อันซิ่วเอ๋อร์เห็นปลาใกล้สิ้นใจเต็มที จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจือความเสียดาย "ดูท่าปลาตัวนี้คงไม่รอดเสียแล้ว คงต้องเก็บไว้เป็อาหารของเราเสียแล้วกระมัง" ทว่าในแววตากลับมิได้มีความอาลัยอาวรณ์เท่าใดนัก ด้วยเมื่อปลาตายแล้ว ก็ย่อมนำมาปรุงเป็อาหารได้
่เวลานี้ ผักที่นางปลูกไว้หลายชนิดกำลังให้ผลผลิต นางจึงไม่ใคร่อยากกินปลาเท่าไรนัก แต่เมื่อปลาตัวนี้ถึงที่ตายแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องเสียดายอีก
"เดี๋ยวข้าหามาให้เ้าอีกตัว" จางเจิ้นอันกล่าวพลางเงื้อฉมวกแทงลงไปในน้ำอีกครา อันซิ่วเอ๋อร์ชะโงกหน้ามองลงไปในผืนน้ำ รอจนเขาชักฉมวกขึ้น ปลายฉมวกก็พลันปรากฏปลาอีกตัวหนึ่งกำลังดิ้นเร่าๆ
"ท่านพี่ ช่างเก่งกาจเสียจริง!"
อันซิ่วเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะปรบมือชื่นชม หากครั้งแรกเป็เพราะโชคช่วย แต่การทำได้ถึงสองครั้งติดกันย่อมเป็ฝีมือที่แท้จริง
"เพียงเท่านี้ก็เรียกว่าเก่งกาจแล้วรึ?" จางเจิ้นอันกล่าวคล้ายไม่ใส่ใจนัก ทว่ารอยยิ้มบางๆ ที่มุมปากกลับเผยให้เห็นถึงความพึงพอใจในใจ
"แน่นอนสิเ้าคะ อย่างข้าคงไม่มีทางแทงได้แม้แต่ตัวเดียว"
อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวอย่างทอดถอนใจ นึกถึงตอนที่ตนใช้ไม้พายฟาดปลาแล้วก็อดขำตัวเองไม่ได้ คงมีเพียงนางกระมังที่ทำเช่นนี้
"ไม่เป็ไร ข้าจะแทงเผื่อส่วนของเ้ามาให้ด้วย"
จางเจิ้นอันชี้ไปยังปลาที่เสียบอยู่บนฉมวก กล่าวว่า "นี่ เอาไป ตัวนี้ถือว่าเป็ของเ้า ค่ำนี้เ้าก็นำไปมอบให้ท่านพ่อตาท่านแม่ยายเสีย"
"ท่านพี่ช่างดีเหลือเกินเ้าค่ะ"
เมื่อได้ยินจางเจิ้นอันเอ่ยปากว่าจะนำของไปฝากครอบครัวเดิม อันซิ่วเอ๋อร์ก็พลันยินดี กล่าวเสริมว่า "ในหมู่บ้านเรานี้ จะหาลูกเขยดีๆ เช่นท่านได้ยากนัก หากท่านพ่อท่านแม่รู้ว่าท่านนึกถึงพวกท่านเพียงนี้ คงจะปลาบปลื้มใจยิ่งนัก"
จางเจิ้นอันเก็บฉมวก กล่าวว่า "ล้วนเป็เื่เล็กน้อย ท่านพ่อตาท่านแม่ยายมอบลูกสาวอันเป็ที่รักให้แก่ข้า ข้าย่อมต้องตอบแทนน้ำใจท่านบ้าง"
"อ้อ หรือว่าวิธีตอบแทนน้ำใจของท่าน คือการส่งปลาให้พวกท่านตัวเดียวนี่น่ะหรือเ้าคะ?" อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวหยอกเย้าอย่างอารมณ์ดี
จางเจิ้นอันหันมองดวงตากลมโตเป็ประกายของนาง ไม่เอ่ยคำใด เพียงเดินไปยังหัวเรือ กล่าวว่า "ความในใจข้า เ้าย่อมเข้าใจดี กลับบ้านกันเถิด"
"ข้าขอพายเองเ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์เห็นว่าการพายเรือเป็เื่สนุก จึงอยากลองััดูอีกครั้ง
การเดินทางในลำน้ำราบรื่น สายลมเป็ใจ การพายเรือจึงไม่ได้เปลืองแรงมากนัก อีกทั้งยังมีจางเจิ้นอันคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ นางจึงพายเรือกลับถึงริมฝั่งได้อย่างราบรื่น
ยามนั้น ดวงตะวันคล้อยต่ำ แสงสีทองสุดท้ายสาดส่องลงบนผิวน้ำอันสงบนิ่ง สะท้อนเป็ประกายระยิบระยับจับตา ท้องฟ้าปรากฏหมู่เมฆสีแดงชาดผืนใหญ่ คล้ายอาภรณ์หรูหราของเทพธิดาองค์ใดองค์หนึ่ง ช่างดูงดงามและแฝงความลึกลับ
