กระทั่งเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยอมตกลงพาตนขึ้นเขาไปด้วยกัน เยวี่ยเจาหรานถึงวางหัวใจตนกลับลงที่เดิมได้อย่างมั่งคงสบายใจ เขาพยุงร่างกายอ่อนแรงาเ็ตามอีกฝ่ายกลับไปยังอารามชีด้วยกันอีกครั้ง
แต่ถึงอย่างไรร่างกายของเยวี่ยเจาหรานก็ได้รับาเ็ร้ายแรงเกินไป เดินกะโผลกกะเผลกตลอดทาง สร้างความวุ่นวายให้กับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอยู่บ้าง แต่เพื่อเห็นแก่บัณฑิตอ่อนแอผู้นี้ที่พยายามสุดชีวิตเพื่อช่วยตน เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็อดกลั้นอารมณ์ที่อยากจะะเิในใจเอาไว้ แล้วอดทนเดินไปพร้อมกับเยวี่ยเจาหรานช้าๆ อย่างอ่อนโยน
เดินๆ หยุดๆ เช่นนี้จนไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร กระทั่งฟ้าเริ่มส่องสว่าง ทั้งสองถึงได้มองเห็นประตูใหญ่ของอารามชีอีกครั้ง
“รอเดี๋ยว...” เยวี่ยเจาหรานเห็นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกำลังจะก้าวเท้ามุ่งไปข้างใน ก็พลันดึงข้อมือของนางเอาไว้ ในใจคิดว่าอย่างไรนางก็เป็สตรี จะให้พูดจาทำอะไรบุ่มบ่ามมุทะลุ ดูราวกับชายชาตรีไม่หวั่นฟ้าไม่เกรงดินเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่สิ เห็นได้ชัดว่าชายชาตรีพวกนั้นยังไม่ได้เป็เช่นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ
เรี่ยวแรงของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่มีที่ลง ขณะที่กำลังจะมุ่งออกไปก็กลับถูกคนดึงกลับมาอีกครั้ง นางหันกลับไปอย่างไม่เข้าใจ พร้อมเบิกตามองไปยังเยวี่ยเจาหราน “ทำไม มีอะไรหรือ?”
“เ้ารีบร้อนพุ่งเข้าไปข้างในเช่นนี้ หากปะทะเข้ากับพวกโจรพเนจรเข้าจะทำอย่างไร พวกเขาเป็คนกลุ่มใหญ่ที่ถือดาบจริงหอกจริงนะ!”
หัวคิ้วของเยวี่ยเจาหรานขมวดเป็ปม ดูท่าแล้วคงกำลังคิดคำนวณว่าจะเข้าไปอย่างไรจึงจะปลอดภัย แต่ในใจของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้นรู้สึกว่าการคิดคำนวณเช่นนี้ช่างไร้ประโยชน์ยิ่งนัก หากว่าโจรพเนจรกลุ่มเดินทางได้ช้ากว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วและเยวี่ยเจาหรานที่าเ็ กระทั่งฟ้าสว่างแดดจ้าแล้วยังมัวเข่นฆ่าปล้นชิงอยู่ในอารามชีอีกละก็…
คาดว่าพรุ่งนี้คงต้องวางมือเลิกอาชีพนี้แล้วกลับบ้านไปทำนาใช้ชีวิตวัยเกษียณแล้วกระมัง!
ทว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วกล้าพูดไปตรงๆ ที่ไหนกัน ดังนั้นนางจึงได้แต่ดึงแขนของเยวี่ยเจาหรานเข้ามา เอ่ยปลอบขวัญเสียงเบา “ไม่ต้องกลัว จะชักช้าอีกไม่ได้แล้ว ไม่เช่นนั้นสถานการณ์ข้างในอาจจะเลวร้ายยิ่งกว่านี้ ร่างกายเ้าาเ็ รอข้าอยู่ตรงนี้ก่อน หากข้างในไม่มีอะไร ข้าจะเรียกเ้าเข้าไป...”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพูดจบก็ปล่อยมือกำลังจะเดินไป ใครจะรู้ว่าเยวี่ยเจาหรานกลับรั้งนางเอาไว้อีกครั้งหนึ่ง “ไม่เอา ข้าจะไปด้วยกันกับเ้า...”
“หยุด!” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเอาจริงเอาจังขึ้นมา ขมวดคิ้วเอ่ยเตือนสติเยวี่ยเจาหราน “ก่อนจะมาข้าพูดว่าอะไร? บอกว่าเ้าต้องเชื่อฟังคำสั่งของข้าให้ดีไม่ใช่หรือ! หากเ้าไม่เชื่อฟัง ต่อไปข้าก็จะไม่พาเ้ามาในสถานที่อันตรายเช่นนี้อีกแล้ว ได้ยินหรือไม่!”
