เดิมทีหญ้าคาบนหลังคาบ้านนั้นรกมากอยู่แล้ว พอฝนตกหนักติดต่อกันสองคืน หญ้าคาก็ยิ่งเปียกชื้น ส่วนใหญ่ผุพังส่งกลิ่นเหม็นเน่า บางจุดก็มีเห็ดราเล็กๆ ขึ้น พอรื้อออกก็เจอทั้งหนอนแมลงตัวเล็ก แมงมุม ตะขาบ ไต่ยั้วเยี้ย พอโดนแสงก็พากันหนีตายอลหม่าน
อันซิ่วเอ๋อร์เห็นพวกมันร่วงหล่นลงมาจากหลังคามากมายก็รู้สึกขนลุกขนพอง นางเพิ่งรู้ตัวว่าอยู่ร่วมกับสัตว์เหล่านี้มานานขนาดนี้ ส่วนเหลียงซื่อพอเห็นแมลงก็ไม่ปรานี เหยียบย่ำจนมันแหลกละเอียดคาเท้า
พ่อเฒ่าอันและคนที่มาช่วยกันโยนหญ้าคาเก่าทิ้ง แล้วมุงด้วยหญ้าคาใหม่ ใช้ก้อนอิฐทับให้แ่า ทำงานหนักกันครึ่งค่อนวัน หลังคาจึงซ่อมเสร็จ นับว่ายังโชคดี เพราะพอทำเสร็จ ฝนก็โปรยปรายลงมาอีกครั้ง
สายฝนนี้จึงเป็การทดสอบหลังคาใหม่ได้เป็อย่างดี พ่อเฒ่าอันและคนอื่นๆ เดินตรวจดูทั่วบ้านว่ามีตรงไหนรั่วซึมหรือไม่ แต่เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาปูหญ้าคาไว้อย่างหนาแน่น ตรวจดูทั่วแล้วก็ไม่พบรอยรั่วเลยแม้แต่น้อย
"ครั้งนี้ต้องขอบคุณท่านพ่อท่านแม่มากที่มาช่วย ไม่อย่างนั้นฝนจะตกหนักแค่ไหนพวกเราก็คงแย่แน่ๆ" อันซิ่วเอ๋อร์ซึ่งปัดกวาดบ้านจนสะอาดเรียบร้อยแล้ว พอเห็นพ่อเฒ่าอันและทุกคนเข้ามา ก็รีบเชิญให้นั่งลง รินชาให้ทุกคนพลางพูดว่า "ขอบคุณมากนะเ้าคะ ลำบากแย่เลย"
พ่อเฒ่าอันพยักหน้าแล้วไอออกมาอีกครั้ง เขามองจางเจิ้นอัน ดวงตายังคงมีแววเศร้าหมอง "ปีนี้ก็คงเป็แบบนี้ไปก่อน แต่ต่อไปพวกเ้าจะทำยังไงกัน?"
"ใช่แล้ว หลังคาหญ้าคามันเป็ที่เพาะพันธุ์แมลงตัวเล็กๆ" เหลียงซื่อพูดเสริม "อย่าหาว่าพวกเราจู้จี้นะ แต่ถ้าพวกเ้าพอมีเงินมีทองขึ้นมา ก็ควรสร้างบ้านหลังคากระเบื้องดีกว่า"
"เ้าค่ะ ท่านแม่" อันซิ่วเอ๋อร์เห็นจางเจิ้นอันเงียบไป ก็รีบตอบแทนแล้วพูดว่า "พวกท่านนั่งพักกันก่อนนะเ้าคะ เดี๋ยวข้าไปทำอาหารก่อน"
"เฮ้อ ไม่ต้องลำบากหรอกลูก พวกเรานั่งแป๊บเดียวก็จะกลับแล้ว" เหลียงซื่อรีบห้าม "แม่ให้สะใภ้รองเตรียมอาหารไว้ที่บ้านแล้ว
เมื่อวานเพิ่งได้ของจากลูกไป วันนี้จะมานั่งกินข้าวบ้านลูกได้ยังไง อีกอย่างฐานะบ้านลูกก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร"
"ท่านแม่ ก็แค่มื้อเดียวเอง อย่าปฏิเสธเลยเ้าค่ะ ถ้าท่านแม่ยังพูดแบบนี้อีก ข้าโกรธจริงๆ ด้วยนะ"
อันซิ่วเอ๋อร์ทำหน้ามุ่ยใส่ ค้อนใส่มารดาแวบหนึ่ง แล้วเดินเข้าครัวไปทำอาหาร เหลียงซื่อเห็นลูกสาวเข้าครัวไปแล้ว ก็นั่งรอเฉยๆ ไม่ได้ จึงลุกตามไปช่วยในครัว ปล่อยให้จางเจิ้นอันนั่งคุยสัพเพเหระกับพ่อเฒ่าอันอยู่ในห้องโถง
สมัยหนุ่มๆ พ่อเฒ่าอันเคยเดินทางไปหลายที่ การคุยกับจางเจิ้นอันจึงไม่ขาดเื่คุย ทั้งสองคุยกันั้แ่เื่ในหมู่บ้านชิงสุ่ยไปจนถึงเมืองลั่วเหอ จากเมืองลั่วเหอไปถึงเมืองฉางหนิง จางเจิ้นอันตั้งใจฟังเป็อย่างดี นานๆ ครั้งก็เสริมขึ้นมาบ้าง ทำให้พ่อเฒ่าอันยิ่งคุยออกรส