ทั้งสองจูงมือกันเดินกลับบ้าน เหล่าชาวนาที่เดินสวนมาต่างก็เอ่ยทักทายพวกเขาอย่างเป็กันเอง เนื่องจากจางเจิ้นอันได้เป็อาจารย์ในสำนักศึกษา ทั้งยังไม่ได้สวมผ้าปิดตาอีกต่อไป รูปลักษณ์ภายนอกและกิริยาท่าทางล้วนแตกต่างจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด ชาวบ้านในปัจจุบันจึงให้ความเคารพยำเกรงเขามากขึ้น และนับถือเขาเป็สมาชิกคนหนึ่งของหมู่บ้านอย่างแท้จริง
จางเจิ้นอันเองก็มิได้ทำตัวห่างเหินจากชาวบ้านเช่นแต่ก่อน ทุกครั้งที่มีผู้ทักทาย เขาจะพยักหน้าตอบรับ ชาวบ้านเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็คนซื่อๆ จิตใจดี บางครั้งจางเจิ้นอันถึงกับรู้สึกราวกับหลุดเข้ามาอยู่อีกโลกหนึ่ง และกำลังจมดิ่งลงไปในชีวิตอันเรียบง่ายผ่อนคลายเช่นนี้
ในปัจจุบัน เขามีภรรยาที่น่ารัก มีลูกศิษย์ กล่าวได้ว่ามีครอบครัวที่สมบูรณ์แล้ว ความห่วงใยของภรรยาในทุกรุ่งเช้าทำให้หัวใจอบอุ่น เมื่อถึงสำนักศึกษา คำทักทายอย่างนอบน้อมของเหล่าลูกศิษย์ก็ทำให้เขารู้สึกเบิกบานใจ ชีวิตเช่นนี้ ย่อมมีค่ามากกว่าทองคำหมื่นตำลึง
แต่ชีวิตอันแสนสุขก็ย่อมมีอุปสรรคเข้ามาบ้างเป็ธรรมดา ในวันรุ่งขึ้น กลุ่มคนที่นำโดยเซี่ยงซื่อก็พากันมาหาเื่เขาถึงที่
การมาของพวกนางก่อให้เกิดความวุ่นวายพอสมควร จางเจิ้นอันรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง ตั้งใจว่าจะไม่ใส่ใจพวกนาง แต่เสียงเอะอะโวยวายกลับรบกวนการสอนหนังสือ เขาจึงเร่งสอนบทเรียนนั้นให้จบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อสอนจบ เขาก็วางตำราลง ไม่ได้สนใจพวกนางนอกห้อง เพียงแต่มองไปยังผู้ใหญ่บ้านที่เดินตามหลังกลุ่มคนมาด้วยสีหน้าเรียบขรึม พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
"ท่านผู้ใหญ่บ้าน ที่นี่คือสำนักศึกษา ท่านนำพาคนเหล่านี้มาที่นี่ มีธุระอันใดหรือ?"
"เอ่อ เป็เช่นนี้ เหล่าผู้ปกครองได้ยินว่ามีการเปลี่ยนอาจารย์ ก็เลยอยากมาดูหน้าค่าตาท่านสักหน่อย" ผู้ใหญ่บ้านหัวเราะแห้งๆ พยายามพูดติดตลก ในเช้าวันนี้ เขาถูกเหล่าสตรีเหล่านี้รบกวนจนแทบจะเป็บ้า ไม่ทราบว่าพวกนางไปได้ยินมาจากที่ใดว่าจางเจิ้นอันเคยเป็ชาวประมง จึงได้รวมหัวกันมาหาเื่เขาถึงที่
เมื่อเห็นเหล่าสตรีที่มาด้วยท่าทีเอาเื่ จางเจิ้นอันก็เข้าใจสถานการณ์ได้ในทันที เขายิ้มบางๆ กล่าวว่า "ข้าทราบถึงความกังวลของทุกท่านดี คงไม่พ้นเื่ไม่ไว้วางใจในตัวข้ากระมัง"
ขณะที่จางเจิ้นอันกำลังกล่าวอยู่นั้น เสียงแหลมเสียงหนึ่งก็แทรกขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจ "ใช่สิ! ท่านมันก็แค่ชาวประมง คิดหรือว่ารู้จักอักษรไม่กี่ตัวก็มาเป็อาจารย์สอนคนอื่นได้แล้ว? ข้าได้ยินมาว่าท่านจับปลาเก่งนักมิใช่รึ หรือว่าวันหน้าคิดจะพาลูกศิษย์ไปจับปลาด้วยกัน? จงรู้ไว้ด้วยว่า บุตรชายข้าภายหน้าจะต้องสอบเป็จอหงวน!"