เยวี่ยเจาหรานในตอนนี้เหมือนกับเด็กน้อยที่ถูกจับได้ว่าทำผิดอย่างไรอย่างนั้น โดยเฉพาะเมื่อยังสวมเสื้อผ้าของสตรี ก็ยิ่งเหมือนกับสาวน้อยที่กำลังน้อยอกน้อยใจ... เขาช้อนดวงตาขึ้นมา เมื่อมองสีหน้าเคร่งขรึมของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแล้ว เยวี่ยเจาหรานถึงได้พยักหน้ายินยอมในที่สุด “ก็ได้... เช่นนั้นเ้าจะต้องระวังตัวให้ดีนะ...”
“วางใจเถอะ...!”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่หลุดพ้นมาได้ในที่สุดก็รีบเร่งวิ่งเข้าไปในอารามชี ตลอดทางก็ยังยึดคติที่ว่า พึงระวังให้มั่น ย่อมแล่นเรือได้เป็หมื่นปี [1] พยายามไม่แสดงการเคลื่อนไหวที่ดูน่าสงสัยอะไรออกมา
เยวี่ยเจาหรานหาตำแหน่งที่สามารถซ่อนตัวได้ ทั้งสามารถมองเห็นเงาร่างของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วด้วย าแบนร่างกายเนื่องจากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมมาเป็เวลานาน ยามนี้จึงเริ่มปวดขึ้นมาเล็กน้อย…
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ตามบิดาเข้าสนามฝึกั้แ่เจ็ดแปดขวบ หากจะพูดก็คงนับว่าเป็ ‘ชายชาตรี’ ที่กรำศึกมาโชกโชนแล้วคนหนึ่ง แต่ว่า เมื่อนางได้เห็นสถานการณ์ของอารามชีในยามนี้ด้วยตาตัวเองแล้ว นางก็พลันแข็งทื่ออยู่กับที่โดยไม่อาจขยับเขยื้อน
ไม่ใช่เพราะอื่นใด แต่เป็เพราะสภาพของอารามชีในตอนนี้ช่างน่าเวทนาเหลือทน... ถึงขนาดที่ใช้คำว่าซากศพเกลื่อนกลาดมาพรรณนาก็ไม่ได้เกินจริงเลย
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วได้สติกลับมาท่ามกลางความตื่นตะลึง นางพลิกศพทุกศพตรวจดูอย่างระมัดระวัง อาจพูดได้ว่ายังมีคนที่โกรธเคืองอยู่บ้าง แต่น่าเสียดาย… ทั้งหมดที่พบเห็นได้ในเรือนหลักของอารามชีนั้น ล้วนถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหดทารุณจนสิ้น…
กระทั่งดวงตาของซือไท่จิ้งซินก็ยังไม่หลับเลยด้วยซ้ำ เืแดงฉานขนาดใหญ่ที่หน้าอกของนางแห้งเหือดไปนานแล้ว ซึมทะลุเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มบนร่างของนาง... ภาพเมื่อวานตอนที่เพิ่งจะมาถึงอารามชียังแจ่มชัดตรึงตรา ไม่ใช่ซือไท่จิ้งซินที่ดูแลเอาใจใส่และจัดเตรียมทุกอย่างไว้ให้หรอกหรือ?
แต่ชีวิตของคนคาดไม่ถึงว่าจะเปราะบางเช่นนี้ เมื่อวานยังอยู่ดีมีชีวิตชีวา มายามนี้กลายเป็ศพเย็นะเืร่างหนึ่ง ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว แสดงให้เห็นว่า ‘ตายตาไม่หลับ’ นั้นเป็เช่นไร…
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอดกลั้นน้ำตาที่เอ่อล้นขึ้นมา แล้วฝืนใจย่อตัวนั่งลง ค่อยๆ ลูบปิดดวงตาที่เบิกโพลงให้กับซือไท่จิ้งซินอย่างแ่เบา ประนมมือเอ่ยอธิษฐานเบาๆ อยู่ข้างร่างของซือไท่จิ้งซิน
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่ทำทั้งหมดเสร็จแล้วลุกยืนขึ้น แล้วรีบไปดูที่ส่วนเรือนด้านหลังและที่อื่นต่อ ในอารามชีเต็มไปด้วยความเงียบสงัด ตู้ใส่เงินบริจาคถูกคนปล้นไปหมดเกลี้ยงแล้ว อีกทั้งพระพุทธรูปชุบทองที่ถวายยังแท่นสักการะและที่อื่นๆ เองก็หายไปหมดสิ้นเช่นกัน... คิดดูแล้วโจรพเนจรพวกนั้นคงได้สิ่งที่้าและจากไปแล้ว เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยืนนิ่งไตร่ตรองอยู่กับที่ แล้วจึงตัดสินใจออกไปข้างนอกเรียกเยวี่ยเจาหรานเข้ามาก่อน
ถึงอย่างไรท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ เยวี่ยเจาหรานอยู่ข้างนอกลำพังนางเองก็ไม่อาจวางใจได้ มีเพียงให้เยวี่ยเจาหรานจะยืนอยู่ข้างกายตนเท่านั้น เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วถึงจะสามารถวางใจลงได้อย่างแท้จริง
“เยวี่ยเจาหราน...” เยี่ยนอวิ๋นหลิ่ววิ่งออกไปนอกอาราม ยังคงพยายามกดเสียงลงค่อนข้างเบา แต่ก็ยังคิดที่จะให้เยวี่ยเจาหรานที่ซ่อนตัวอยู่ได้ยินด้วย เยวี่ยเจาหรานเห็นเงาร่างของนาง ก็รีบร้อนวิ่งออกมาจากที่ซ่อน จนเกือบจะทำาแที่ยังเจ็บแปลบของตนฉีกขึ้นมา
“ข้าอยู่ที่นี่...!”