ตอนนี้เขาแก่แล้ว เื่ที่เจอมาสมัยหนุ่มๆ นั้น เขาเล่าให้คนที่บ้านฟังเป็สิบๆ รอบแล้ว ลูกชายทั้งสองก็ฟังจนเบื่อ แม้แต่หลานชายอันหรงเหอก็ไม่ค่อยอยากฟัง
เขามักจะเล่าว่าโลกภายนอกนั้นน่าตื่นตาแค่ไหน แต่ฐานะของบ้านตระกูลอันก็ไม่ได้ดีนัก แค่การจะเดินทางเข้าอำเภอก็ถือเป็เื่ใหญ่แล้ว อย่างเช่นเหลียงซื่อ ชีวิตนี้ไปไกลที่สุดก็แค่ในตัวเมือง
หลายปีมานี้ เขารู้ว่าพวกเด็กๆ ไม่อยากฟังเื่เหล่านี้แล้ว เขาก็เลยไม่เล่าอีก คิดว่าตัวเองแก่แล้ว พูดไปก็น่ารำคาญ อีกอย่าง ถึงจะเคยออกไปใช้ชีวิตข้างนอกมาหลายปี สุดท้ายก็กลับมาบ้านเกิด แต่งงานมีลูก พอแก่ตัวลง บ้านก็ยังยากจนเหมือนเดิม เล่าเื่เก่าๆ ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร
แต่คนแก่ก็เหงาเป็ธรรมดา บางครั้งที่นอนไม่หลับ เขาก็จะนึกถึงเื่ราวสมัยหนุ่มๆ ตอนนั้นเขาทำงานเป็ลูกจ้างในร้านผ้าในเมือง ได้เจอผู้คนมากมาย ได้เห็นโลกภายนอกที่เจริญรุ่งเรือง
"เ้ารู้ไหม สมัยนั้น พ่อยังเคยตามเถ้าแก่ไปซื้อของที่เมืองจวิ้น เมืองจวิ้นนั่นเจริญรุ่งเรืองมาก ตอนนั้นพ่อยังหนุ่ม พอเข้าไปในเมือง เห็นแต่บ้านเรือนสูงใหญ่ เสียงซื้อขายดังเซ็งแซ่ ถนนหนทางมีคนเดินกันขวักไขว่ คึกคักมาก ตอนนั้นน่ะ พ่ออยากจะอยู่ที่เมืองจวิ้นไปตลอดชีวิตเลย"
พ่อเฒ่าอันเล่าไปพลาง ดวงตาเป็ประกาย ดูหนุ่มขึ้นหลายปี ราวกับว่าการได้ไปเมืองจวิ้นครั้งนั้นเป็เื่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต
"แล้วทำไมท่านถึงไม่ได้อยู่ที่เมืองจวิ้นล่ะขอรับ?" จางเจิ้นอันถามขึ้นมาพอดี
พอมีคนถาม พ่อเฒ่าอันก็เล่าต่อ "พ่อก็อยากอยู่หรอก แต่เมืองจวิ้นไม่ใช่ที่ที่ใครนึกอยากจะอยู่ก็อยู่ได้ พ่อเป็แค่ลูกจ้างตัวเล็กๆ ตามเถ้าแก่ไปซื้อผ้าแล้วก็กลับ แต่แค่ประสบการณ์ครั้งนั้นก็ทำให้พ่อได้เปิดหูเปิดตามากแล้ว"
พ่อเฒ่าอันพูดถึงเมืองจวิ้น ตอนนี้แววตายังเต็มไปด้วยความชื่นชม เขาเล่าว่า "เ้ารู้ไหม ในเมืองจวิ้นมีตระกูลใหญ่อยู่ตระกูลหนึ่ง อยู่ในเขติ่เยว่มาหลายร้อยปี ผ่านมากี่ราชวงศ์ก็ยังอยู่ กิจการของเขาแผ่ไปทั่วเมืองจวิ้น รุ่งเรืองมาก ถ้าได้เกิดในตระกูลนี้ละก็ ทั้งชีวิตก็คงไม่ต้องห่วงเื่ปากท้องเลย"
"ตระกูลอะไร เก่งขนาดนั้นเลยหรือท่านพ่อ?" อันเถี่ยหมู่ก็ถามขึ้นบ้าง ตอนนี้เขาเคยไปไกลสุดก็แค่ในตัวเมือง จึงยังคงใฝ่ฝันถึงเมืองจวิ้นที่พ่อเล่าให้ฟัง
"ตอนนั้นพ่อก็ได้ยินจากเถ้าแก่เล่ามา ตระกูลนี้แซ่จาง คนเขาเรียกกันว่า 'จางครึ่งเมือง' ว่ากันว่าจนถึงตอนนี้กิจการของพวกเขาก็ยังคงกินพื้นที่ไปครึ่งเมืองจวิ้น" พ่อเฒ่าอันตอบ "ได้ยินว่ากิจการของพวกเขากระจายไปทั่วต้าฉี ในเมืองิ่เยว่นี้เหมือนเป็เ้าพ่อเลย ขนาดทางการยังไม่กล้าแตะต้อง"
"ตระกูลใหญ่ขนาดนี้ พวกเราคงได้แต่มองจริงๆ" อันเถี่ยหมู่ฟังแล้วก็พยักหน้า"ในเมืองเราก็มีเศรษฐีแซ่จางอยู่คนหนึ่ง จะใช่คนจากตระกูลจางที่พ่อพูดถึงหรือเปล่า?"