เซี่ยงซื่อจ้องมองจางเจิ้นอันเขม็งด้วยความโกรธเคือง ราวกับว่าจางเจิ้นอันคือผู้ที่จะมาทำลายอนาคตอันรุ่งโรจน์ของบุตรชายสุดที่รักของนาง
หากเป็เมื่อก่อน เมื่อพบเจอสตรีไร้เหตุผลเช่นนี้ เขาคงไม่คิดจะใส่ใจ หากนางยังคงส่งเสียงดังไม่หยุด เขาก็อาจจะใช้สันมือฟาดคอนางให้สลบไปเสีย แต่ในปัจจุบัน สภาพจิตใจของเขาสงบนิ่งลงมาก แม้คำพูดของสตรีผู้นี้จะหยาบคายไร้มารยาท แต่เขาก็คิดว่านางคงเป็ห่วงบุตรชายจนขาดสติ จึงไม่ได้ถือสาโกรธเคือง
"ยังมีสิ่งใดจะตำหนิข้าอีกหรือไม่ กล่าวออกมาให้หมดเถิด" เขากวาดสายตามองไปยังทุกคน ไม่ได้เอ่ยคำแก้ตัวใดๆ
"พวกเราก็ไม่ได้มีเื่ใดจะตำหนิท่านเป็พิเศษหรอก เพียงแต่รู้สึกว่าท่านที่เป็ชาวประมง จะสามารถสอนเด็กเหล่านี้ให้ดีได้อย่างไรกัน?"
สตรีอีกนางหนึ่งกล่าวขึ้น เนื่องจากจางเจิ้นอันมีท่าทีสงบนิ่ง ไม่ได้โอ้อวดว่าตนเองเก่งกาจสามารถเพียงใด สตรีผู้นี้จึงไม่อาจกล่าวตำหนิด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวได้เต็มที่นัก ท่าทีจึงอ่อนลงไปบ้าง
"จะสอนได้ดีหรือไม่ มิใช่ข้าเป็ผู้ตัดสิน" จางเจิ้นอันกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย "ข้าทราบดีว่าเมื่อก่อนข้าเคยเป็ชาวประมง และแม้กระทั่งปัจจุบัน การสอนหนังสือก็ยังเป็เพียงงานอดิเรกของข้าเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง หากผู้ใดไม่เชื่อใจข้า ก็จงนำบุตรหลานของตนกลับไปเสีย"
"ท่านบอกให้นำกลับไปก็คือจบเื่รึ? แล้วเงินทองที่พวกเราจ่ายไปเล่า ใครจะชดเชยให้?" เมื่อเซี่ยงซื่อได้ยินคำกล่าวของจางเจิ้นอัน ราวกับจับจุดอ่อนเขาได้ ก็รีบส่งเสียงแหลมถามขึ้นทันที
"ย่อมเป็ท่านผู้ใหญ่บ้านเป็ผู้ชดเชยให้" จางเจิ้นอันตอบกลับอย่างง่ายดาย
"เฮ้อ ท่านจาง ข้าเชื่อมั่นในความสามารถของท่านอยู่แล้ว ผู้ปกครองเหล่านี้เพียงแค่ฟังความมาผิดๆ เท่านั้น ท่านเพียงแสดงฝีมือให้พวกนางได้เห็นสักหน่อย ก็จะทำให้พวกนางวางใจได้เอง" ผู้ใหญ่บ้านยิ้มอย่างขมขื่น เขากว่าจะสลัดสตรีเหล่านี้ให้พ้นตัวได้นั้นช่างยากเย็นยิ่งนัก ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่อยากให้พวกนางกลับมาเกี่ยวข้องวุ่นวายอีก
"ความรู้มิใช่สินค้าแบกะดินข้างทาง ข้าเองก็มิใช่นักแสดงเร่ร่อน การจะให้มาแสดงภูมิความรู้อวดโอ้ไปทั่วนั้น เป็เื่ไร้สาระ สิ่งนี้ข้าทำไม่ได้" จางเจิ้นอันตอบกลับโดยไม่ใส่ใจ
"นี่…" ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกจนปัญญา ไม่กล้าเอ่ยคำใดเกลี้ยกล่อมอีก
เซี่ยงซื่อกลับกล่าวขึ้นว่า "ข้าไม่สน! อย่างไรเสียพวกเราก็จ่ายเงินไปแล้ว ท่านผู้ใหญ่บ้านท่านต้องหาคนมาเปลี่ยนให้พวกเราให้ได้ มิเช่นนั้นพวกเราจะทุบป้ายสำนักศึกษาแห่งนี้ทิ้งเสีย!"