เยวี่ยเจาหรานวิ่งไปทางเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วพลางเอ่ยขึ้น หัวคิ้วที่ขมวดมุ่นของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วนั้น ชั่วขณะที่เห็นเยวี่ยเจาหรานก็พลันคลายลง มองออกได้เลยว่านางกังวลใจมากจริงๆ กลัวว่าเยวี่ยเจาหรานจะหายไป
“สถานการณ์ข้างในเป็อย่างไรบ้าง?” เยวี่ยเจาหรานจับแขนของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเอาไว้อย่างเป็ธรรมชาติ พร้อมกับเอ่ยถามขึ้น แต่เมื่อเขาเห็นอารมณ์ความรู้สึกบนใบหน้าของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ก็สามารถเดาสถานการณ์ภายในอารามชีได้ทันที คาดว่าคงไม่มีข่าวดีอันใดแล้ว
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วส่ายหน้าท่ามกลางสายตาจ้องมองของเยวี่ยเจาหราน พร้อมกับถอนหายใจอย่างหนักอึ้ง “ตายหมดแล้ว”
หลายสิบชีวิต ภายในเวลาเพียงหนึ่งค่ำคืน ล้วนกลายเป็กระดูกขาวสิ้น... ดวงตาของเยวี่ยเจาหรานพลันเบิกกว้าง ความตกตะลึงบนใบหน้านั้นเกินกว่าจะบรรยาย “สวี่ชิวเยวี่ยล่ะ? สวี่ชิวเยวี่ยเองก็...?!”
“ไม่รู้... ข้าดูเพียงเขตเรือนด้านหน้าและด้านหลังเท่านั้น ทางเรือนด้านข้างยังไม่ได้ไป ข้าเป็ห่วงเ้าอยู่ข้างนอกคนเดียวจะไม่ปลอดภัย ดังนั้นจึงอยากให้เ้าอยู่ข้างกายข้า... ข้าจึงจะสามารถวางใจได้บ้าง”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเก็บกระบี่พกของตนแล้วเอ่ยเช่นนั้น เยวี่ยเจาหรานที่อยู่ข้างๆ เห็นเช่นนั้นกลับไม่ค่อยเข้าใจนัก “เหตุใดเก็บกระบี่แล้วล่ะ? สถานการณ์ข้างใน... พวกมันหนีไปหมดแล้วหรือ?”
“ของที่อยากได้ก็เอาไปแล้ว สังหารคนก็มากมาย ยังไม่หนีจะอยู่ต่อทำอะไร... พวกมันหนีไปตั้งนานแล้ว เราเข้าไปดูข้างในกัน ดูว่าจะเจอคนที่ยังมีชีวิตอยู่สักสองสามคนหรือไม่ ทั้งดูสถานการณ์ของสวี่ชิวเยวี่ยด้วย... ที่นี่ไม่ควรรั้งอยู่นาน ต้องเคลื่อนไหวให้เร็วสักหน่อย” หัวคิ้วของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วขมวดเข้าหากันอีกครั้ง แล้วจัดเตรียมอย่างเป็ระบบแบบแผน
เยวี่ยเจาหรานพยักหน้า ทั้งสองจึงเดินเคียงข้างกันเข้าไปในอารามชีอีกครั้ง
เชิงอรรถ
[1] พึงระวังให้มั่น ย่อมแล่นเรือได้เป็หมื่นปี (小心驶得万年船) หมายถึง ไม่ว่าทำอะไรควรกระทำอย่างระมัดระวังรอบคอบ จึงจะสงบสุขไร้ภยันตราย