"เื่นี้พ่อก็ไม่รู้ อาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ พ่อก็แค่เคยได้ยินมา เื่ภายในของเขา พ่อจะไปรู้ได้ยังไง" พ่อเฒ่าอันส่ายหน้า บอกว่าตนไม่รู้
จางเจิ้นอันที่นั่งอยู่ข้างๆ พอได้ยินพวกเขาพูดถึงตระกูลจาง สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย พอได้ยินพูดถึงเศรษฐีจาง ก็อดไม่ได้ที่จะพูดแทรกขึ้นมา"ก็แค่เศรษฐีบ้านนอกคนหนึ่ง จะเอาไปเทียบกับตระกูลจางแห่งิ่เยว่ได้ยังไง? ต่อให้เป็คนของตระกูลจางจริง ก็คงเป็แค่ญาติห่างๆ เท่านั้นแหละขอรับ"
พอเห็นท่าทีไม่ใส่ใจของเขา พ่อเฒ่าอันก็เงยหน้าขึ้นถาม "หรือว่า...พ่อหนุ่มก็เคยไปเมืองจวิ้นเหมือนกัน?"
"ขอรับ ก็เคยไปอยู่สองสามครั้งขอรับ" น้ำเสียงของจางเจิ้นอันกลับมาเรียบนิ่งเหมือนเดิม
พ่อเฒ่าอันพยักหน้า พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าจางเจิ้นอันมีที่มาไม่แน่ชัด อยากจะถามถึงที่มาที่ไป แต่พอเห็นสีหน้าหม่นๆ ของอีกฝ่าย ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถาม
"ท่านพ่อตาอยากจะพูดอะไรหรือไม่ขอรับ?" จางเจิ้นอันเห็นสีหน้าพ่อตาเปลี่ยนไปจึงเอ่ยถาม
"พ่อแค่อยากจะถามว่า บ้านเดิมเ้าอยู่ที่ไหนกัน? เหตุใดถึงมาอยู่ที่หมู่บ้านชิงสุ่ยของพวกเรา?" พ่อเฒ่าอันมองจางเจิ้นอันด้วยแววตาขุ่นมัว ราวกับจะค้นหาคำตอบจากดวงตาของเขา
เห็นจางเจิ้นอันนิ่งเงียบไป พ่อเฒ่าอันจึงพูดต่อว่า "คนเราทุกคนก็มีความลับส่วนตัวกันทั้งนั้น ถ้าเ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็ไร ตราบใดที่เ้าเป็คนดี ไม่เคยทำเื่ผิดทำนองคลองธรรม พวกเราก็ยอมรับเ้าได้"
"บ้านเดิมข้าก็อยู่ในเมืองิ่เยว่ขอรับ พื้นเพดีแน่นอน ข้าเป็แค่ชาวประมงคนหนึ่ง นอกจากฆ่าปลามาบ้าง ก็ไม่เคยทำอะไรผิดศีลธรรมขอรับ" จางเจิ้นอันยิ้มบางๆ ตอบคำถามพ่อตา
"พ่อเห็นว่าถึงเ้าจะไม่ค่อยพูด แต่ก็ดูสุขุมรอบคอบ ดูแล้วก็น่าจะเป็คนดี" พ่อเฒ่าอันพยักหน้า จริงๆ แล้ว นอกจากเื่ที่มาไม่แน่ชัด เขาก็ค่อนข้างพอใจในตัวลูกเขยคนนี้
เขาไม่เหมือนเหลียงซื่อที่มองเห็นแต่ความยากจนของจางเจิ้นอัน ในสายตาของเขา จางเจิ้นอันจับปลาเก่ง รูปร่างก็ดูแข็งแรง มีเรี่ยวแรงดี คนแบบนี้น่าจะพึ่งพาได้ เขาเจอคนมาเยอะ รู้สึกว่าจางเจิ้นอันคนนี้ดูไม่ธรรมดา เขามั่นใจว่าต่อไปจะต้องสร้างเนื้อสร้างตัวได้แน่
