ่อ วันนี้ราบรื่นหรือไม่เ้าคะ?”
“ราบรื่นมาก นี่เป็โฉนดที่ดินของบ้านเรา” หูฉางกุ้ยควักโฉนดที่ดินออกมาแล้วส่งให้นางอย่างระมัดระวัง
เจินจูเปิดออกด้วยความอยากรู้อยากเห็น อักษรจีนตัวเต็มที่ขีดเขียนในแนวตั้งอ่านได้อย่างยากลำบาก แต่โดยรวมแล้วยังพออ่านได้เข้าใจอยู่ ตราประทับอย่างเป็ทางการบนโฉนดที่ดินสีแดงใหญ่เด่นชัดมาก นี่จึงถือเป็หลักฐานที่นาดีสามหมู่ของบ้านนาง
“ท่านพ่อ ท่านเอาไปให้ท่านแม่เก็บเถิด นางเห็นแล้วต้องดีใจมากแน่ๆ” เจินจูยิ้มแล้วส่งกลับไปให้เขา
“อื้อ...” หูฉางกุ้ยเองก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความปีติยินดี จึงรีบเดินเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว เพื่อขอคำชื่นชมจากหลี่ซื่อในฐานะที่เขาจัดการเื่ที่นาได้อย่างเรียบร้อย
ในเมื่อเช้าวันนี้ซื้อเนื้อหมูมาแล้ว แน่นอนว่าต้องตัดแบ่งนิดหน่อยออกมาทำอาหารเที่ยงก่อน
อาหารประเภทเนื้อของมื้อกลางวันเป็เนื้อหมูผัดผักดอง และเพิ่มฟักทองนึ่งหนึ่งถ้วยใหญ่เข้าไปด้วย อาหารเรียบง่ายกลับอร่อยเลยทีเดียว
ผ่านอาหารกลางวันไปแล้ว คนทั้งบ้านจึงเริ่มทำงานขึ้น ได้ยินมาว่าเย็นนี้บ้านเก่าจะเชิญหัวหน้าหมู่บ้านมาทานข้าว หลี่ซื่อจึงรีบไปช่วยทำงานที่นั่น เหลือเจินจูกับหูฉางกุ้ยที่กำลังหั่นเนื้อหนึ่งกะละมังใหญ่ ส่วนหลัวจิ่งกับผิงอันก็ยังคงช่วยกันขูดลอกชำระล้างไส้เล็กดังเดิม
ทุกคนต่างมีประสบการณ์ในการทำมาหลายครั้งแล้ว คุ้นเคยกับวิธีทำและขั้นตอนต่างๆ เป็อย่างดี เพราะฉะนั้นในครั้งต่อๆ มาย่อมเร็วกว่าเมื่อก่อนมากนัก
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม หลักๆ ก็จัดการจนเสร็จสิ้น เจินจูใส่เครื่องเทศแต่ละชนิดให้เรียบร้อย ใส่วัตถุดิบอื่นๆ ตามลงไป แล้วให้หูฉางกุ้ยคลุกเคล้าให้เข้ากันจนทั่ว เมื่อเข้ากันดีแล้วจึงคลุมตั้งไว้ด้านข้าง ขั้นตอนการทำทั้งหมดก็สำเร็จลุล่วง
หลังจากทำงานที่อยู่ในมือจนเสร็จ หูฉางกุ้ยจึงไปเชิญครอบครัวเจิ้งซวงหลินไปร่ำสุราฉลองที่นาใหม่ด้วยกันตอนเย็น
ฝั่งบ้านเก่า หวังซื่อกำลังช่วยกันกับหลี่ซื่อและชุ่ยจูตระเตรียมโต๊ะอาหารสำหรับเลี้ยงแขกในตอนเย็น ขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบทำอาหารอย่างเชือดไก่ ตุ๋นน้ำแกง หั่นเนื้อ ชำระล้างเครื่องใน ถือเป็เื่เล็กๆ น้อยๆ แต่พอทำทีละอย่างจนเสร็จ ก็ค่อนข้างสิ้นเปลืองเวลานัก
