บทที่ 2 ทุกวินาทีคือความเป็ความตาย
เสียงสัญญาณเตือนที่ดังเป็จังหวะสม่ำเสมอภายในห้องผ่าตัด แทรกผ่านบรรยากาศอันตึงเครียด เผยให้เห็นชีวิตของเด็กหญิงตัวเล็กวัยไม่ถึงสิบขวบที่กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย เหล่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลากแขนงกำลังร่วมมือกันอย่างเต็มที่เพื่อยื้อชีวิตอันบริสุทธิ์นั้นไว้ไม่ให้ดับสูญในวันนี้
หนึ่งในผู้ที่รับหน้าที่สำคัญที่สุดในคณะทีมแพทย์ก็คือ “หลินต้าเหนิง” ศัลยแพทย์หญิงมือหนึ่ง ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็อัจฉริยะของวงการแพทย์ยุคปัจจุบัน หลินต้าเหนิงอยู่ในชุดปลอดเชื้อ เสื้อคลุมสีเขียวอ่อนและหมวกผ่าตัดสีเดียวกัน ผ้าปิดปากกับแว่นป้องกันสะท้อนแสงไฟ ทำให้เห็นเพียงดวงตาทรงเสน่ห์และจริงจังของเธอเท่านั้น
แม้เธอจะมีใบหน้าที่สวยสง่า คิ้วเรียว และประกายตาสดใสเป็เอกลักษณ์ แต่มักถูกบดบังด้วยเสื้อกาวน์และหน้ากากอนามัยอยู่เสมอ ชื่อเสียงด้านฝีมือการผ่าตัดที่ได้มาจากการทุ่มเทศึกษาค้นคว้าไม่หยุดหย่อน รวมถึงความกล้าทดลองเทคนิคใหม่ๆ อย่างได้ผล ทำให้ใครต่อใครกล่าวขานว่า เธอคือหมอศัลยกรรมหัวกะทิแห่งยุคอย่างแท้จริง
ทว่า…สิ่งที่คนภายนอกอาจไม่ได้รับรู้มากนัก คือชีวิตของหลินต้าเหนิงแทบไม่มีเวลาพักผ่อน แม้อายุจะเพิ่งยี่สิบสี่ปี เธอกลับไม่เคยคิดสนุกสนานกับวัยสาวเหมือนคนทั่วไป ั้แ่จำความได้ แรงบันดาลใจของเธอคือการได้ “ช่วยเหลือผู้ป่วย” และต้องทำทุกอย่างเพื่อผลักดันวงการแพทย์ให้ก้าวไปข้างหน้า เธอพยายามศึกษาและฝึกฝนั้แ่อายุยังน้อย
หลินต้าเหนิงทำคะแนนโดดเด่นในทุกวิชา จนมีชื่อเสียงเป็แพทย์หญิงยอดฝีมือที่ควบตำแหน่งอาจารย์หมอ ได้รับเชิญไปบรรยายยังโรงพยาบาลดังๆ หลายแห่งทั่วโลก หลินต้าเหนิงเคยถูกตั้งคำถามอยู่บ่อยครั้งว่า
“เธอทำอย่างไรถึงแบกรับทั้งงานรักษา งานสอน และงานวิจัยไหว?” คำตอบสั้นๆ ที่เธอเคยบอกกับสื่อคือ “ฉันแค่ไม่อยากเสียเวลาไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็”
และในห้องผ่าตัดซึ่งกำลังขับเคี่ยวกับเวลาวินาทีต่อวินาทีนี้เอง ก็เป็อีกครั้งที่เธอกำลังพิสูจน์ตนเอง เมื่อเด็กหญิงวัยแปดขวบรายหนึ่งเกิดอุบัติเหตุรถชนอย่างรุนแรง อาการกะโหลกร้าวและมีเืออกในสมอง นับเป็เคสที่อันตรายยิ่ง อัตราการรอดต่ำ หากไม่ผ่าตัดภายในระยะเวลาที่จำกัด เด็กอาจสูญเสียสมองส่วนสำคัญหรือถึงแก่ชีวิตได้
“มีดผ่าตัด!”