"อย่า อย่า อย่าทำเช่นนั้นเลย!"
ผู้ใหญ่บ้านรีบเข้ามาทำหน้าที่เป็คนกลางไกล่เกลี่ย กล่าวว่า "ทุกท่านใจเย็นๆ ก่อน ท่านอาจารย์จางเป็ผู้มีความรู้ความสามารถจริงๆ ข้ามีบุตรชายเรียนอยู่ที่นี่ หากเขาไม่ได้เื่จริง ข้าจะปล่อยให้เขามาเป็อาจารย์อยู่ที่นี่ได้อย่างไรเล่า"
"มีแต่ลมปาก ใครจะเชื่อ!"
เซี่ยงซื่อปักใจเชื่อในความคิดตนเองไปแล้ว กล่าวต่อไปว่า "ข้าได้ยินมาว่าจางเจิ้นอันผู้นี้ชอบใช้กำลังข่มเหงผู้อื่น เมื่อวานบุตรชายข้าเพียงเขียนผิดไปตัวเดียว ก็ถูกเขาทุบตีอย่างรุนแรง เด็กๆ ยังเล็กนัก จะทนทานต่อการทุบตีเช่นนี้ได้อย่างไร!"
จางเจิ้นอันจ้องมองเซี่ยงซื่ออย่างลึกซึ้ง กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า "ข้ารู้แต่เพียงว่า ไม้เรียวสร้างคน หากท่านเสียดายบุตรชาย ก็จงนำกลับบ้านไปเสีย พวกท่านเองที่ไม่้ายอมรับเงื่อนไขของสำนักศึกษา ค่าเล่าเรียนย่อมไม่คืนให้"
เมื่อวานเขาเพิ่งให้พวกเขาคัดลอกอักษรเพียงสิบตัว อีกทั้งยังเป็อักษรที่ให้คัดลอกตามต้นแบบในหนังสือ แม้แต่การคัดลอกง่ายๆ ก็ยังผิดพลาดได้ การตีมือสั่งสอนจึงถือว่าเป็การลงโทษที่เบามากแล้ว
ในยุคสมัยนี้ให้ความสำคัญกับการเคารพครูบาอาจารย์ แต่เพียงเพราะเื่เล็กน้อยเท่านี้ กลับต้องรวมกลุ่มกันมากมายเพื่อมาจัดการกับตน จางเจิ้นอันรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง ทั้งยังรู้สึกสมเพชระคนเย้ยหยันอยู่ในที การที่เขาตั้งใจทุ่มเทสอนสั่งใน่หลายวันที่ผ่านมานี้ ล้วนสูญเปล่าไปสิ้น
แม้ว่าในสายตาของพวกเขา เขาอาจจะทำไปเพื่อเงินเดือนสองร้อยอีแปะ แต่ในความเป็จริงแล้ว จางเจิ้นอันไม่ได้ใส่ใจเงินเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย เงินค่าจ้างรายวันซึ่งไม่ถึงสิบอีแปะด้วยซ้ำ เขาเพียงออกแรงแทงปลาเพิ่มอีกสักสองสามตัวก็ได้มาอย่างง่ายดาย ไยต้องมาเสียแรงเปล่ากับเื่น่ารำคาญเช่นนี้
"จางเจิ้นอัน! ท่านช่างใจดำเหลือเกิน! ค่าเล่าเรียนก็ไม่ยอมคืนให้ ท่านคิดจะเอาเปรียบกันหรืออย่างไร!"