หัวไชเท้าในบ้านล้วนขายไปหมดแล้ว หวังซื่อทำได้เพียงไปซื้อที่ตลาดกลับมาสองหัว เตรียมตุ๋นน้ำแกงกระดูกหัวไชเท้าใส่ปอดหมูหนึ่งหม้อ เจินจูเคยบอกว่าสรรพคุณของน้ำแกงนี้ช่วยล้างปอดละลายเสมหะ อีกทั้งรสชาติของน้ำแกงยังเคี่ยวได้หวานอร่อยสดชื่น หวังซื่อจึงซื้อกลับมาตุ๋นน้ำแกงอยู่บ่อยๆ
เชือดไก่หนึ่งตัวต้มกับเห็ดแห้ง ทำไก่ตุ๋นเห็ดหนึ่งหม้อ ในเนื้อสิบชั่งนั้น แบ่งมาสามชั่งทำน้ำแดง อีกสามชั่งทำเผ็ดหอม ที่เหลืออยู่ก็เก็บสำรองไว้ ไส้ใหญ่หนึ่งคู่ใส่พริกกับหัวกระเทียมลงไปผัด ทำไส้หมูไฟแดง แล้วยังซื้อปลาตะเพียนมาอีกสองตัว เตรียมทำปลาตะเพียนเปรี้ยวหวาน สุดท้ายผัดผักสองถาด นางคิดว่าน่าจะเพียงพอแล้ว หากว่าไม่พอ ไข่ไก่ที่บ้านยังมีไม่น้อย ค่อยเอามาทำไข่ผัดต้นหอมอีกก็ยังได้
รอจนถึงเวลาที่จ้าวเหวินเฉียงหัวหน้าหมู่บ้านพาหวงซิ่วผิงภรรยาของเขามาถึง กลิ่นเนื้อหอมๆ ก็คละคลุ้งจนทั่วลานบ้าน ดึงดูดทุกคนให้อยากลองชิมรสชาติอาหารขึ้น
“ท่านปู่ หัวหน้าหมู่บ้านมาแล้วขอรับ” ผิงซุ่นที่กำลังวิ่งเพ่นพ่านอยู่ทั่วลานบ้านมองเห็นจ้าวเหวินเฉียงเข้า จึงรีบะโหนึ่งเสียงเข้าไปในบ้าน
“อื้ม เหวินเฉียงมาแล้ว มา รีบเข้ามา อีกเดี๋ยวกับข้าวก็เสร็จแล้ว นั่งพักก่อน” หูเฉวียนฝูหยัดกายขึ้นทักทายมาจากห้องโถงกลาง
“พี่ใหญ่หู นานแล้วที่ไม่ได้เจอท่าน ดูใบหน้าท่านแล้วมีชีวิตชีวายิ่งนัก เหมาะสมแล้วจริงๆ ที่ท่านได้พบปะกับเื่ที่น่ายินดี” จ้าวเหวินเฉียงเดินมาข้างหน้าหูเฉวียนฝูทันที ถือโอกาสส่งกาสุราที่ติดมือมาไปให้เขา
“นี่เป็สุราที่ลูกเขยของข้าผู้นั้นเอามาให้จากต่างถิ่น จึงถือโอกาสที่มีเื่น่ายินดีของบ้านท่าน วันนี้พวกเราไม่เมาไม่เลิก”
“ที่บ้านก็ซื้อสุรามาไว้แล้ว ทำไมเ้ายังเอาสุรามาด้วยตนเองเล่า” หูเฉวียนฝูรับมาโดยมิรอช้า
“สมควรแล้วๆ” จ้าวเหวินเฉียงยิ้มแล้วกล่าว กลิ่นหอมทั่วลานบ้านโชยมาเข้าจมูก ทำให้เขากลืนน้ำลายหนึ่งอึกลงไปอย่างไม่รู้ตัว
“พี่สะใภ้หูทำอาหารอันใดกัน ได้กลิ่นแล้วช่างหอมนัก พวกท่านคุยกันไปก่อน ข้าจะไปดูที่ห้องครัวเสียหน่อย” หวงซื่อได้กลิ่นหอมนี้ดึงดูดใจเช่นกันทำให้อยากรู้อยากเห็น