หลินต้าเหนิงร้องขอด้วยน้ำเสียงที่เฉียบขาด นิ่ง และเปี่ยมสมาธิ พยาบาลส่งเครื่องมือให้ทันทีโดยไม่ลังเล การผ่าตัดสมองในกรณีเืคั่งเช่นนี้ ต้องอาศัยทักษะอันแม่นยำและประสบการณ์อย่างสูงสุด การหายใจเพียงเล็กน้อยที่ผิดจังหวะก็อาจทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เลวร้ายขึ้นมาได้
หลินต้าเหนิงระมัดระวังั้แ่ขั้นตอนการเปิดกะโหลก การดูดเืที่คั่งค้าง และต้องตรวจสอบการทำงานของสมองว่าไม่ได้ถูกกดทับในบริเวณสำคัญ
เหงื่อหยดลงบนขมับเธอ ถึงแม้ภายในห้องจะมีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำ แต่เมื่อต้องใช้สมาธิสูง ใจเธอเต้นแรง ร่างกายทำงานเต็มกำลัง ก็ยากจะเลี่ยงเหงื่อได้ อย่างไรก็ตาม เธอไม่ยอมให้ความเหนื่อยล้าฉุดรั้ง จิตของเธอสงบ เฝ้าควบคุมทุกอิริยาบถอย่างแม่นยำ พยาบาลมีหน้าที่ซับเหงื่อและตรวจวัดสัญญาณชีพสลับไป
เสียงชีพจรของเด็กหญิงดังต่อเนื่อง แต่ก็อ่อนลงเป็ระยะ ทุกคนรอบข้างต่างลุ้นในใจไม่หยุด แพทย์ที่ช่วยดูแลเครื่องช่วยหายใจเปลี่ยนเป็โหมดฉุกเฉินอย่างเคร่งเครียด หลินต้าเหนิงกัดฟันพลางไล่เืและอุดรอยรั่วที่หลอดเืเสี่ยงแตก เธอค่อยๆ ใช้เครื่องมือถอนกระดูกบางส่วนเพื่อปลดปล่อยแรงดันในสมอง มันคือขั้นตอนที่เสี่ยงเป็เสี่ยงตายที่สุด แต่ก็สำคัญยิ่งยวด
“ระดับความดันในกะโหลกสมองเริ่มลดลงแล้วค่ะ อาจารย์หลิน” แพทย์ประจำอีกคนรายงาน ทำให้บรรยากาศคลี่คลายไปบางส่วนกว่าสองชั่วโมงเต็ม สัญญาณชีพของเด็กหญิงเริ่มคงที่ ทีมแพทย์จึงโล่งใจ ในที่สุดก็ปิดผิวกะโหลกและเย็บชั้นเนื้อเยื่อ เสร็จสิ้นการผ่าตัดอย่างปลอดภัย
เมื่อเธอก้าวเท้าออกจากห้องผ่าตัดนั้น เ้าหน้าที่หลายคนเข้ามาแสดงความยินดี ภูมิใจที่รักษาชีวิตไว้ได้
“ยอดเยี่ยมเหมือนเคยนะคะ อาจารย์หลิน” เสียงพยาบาลรุ่นน้องเอ่ยขึ้น
“พวกคุณก็ทำได้ดีเช่นกัน ถ้าไม่มีทีมแข็งแกร่งแบบพวกคุณ การผ่าตัดก็ไม่อาจสำเร็จ” หลินต้าเหนิงตอบพร้อมยิ้มบางๆ เธอแววตาเป็ประกาย แม้จะเหนื่อยหนัก แต่ทุกครั้งที่ได้ช่วยชีวิตผู้ป่วย เธอก็รู้สึกอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก
ภายหลังการผ่าตัดอันยาวนานร่วมสิบชั่วโมง หลินต้าเหนิง ศัลยแพทย์หญิงผู้เลื่องชื่อแห่งศูนย์การแพทย์เซี่ยงไฮ้ เปลี่ยนชุดกาวน์ผ่าตัดเป็เสื้อคลุมแพทย์สะอาด ชั่วขณะที่เดินออกสู่โถงกว้างของโรงพยาบาลนั้น เธอยังคงััถึงเสียงเครื่องมือผ่าตัด และสัญญาณชีพดังอยู่ในหัว ดวงตาคมเฉียบใต้แพขนตาสั้นเผยร่องรอยอ่อนล้าอย่างปิดไม่มิด แต่รอยยิ้มบางจุดปรากฏบนใบหน้าเมื่อเธอพบว่าเด็กหญิงคนไข้อาการปลอดภัย
รอบข้าง โถงทางเดินของโรงพยาบาลค่อนข้างพลุกพล่าน บุรุษพยาบาลเข็นเตียงคนไข้ผ่าน หมอและพยาบาลชุดเขียว-น้ำเงินวิ่งสวนไปมาด้วยสีหน้าจดจ่อ แม้บรรยากาศวุ่นวาย แต่เสียงฮือฮาตอนหลินต้าเหนิงปรากฏตัวกลับแ่ลงเล็กน้อย เพราะใครๆ ก็รู้จักฝีมืออันเยี่ยมยอดของเธอ
แม่ของเด็กหญิง ที่ผ่าตัดเสร็จหมาดๆ ยืนรออยู่ไม่ไกล เมื่อเห็นร่างสูงโปร่งของหลินต้าเหนิงเดินมา ก็รีบวิ่งเข้าหาด้วยท่าทีตื่นเต้นกึ่งร้อนรน
หลินต้าเหนิง (ถอดหน้ากากอนามัย พลางเผยยิ้มอ่อนโยน) :
“อาการของน้องพ้นขีดอันตรายแล้วค่ะ เราผ่าตัดสมองเรียบร้อย เหลือแค่เฝ้าระวังในห้อง ICU สักพัก แต่มีแนวโน้มที่ดีมาก คุณแม่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ”
เหมือนฟ้าสดใสเกิดขึ้นฉับพลัน แม่เด็กถึงกับทรุดตัวลงพนมมือด้วยความยินดี น้ำตาหยดเผาะไหลอาบแก้ม ปากสั่นเอ่ยคำขอบคุณไม่เป็ประโยค
(เสียงสั่นเครือ) :“ขอบคุณ…ขอบคุณคุณหมอ…หนูเขายังเด็กมาก… ขอบคุณที่ช่วยชีวิตลูกไว้…” หลินต้าเหนิงวางมือเบาๆ ที่ไหล่แม่เด็ก พลางให้กำลังใจ จากนั้นจึงโค้งเล็กน้อย ก่อนหมุนตัวเดินคล้อยหลังออกจากบริเวณโถง ด้วยอาการเหนื่อยล้าอย่างที่สุด
เธอหันหลังพิงกำแพง ใบหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อยเพื่อสูดหายใจลึกเหมือน้าหยุดโลกที่หมุนเร็วจนเธอตามไม่ทัน
หลินต้าเหนิง (ปากพึมพำแ่เบา) :“ไหนบอกตัวเองว่าพอเคสนี้เสร็จ… จะขอลาพักสักสองสามวัน… แต่ทำไมใจฉันมันหยุดไม่ได้เลยนะ” เธอยิ้มขื่น ทั้งยังนึกขันในความขยันเกินพอดีของตัวเอง แต่ลึกๆ อดภูมิใจไม่ได้ว่าเธอได้ช่วยชีวิตคนมาแล้วนับไม่ถ้วน
ในขณะที่หลินต้าเหนิงกำลังยืนพักสายตา ใครบางคนเดินผ่านมาทางด้านข้าง… หมอหวังอี้เฉิน ศัลยแพทย์รุ่นเดียวกันในโรงพยาบาลเดียวกัน เขามีใบหน้าอ่อนโยน แว่นกรอบบาง ตาเรียวมองเพื่อนร่วมงานตรงหน้าอย่างห่วงใย
หมอหวังอี้เฉิน (ลดเสียงให้เบา) :“หมอหลิน… ผมรู้ว่าคุณเพิ่งออกจากเคสหนักมา แล้วทำไมมายืนพิงผนังแบบนี้อีกแล้วล่ะ? ทำไมไม่ไปห้องพักที่ห้องแพทย์สักหน่อยครับ?”