เซี่ยงซื่อเริ่มสาดคำด่าทอใส่เขาอย่างเสียๆ หายๆ จางเจิ้นอันไม่ได้สนใจ เพียงกล่าวว่า "พวกท่านยังมีธุระอื่นอีกหรือไม่ หากไม่มีแล้ว ข้าจะเข้าไปสอนหนังสือให้เด็กๆ ต่อ"
"ท่านอันหลี่เจิ้ง! ท่านดูเอาเถิด ท่านไปเชิญคนเช่นไรมาเป็อาจารย์ คนแบบนี้จะเป็อาจารย์สอนใครได้หรือ?" เซี่ยงซื่อถ่มน้ำลายลงพื้นอย่างเหยียดหยาม
ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกจนปัญญาอย่างที่สุด การเปลี่ยนแปลงของจางเจิ้นอันใน่หลายวันที่ผ่านมาทำให้เขาทราบดีถึงความสามารถของอีกฝ่าย เขาได้ยินเื่ราวของจางเจิ้นอันจากปากบุตรชายตนเองทุกวัน การที่บุตรชายชื่นชมจางเจิ้นอันอย่างออกนอกหน้าปานนั้น แสดงให้เห็นว่าความรู้ความสามารถของจางเจิ้นอันคงไม่ธรรมดาแน่ เพียงแต่ปัญญาชนส่วนใหญ่มักจะถือตัว แม้ในขณะนี้จะถูกชาวบ้านเหล่านี้เข้าใจผิดไป แต่ครั้นจะให้เขาออกมาแสดงความรู้ เขากลับไม่ยินยอม
แต่หากไม่ได้อธิบายเื่ราวเหล่านี้ให้กระจ่างแจ้ง เื่ราวย่อมบานปลายใหญ่โต หากถึงคราวที่มีผู้ปกครองเกินครึ่งพากันไปหาเขาถึงบ้าน เขาย่อมยากที่จะรับมือไหว
"ท่านอาจารย์จาง อย่าได้ถือสาโกรธเคืองเลยนะ จงเห็นใจในความหวังดีของผู้เป็พ่อเป็แม่พวกเขาบ้างเถิด" ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
จางเจิ้นอันพยักหน้า แต่กลับหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องเรียน ส่วนเหล่าสตรีเ่าั้ พวกนางอยากจะทำสิ่งใดก็เชิญตามสบายเถิด
เมื่อเดินเข้าไปในห้องเรียน เด็กคนหนึ่งก็ถามขึ้นอย่างหวาดกลัว "ท่านอาจารย์จาง เกิดเื่อันใดขึ้นหรือขอรับ?"
"ไม่มีอะไร ตั้งใจเรียนเถิด ประเดี๋ยวข้าจะให้เ้าออกมาท่องบทเรียน"
จางเจิ้นอันกล่าวเพียงประโยคเดียว พลันนึกขึ้นได้ว่าเื่ราวภายนอกห้องเรียนช่างอึกทึกครึกโครมยิ่งนัก ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจเดินออกมาอีกครั้ง กล่าวกับผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ ว่า "สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น เชิญเข้าไปนั่งฟังในห้องเรียนด้วยตนเองเถิด พวกท่านฟังแล้วย่อมประเมินได้เองว่าดีหรือไม่ดี"
ทุกคนต่างคาดไม่ถึงว่าจางเจิ้นอันจะกล่าวเช่นนี้ เจตนาเดิมของพวกนางคือ้าขับไล่จางเจิ้นอันออกไปให้เร็วที่สุด แต่กลับไม่คาดคิดว่าเขาจะใช้วิธีนี้รับมือ
เหล่าสตรีชาวบ้านเหล่านี้ไม่รู้หนังสือ ย่อมไม่ยินดีที่จะเข้าไปนั่งฟัง แต่บังเอิญว่าผู้ใหญ่บ้านที่อยู่ด้านหลังกลับคอยคะยั้นคะยอ พวกนางจึงไม่อาจทำสิ่งใดได้ ได้แต่เดินตามเข้าไปในห้องเรียนอย่างเสียไม่ได้
การมาถึงของพวกนางทำให้บรรยากาศในห้องเรียนพลันเงียบสงัดลงทันที เด็กๆ ต่างจ้องมองไปยังร่างของผู้มาใหม่ บางคนจำได้ว่าเป็มารดาของตนเอง เมื่อคิดว่ามารดามาหาเื่อาจารย์ถึงที่นี่ ในใจพวกเขาก็รู้สึกอึดอัดกระอักกระอ่วน เพียงหวังว่าพวกนางจะรีบจากไปโดยเร็วที่สุด