“ซิ่วผิงมาแล้วหรือ พวกเ้านั่งสักเดี๋ยวก่อน กับข้าวกำลังจะเรียบร้อยแล้ว ชุ่ยจู เ้ายกน้ำชาร้อนๆ ไปให้แขกก่อน” หวังซื่อเจียดเวลายื่นตัวออกมาจากห้องครัว แล้วร้องทักขึ้นทันที
ชุ่ยจูรีบหยิบถ้วยน้ำชาลายครามสีขาวที่หวังซื่อซื้อมาใหม่ออกมาใช้ ชงใบชาที่เพิ่งซื้อมาจากในเมือง วางลงบนถาดรองแล้วยกออกไป
ขณะกำลังจะเทน้ำชา ที่หน้าประตูก็มีเสียงดังสะท้อนขึ้น ที่แท้เป็ชาวไร่ชาวนาสองสกุลที่หูฉางหลินคุ้นเคยกันดีและได้เชิญมาด้วย ต่างคนยังเอาของขวัญมามอบให้อีก
ผู้หนึ่งเป็หลิ่วฉางผิงที่เป็คนพาสองพี่น้องสกุลหูเข้าเมืองไปทำงานรับจ้างชั่วคราว แล้วอีกผู้หนึ่งเป็เพื่อนสมัยเด็กของหูฉางหลิน เป็คนสกุลจ้าวเช่นกัน ั้แ่เด็กเกิดมาทั้งดำทั้งผอม ดังนั้นคนส่วนใหญ่ต่างก็เรียกเขาว่าเฮยโต้ว
“หัวหน้าหมู่บ้าน พวกท่านมาถึงก่อนแล้วหรือ พวกข้าไม่ได้มาช้าไปกระมัง?” หลิ่วฉางผิงทำงานรับจ้างชั่วคราวอยู่ข้างนอกมาเป็เวลานานแล้ว จึงคุ้นชินกับการสร้างความสัมพันธ์กับผู้คน ทำให้เขาทักทายขึ้นอย่างเป็ธรรมชาติมากนัก
เกือบจะทันทีครอบครัวสกุลหูก็ต่างพากันทักทายขึ้นอย่างคึกคัก
หลังจากนั้นไม่นาน หูฉางกุ้ยก็พาเจิ้งซวงหลินอีกหนึ่งครอบครัวมาถึงบ้านเก่าเช่นกัน
หลัวจิ่งไม่ได้มา เนื่องจากคนเยอะเกินไป ไม่เหมาะที่จะอธิบายความเป็มาของเขา และเขาก็รับอาสาว่าจะรับผิดชอบอยู่เฝ้าบ้านให้เอง
ยึดคำกล่าวที่ว่ามีเื่น้อยก็ทุกข์น้อย [1] เจินจูพยักหน้าเห็นด้วย แล้วคิดไว้ว่าพอค่ำลงหน่อย จึงจะเอากับข้าวจำนวนหนึ่งมาส่งให้เขาแล้วกัน
“มาๆ ทุกท่านเชิญนั่งก่อน พวกท่าน ผู้ชายที่ดื่มสุรานั่งด้านนี้ พวกเราจะพาเด็กๆ นั่งด้านนี้ กับข้าวใกล้จะเสร็จแล้ว” หวังซื่อเดินออกมา ใบหน้ายิ้มแย้มแล้วจัดการที่นั่งให้เรียบร้อยก่อนจะกลับเข้าไปในครัว
ถือโอกาสเวลาว่าง เจินจูจึงเข้าไปช่วยยกกับข้าวในห้องครัว เป็การยากที่สกุลหูจะคึกคักเช่นนี้ได้ แน่นอนว่าอาหารย่อมต้องมากมายอุดมสมบูรณ์หน่อยจึงจะเหมาะสม นางวนอยู่รอบแท่นเตา ในหม้อบนเตาทั้งสองฝั่งล้วนผุดไอร้อนกรุ่นขึ้น เมื่อดมกลิ่นหอมเข้าไป ท้องเจินจูก็รู้สึกหิวขึ้นทันที