ส่วนเื่ที่มาที่ไม่แน่ชัดนั่นจะเป็อะไรไป? เขาคิดว่าคนคนนี้ดูมีความรับผิดชอบ ไม่ว่าอนาคตจะเป็ยังไง ก็คงไม่ทอดทิ้งลูกสาวของตน แค่นี้ก็พอแล้ว
คนเราทุกคนก็มีความลับส่วนตัว ถึงจะอยากรู้ แต่เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายอึดอัด พ่อเฒ่าอันก็ไม่ได้ซักไซ้เื่ที่มาที่ไปอีก ได้แต่ชวนคุยเื่อื่นไปเรื่อยๆ
ในห้องครัว อันซิ่วเอ๋อร์กับเหลียงซื่อก็กำลังวุ่นอยู่กับการทำอาหารกลางวัน
อันซิ่วเอ๋อร์หุงข้าวสวยไว้หม้อใหญ่ เหลียงซื่อเห็นก็อดต่อว่านางไม่ได้ว่าฟุ่มเฟือย "เ้านี่นะ พ่อกับแม่ไม่ใช่คนอื่นคนไกล จำเป็ต้องหุงข้าวสวยเลี้ยงดูขนาดนี้เลยหรือ? พวกเ้ายังหนุ่มยังสาว เก็บเงินไว้ซ่อมบ้านดีๆ สิถึงจะถูก"
"ก็แค่ข้าวสวยหม้อเดียวเอง ท่านแม่อย่าพูดเลยเ้าค่ะ ยังไงลูกก็ไม่มีของดีอะไรเลี้ยงท่านอยู่แล้ว ลูกกินอะไร ท่านก็กินอย่างนั้นแหละเ้าค่ะ"
อันซิ่วเอ๋อร์ไม่ได้ใส่ใจนัก อันที่จริงตอนแรกนางก็รู้สึกว่ากินข้าวสวยทุกวันมันสิ้นเปลือง แต่โบราณว่าไว้ จากประหยัดไปฟุ่มเฟือยนั้นง่าย จากฟุ่มเฟือยกลับมาประหยัดนั้นยาก ตอนนี้นางรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะกินข้าวกล้องไม่ค่อยลงแล้ว
เหลียงซื่อเห็นแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจ รู้สึกว่าสิ้นเปลือง แต่ก็ไม่อยากให้ลูกสาวลำบากใจ พอคิดดูแล้ว นางก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ ยังไงข้าวก็หุงไปแล้ว
พอจุดไฟแรง สักพักข้าวก็สุก อันซิ่วเอ๋อร์จึงเริ่มเตรียมกับข้าว นางตักปลามาสองตัวทำปลาแดง แล้วก็คีบหน่อไม้ดองออกมาจากไหมาหั่นฝอย เอาหน่อไม้แห้งมาแช่น้ำ คิดไปคิดมาก็ยังรู้สึกว่ากับข้าวยังไม่พอ นางจึงให้เหลียงซื่อช่วยดูครัวไปก่อน ส่วนตัวเองก็เอาเงินไปซื้อเต้าหู้สองแผ่นจากบ้านที่ขายเต้าหู้ในหมู่บ้าน
ปลาแดงสองตัว หน่อไม้ดองผัดหนึ่งจาน หน่อไม้แห้งผัดไข่อีกจาน และเต้าหู้ทอด แม้จะดูเรียบง่าย แต่สำหรับบ้านชาวนาทั่วไปก็ถือเป็อาหารอย่างดีแล้ว
นี่เป็ครั้งแรกที่เหลียงซื่อกับพ่อเฒ่าอันได้ชิมฝีมือทำอาหารของอันซิ่วเอ๋อร์ พวกเขาแปลกใจที่ลูกสาวซึ่งปกติไม่ค่อยได้เข้าครัว จะทำอาหารได้อร่อยขนาดนี้ ทุกคนกินกันอย่างเอร็ดอร่อย เหลียงซื่อเองก็คิดในใจว่า อันซิ่วเอ๋อร์ผัดกับข้าวใช้น้ำมันมากขนาดนั้น อาหารจะไม่อร่อยได้ยังไง