หลินต้าเหนิงเงยหน้าขึ้น ยิ้มบางตอบสีหน้าระคนอิดโรย
หลินต้าเหนิง:“ฉันแค่้าสูดอากาศนิดหน่อยค่ะคุณหมอหวัง อีกเดี๋ยวฉันคงกลับไปงีบสักชั่วโมง…ถ้าไม่มีเคสแทรกนะ” หมอหวังอี้เฉินหัวเราะในลำคอเบาๆ ขณะที่ในมือจับสมุดบันทึกการแพทย์ที่พกติดตัวไว้
หมอหวังอี้เฉิน:“หมอหลินคุณนี่สุดยอดจริงๆ ราวกับไม่ใช่มนุษย์ ผ่าตัดยาวสิบชั่วโมงยังยืนได้อยู่…อ้อ แต่เกือบลืมไป ผมมาหาคุณพอดี มีข่าวมาบอกวันศุกร์นี้ โรงพยาบาลจะจัดสัมมนาพิเศษเชิญ หมอหยางหนิงอัน จากตระกูลหยาง ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์แพทย์แผนโบราณมาเป็วิทยากร เขาจะบรรยายหัวข้อ ‘เทคนิคแพทย์โบราณ ที่แพทย์สมัยใหม่ควรศึกษา’ ที่ห้องประชุมใหญ่บ่ายสองตรง คุณสนใจหรือเปล่า? ผมรู้ว่าคุณชอบงานวิจัยแนวนี้”
เมื่อได้ยินชื่อนั้นหมอหยางหนิงอัน แววตาอิดโรยของหลินต้าเหนิงกลับสว่างวาบขึ้นในฉับพลัน เธอเคยได้ยินความโด่งดังของหมอหยางหนิงอันอยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะทฤษฎีที่ผสานยาต้มจีนเข้ากับเทคนิคผ่าตัด และเทคนิคฝังเข็มควบคู่กับกายภาพบำบัดสมัยใหม่หลินต้าเหนิง
(น้ำเสียงตื่นตัว) :“จริงเหรอ! คุณหมอหยางหนิงอันที่จะมาบรรยาย น่าสนใจมากคะ… ฉันเคยอ่านบทความของเขาเกี่ยวกับการใช้สมุนไพรจีนลดการอักเสบหลังผ่าตัด เห็นว่าผลตอบรับดีทีเดียว ฉันอยากเรียนรู้จากเขาโดยตรงอยู่พอดี” เธอขยับตัวอย่างกระฉับกระเฉงขึ้น กอดแฟ้มประวัติคนไข้ที่หนีบอยู่
หมอหวังอี้เฉิน (ยิ้มกว้าง) :“ว่าแล้วต้องสนใจแน่นอน… ก็คุณหลินขึ้นชื่อเื่นำความรู้ทุกแขนงมาประยุกต์ใช้ อ้อ พอจบสัมมนา มี่ซักถามด้วย ผมแนะนำว่าอย่าพลาด โอกาสดีๆ ไม่ได้มาง่ายๆ นะ”
หลินต้าเหนิง:“ขอบคุณมากที่บอก ฉันจะเคลียร์ตารางผ่าตัดวันศุกร์ภาคบ่ายให้ว่างเพื่อไปฟังแน่นอน ยังไงถ้ามีเคสไหนที่ต้องเลื่อนได้ ฉันจะพยายามหาแพทย์คนอื่นช่วยรับแทนชั่วคราวค่ะ” เมื่อได้ยินคำตอบรับ หมอหวังอี้เฉินก็พยักหน้ายินดี ก่อนจะเหลือบดูนาฬิกาข้อมือ
หมอหวังอี้เฉิน:“งั้นเจอกันอีกทีวันศุกร์นะครับ ผมต้องรีบไปวอร์ด 5 มีคนไข้รอผมอยู่ อย่าลืมพักผ่อนด้วย หมอหลิน”
หลินต้าเหนิง (ยิ้มอ่อน) :“ขอบคุณมากหมอหวัง เดี๋ยวฉันจะไปห้องแพทย์ เก็บของแล้วก็พักจริงๆ สักที… ไว้เจอกันวันศุกร์ค่ะ” หมอหวังอี้เฉินโบกมือลาเล็กๆ และก้าวออกไปอย่างเร่งรีบ เหลือหลินต้าเหนิงยืนอยู่คนเดียวครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือลูบหน้าตัวเอง รอยยิ้มติดมุมปากเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับห้องพัก..!!
แพทย์หญิงหลินต้าเหนิง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้