“เจินจู กับข้าวนี้เสร็จแล้ว เ้ายกไปก่อนได้เลย” หลี่ซื่อวางอาหารไว้บนถาดรอง บอกให้นางยกออกไปไว้บนโต๊ะ
ขณะที่เจินจูยกกับข้าวไปทีละอย่าง ทุกคนที่นั่งล้อมโต๊ะอาหารก็กำลังพูดคุยกัน สายตาต่างเริ่มมองมายังกับข้าวร้อนๆ หอมฉุยเป็จุดเดียว กับข้าวที่ยกออกมามีไก่ตุ๋นเห็ด แผ่นเนื้อเผ็ดหอม หมูสามชั้นน้ำแดง ไส้หมูผัดไฟแดง ปลาตะเพียนเปรี้ยวหวานและไข่ผัดต้นหอม
“บนเตายังตุ๋นน้ำแกงอยู่ ทุกท่านทานกันก่อนได้เลย อากาศเย็นเดี๋ยวจะเย็นชืดหมด ตาเฒ่า พาพวกเขาทานกันก่อนเลย อีกเดี๋ยวยังมีกับข้าวอีก” หลังจากหวังซื่อยกปลาตะเพียนน้ำแดงหนึ่งถาดออกมา ก็บอกให้ทุกคนเริ่มทานกันขึ้น ในห้องครัว ชุ่ยจูกำลังผัดผักอีกหนึ่งถาดเป็อย่างสุดท้าย ส่วนหลี่ซื่อก็เฝ้าน้ำแกงที่ต้องตุ๋นอีกสักพัก
“ซิ่วผิง มา พวกเราทานกันก่อน ชิมฝีมือครัวข้าหน่อย” หวังซื่อนั่งบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง คีบเนื้อไก่หนึ่งชิ้นวางในถ้วยหวงซื่อ
“โอ๊ะ กับข้าวนี่ดูแล้วชวนน้ำลายไหลนัก พี่สะใภ้หู ฝีมือครัวของท่านนี่ไม่ธรรมดาเลย จะเท่าฝีมือคนครัวของโรงเตี๊ยมแล้ว” หวงซื่อมองเนื้อไก่ที่มีน้ำมันแวววาว แล้วใส่เข้าปากเคี้ยวอย่างไม่เกรงใจ เคี้ยวไปด้วยพยักหน้าติดๆ กันไปด้วย หันไปยกนิ้วหัวแม่มือตั้งตรงให้หวังซื่อ
หวังซื่อเต็มไปด้วยความสุขดวงตายิ้มหยีเสียจนกลายเป็หนึ่งรอยเย็บ หลังจากนั้นก็คีบกับข้าวไปในถ้วยของหวงซื่อไม่หยุด
บนโต๊ะอาหารอีกหนึ่งด้าน ฝีมือครัวของหวังซื่อก็ได้รับคำชมเชยเป็เสียงเดียวกันจากทุกคน จ้าวเหวินเฉียงกับหลิ่วฉางผิงทานกันจนดวงตาเป็ประกายพร้อมกับชมไม่ขาดปาก
หลังจากนั้นไม่นาน ชุ่ยจูก็ยกผัดผักออกมาสองถาด แทบจะพร้อมกันหลี่ซื่อก็ยกน้ำแกงกระดูกหัวไชเท้าใส่ปอดหมูมาสองกะละมัง อาหารจึงนับได้ว่าครบแล้ว
เดิมทีฝีมือบนเตาของหวังซื่อไม่เลวนัก รวมกับวันนี้เป็วันที่น่ายินดีและต้องทำเลี้ยงแขกแล้ว อาหารมื้อนี้ย่อมต้องทำอย่างเต็มแรงกายแรงใจ
“พี่สะใภ้หู ความคิดของท่านช่างเฉียบแหลมยิ่งนัก ไส้ใหญ่ที่ทำยากถูกท่านจัดการจนอร่อยเช่นนี้ ฝีมือครัวดีจริงๆ โดดเด่นนัก!” หวงซื่อกล่าวชื่นชมอย่างจริงใจ ตอนแรกนางไม่รู้ว่าอาหารถาดนั้นคือไส้ใหญ่ รู้สึกเพียงว่าอาหารที่อยู่เต็มโต๊ะเ่าั้ล้วนอร่อยมาก พอนางได้ชิมไปสองสามชิ้น หวังซื่อก็แนะนำกับนางว่าเป็ไส้หมูผัด หวงซื่อยังไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง เนื้อที่อยู่ในกับข้าวกลิ่นหอมนุ่มหยุ่นเช่นนี้ ไม่นึกเลยว่าจะเป็ไส้ใหญ่หมูที่นางเกลียดและไม่คิดจะซื้อ
“ฮิๆ อาหารชนิดนี้ไม่ใช่ข้าทำน่ะ เป็ชุ่ยจูทำ” หวังซื่อมองชุ่ยจูที่ยิ้มเขินอายด้วยความปลื้มอกปลื้มใจ
“โอ้ ท่านมีวาสนาจริงๆ ชุ่ยจูนี่ดูแล้วคงได้รับการถ่ายทอดวิชาจากท่านเป็แน่ อายุน้อยแต่ฝีมือในครัวไม่เลวเลย” หวงซื่อพินิจพิเคราะห์ชุ่ยจูที่ปรากฏความเขินอาย เด็กสาวอายุสิบสองสิบสามปี ผิวขาวผ่องเนียนละเอียด หน้าตาสวยสดงดงาม ปากแดงฟันขาว [2] เป็เด็กผู้หญิงที่สวยไม่ธรรมดานัก
พอสังเกตอย่างละเอียดเช่นนี้แล้ว หวงซื่อจึงหันศีรษะมองไปทางหลานสาวอีกคนหนึ่ง เจินจูที่กำลังแทะปีกไก่อยู่ อาจจะเป็เพราะอายุยังน้อย ค่อนข้างเตี้ย รูปร่างกระจุ๋มกระจิ๋ม แต่ใบหน้าเล็กนั่นกลับขาวใส ดวงตาใสแจ๋วหนึ่งคู่เป็ประกายดูฉลาดปราดเปรียว นี่... นี่เป็หูเจินจูหลานสาวคนเล็กของสกุลหูหรือ?
หวงซื่อไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเองเล็กน้อย นางจำได้ว่าเคยเจอหูเจินจูอยู่หลายครั้ง แต่ลักษณะภายนอกที่เห็นตรงหน้าราวกับไม่เหมือนที่เคยเจอ เด็กผู้นั้นทั้งผอมและผิวคล้ำ เทียบกับใบหน้าเล็กผิวขาวนวลตรงหน้าแล้วต่างกันหลายระดับอย่างชัดเจน มีเพียงรูปร่างที่ยังคงผอมเล็กเหมือนกัน ส่วนภาพลักษณ์ห่างไกลกันมากจริงๆ
“อื้ม ฝีมือครัวชุ่ยจูไม่เลวจริงๆ มีพร์ด้านนี้อยู่บ้าง” หวังซื่อยิ้มอย่างอิ่มอกอิ่มใจ ชุ่ยจูเป็เด็กที่นางเลี้ยงมาจนโต อาหารที่ชุ่ยจูทำออกมาดี เป็ธรรมดาที่หวังซื่อจะรู้สึกภูมิใจ
หวงซื่อยิ้มตอบเห็นด้วย ทันทีหลังจากนั้นก็หาเื่พูดคุยกับหวังซื่อไปเรื่อยเปื่อย แต่ในใจล้วนวิ่งไปอยู่บนกายของเด็กๆ เหล่าสกุลหู
นางชำเลืองมองเหลียงซื่อที่กำลังคว้าขาไก่มาแทะอย่างมีความสุข คิ้วบางใบหน้ากลม สีผิวอมเหลืองนิดๆ ส่วนร่างกายกำลังอุ้มท้องจึงดูเหมือนว่าตัวบวมเล็กน้อย ส่วนผิงซุ่นที่อยู่ข้างกายเหลียงซื่อหน้าตาคิ้วหนาทึบตาโต [3] รูปหน้าสี่เหลี่ยม กลับคล้ายหูเฉวียนฝูอยู่เจ็ดส่วน
แล้วมองมาทางหลี่ซื่อที่อยู่ด้านข้างอีกครั้ง หวงซื่อแอบประหลาดใจไม่น้อย จำได้ว่าหลี่ซื่อน่าจะอายุสามสิบกว่าปีแล้ว แต่กลับมีท่าทางงดงามเหมือนตอนเพิ่งมาถึงหมู่บ้านวั้งหลินอยู่หลายส่วน คิ้วกับตาที่อ่อนโยนและนุ่มนวล แล้วยังมีเสน่ห์ของผู้หญิงอยู่จางๆ
พอดูเช่นนี้แล้ว เด็กเจินจูน้อยผู้นั้นมีรูปโฉมเฉพาะตัวค่อนข้างคล้ายคลึงกันกับหลี่ซื่อมาก บนกายปรากฏความสวยงามและนุ่มนวลไม่เหมือนกับผู้หญิงในหมู่บ้าน
หวงซื่อพินิจพิเคราะห์กลับไปกลับมาไม่ให้ผิดสังเกต เมื่อครั้งแรกที่หลี่ซื่อมาถึงหมู่บ้านวั้งหลิน นางกับฟู่เหรินสองสามคนที่สนิทกันเคยคาดเดาเป็การส่วนตัว อากัปกิริยาของหลี่ซื่อมีท่าทางของคุณหนูครอบครัวตระกูลร่ำรวยอยู่หลายส่วน อาจเป็เพราะฐานะทางครอบครัวตกอับ หรือเป็เพราะเจอสถานการณ์คับขันบางอย่างที่ไม่มีทางเลี่ยง จึงเลือกแต่งกับหูฉางกุ้ยที่เป็ครอบครัวชนบทและเป็คนซื่อเช่นนี้
นี่ก็สิบกว่าปีผ่านมาแล้ว แม้ฐานะทางบ้านสกุลหูตลอดมาจะยากจน แต่หูฉางกุ้ยน่าจะดีกับนางมาโดยตลอด ดูไปแล้วหลี่ซื่อใช้ชีวิตได้ค่อนข้างดี อย่างน้อยที่สุด ใบหน้านั้นยังคงอ่อนเยาว์และงามพริ้ง ไม่มีสีหน้าของคนที่มีความรู้สึกทุกข์ใจและรู้สึกลำบากเลย
การสังเกตอย่างละเอียดของหวงซื่อ อยู่ในสายตาของเจินจูเช่นกัน นางรู้ว่า่นี้หลี่ซื่อเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก เพราะ้าให้กล่องเสียงของหลี่ซื่อดีขึ้นเร็วๆ นางจึงเติมน้ำแร่จิติญญาลงไปในอาหารอยู่บ่อยๆ ผลลัพธ์ที่ได้ยังส่งผลให้รูปร่างหน้าตาของหลี่ซื่อเปลี่ยนไปมากขึ้นด้วย ไม่เพียงแต่สามารถเปิดปากพูดจาได้เท่านั้น แต่เดิมใบหน้าที่ผอมคล้ำเหลืองก็เปลี่ยนไปขาวผ่องมีน้ำมีนวลขึ้น ทั้งกายดูแล้วอย่างน้อยที่สุดอ่อนวัยลงห้าปีเลย
เจินจูมองหลี่ซื่อที่ผิวขาวใบหน้างามอยู่แวบหนึ่ง จึงตัดสินใจว่าจะใช้น้ำแร่จิติญญาบำรุงให้น้อยลง การเปลี่ยนแปลงมากเกินไปเช่นนี้ ล้วนก่อให้ผู้คนสงสัย นางอดคิดอยู่ในใจไม่ได้
เชิงอรรถ
[1] มีเื่น้อยก็ทุกข์น้อย ความหมายคือ งาน ธุระ หรือความคิดยิ่งน้อยยิ่งดี ยิ่งน้อยยิ่งสามารถลดปัญหาลงได้
[2] ปากแดงฟันขาว อุปมาถึง ความสวย
[3] คิ้วหนาทึบตาโต เป็การพรรณนาว่า เป็คนหน้าตาดี ท่าทางเฉลียวฉลาด