มู่หรงฉือเล่าเื่ราวให้ฟังอย่างเรียบง่าย เสิ่นจือเหยียนคาดเดาความคิดขององค์รัชทายาทได้ทันที “เตี้ยนเซี่ยอยากจะไปที่สุสาน?”
ฉินรั่วคิดว่าเตี้ยนเซี่ยแค่จะมาปรึกษาเสิ่นจือเหยียนเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะเป็เช่นนี้ นางรีบพูด “เตี้ยนเซี่ย ยามนี้ดึกมากแล้ว ไปที่สุสานไม่ค่อยเหมาะนะเพคะ”
มู่หรงฉือไม่สนใจนาง พูดด้วยความสนุก “พวกเราไปหาสองศพนั้นกัน”
มีเบาะแสใหม่กับจุดสำคัญสำหรับคลี่คลายคดี แน่นอนว่าจะต้องไปตรวจสอบ เสิ่นจือเหยียนที่ดีใจแทบไม่ทันจะปฏิเสธได้อย่างไร?
เพียงแต่เตี้ยนเซี่ยเป็บุคคลสำคัญ จะไปยังสถานที่สกปรกเต็มไปด้วยความอัปมงคลอย่างสุสานได้อย่างไรกัน? หากเจอกับอะไรไม่ดีเข้า เช่นนั้นจะทำอย่างไร?
“อย่าโน้มน้าวเปิ่นกงเลย เปิ่นกงตัดสินใจแล้ว” มู่หรงฉือพูดอย่างเด็ดเดี่ยว
“เตี้ยนเซี่ย...” ฉินรั่วยังอยากจะพูดโน้มน้าวอีก แต่กลับถูกเสิ่นจือเหยียนตัดบท
“วางใจเถิด ข้าจะปกป้องเตี้ยนเซี่ยเอง” เสิ่นจือเหยียนรู้ดี หากเตี้ยนเซี่ยตัดสินใจแล้วจะไม่เปลี่ยนใจ
“ฉินรั่ว หรูอี้อยู่ที่ตำหนักบูรพาคนเดียว เปิ่นกงไม่วางใจ เ้ากลับไปที่วัง แต่งตัวเป็เปิ่นกงแล้วนอนหลับเสีย แต่ก่อนทำอย่างไร คืนนี้ก็ทำอย่างนั้น เข้าใจแล้วหรือไม่?” มู่หรงฉือกำชับ ตบฉินรั่วเบาๆ “เ้าขี่ม้ากลับไปก่อน”
ฉินรั่วอยากจะพูดบางอย่างแต่ก็พูดไม่ออก มีเสิ่นจือเหยียนไปกับเตี้ยนเซี่ยด้วย คงจะไม่เป็อะไรกระมัง
เสิ่นจือเหยียนกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า หยิบกล่องไม้ที่ทำออกมาอย่างประณีตหนึ่งใบ จากนั้นทั้งสองก็ขี่ม้าไปที่สุสาน
สุสานอยู่นอกประตูไปทางเหนือสิบลี้ องครักษ์ฝ่ายในของวังหลวงเอาศพออกมานอกวัง จากนั้นก็ใช้รถเทียมวัวลากไปที่สุสาน พอโยนทิ้งไปก็จบเื่ ตอนนี้ประตูเมืองทางเหนือปิดไปแล้ว แต่เสิ่นจือเหยียนมีป้ายของศาลต้าหลี่ เื่การตรวจสอบคดีฆาตกรรมจะปล่อยไว้สักนาทีไม่ได้ จึงผ่านทางได้สะดวกไม่มีผู้ใดขัดขวาง
ท่ามกลางความมืดมิดราวกับผืนผ้าที่คลี่ออกมา ดวงดาวที่อยู่ห่างไกลหลายดวงส่องแสงระยิบระยับ แสงจันทร์ส่องสว่างยามค่ำคืนอันมืดมิดในฤดูร้อน
เสียงหมาหอนดังขึ้น เสียงนกบินดังพึ่บพั่บ ยิ่งทำให้รอบด้านยิ่งวังเวง
เมื่อมาถึงสุสาน มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนก็เอาม้าผูกไว้ที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง
ใกล้ๆ มีต้นไม้หลายต้น ใบไม้ขึ้นแน่นขนัด สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านไปจนเกิดเสียงซ่าๆ ประหนึ่งเป็เสียงถอนหายใจของเหล่าิญญา
เมื่อหันไปมอง ก็เห็นสุสานยามค่ำคืนพื้นที่สูงต่ำไม่เท่ากันเหมือนกับสุสานรกร้างนับพันปี ป่ารกทึบลึกลับ ปกคลุมไว้ด้วยหมอกที่ถูกแสงจันทร์สาดส่องจนกลายเป็สีฟ้าเทาหม่นหมอง ยิ่งทำให้คนรู้สึกขนลุกขนชัน อีกาสองตัวบินขึ้นไปแผดเสียงร้องกากา
เสิ่นจือเหยียนเป็คนกล้าหาญ เห็นศพคนตายเป็สหาย สุสานป่าช้าอะไรพวกนี้ยังน่าสนใจกว่าบ้านของเขา เขาพลันตื่นเต้น ทั้งร่างเต็มไปด้วยเรี่ยวแรง เขารู้สึกว่า สองคนนั้นที่ตายในเรือนชุนอู๋มีความเป็ไปได้ที่จะเป็ส่วนสำคัญในการคลี่คลายคดีที่เกิดขึ้นใน่หลายวันนี้
ปกติแล้วมู่หรงฉือเป็คนที่มีความกล้าหาญและละเอียดรอบคอบ แต่นี่เป็ครั้งแรกที่มายังสถานที่ที่มีศพเต็มไปหมด นางก็ยังรู้สึกขนลุกหัวชา ลังเลไม่กล้าเดินไป
ในอากาศมีกลิ่นเหม็นเน่าของศพลอยตลบอบอวลเต็มไปหมด นั่นคือกลิ่นแห่งความตาย เป็กลิ่นของนรกอเวจี
เสิ่นจือเหยียนเปิดกล่องเล็กกล่องนั้นแล้วหยิบผ้าสองผืนออกมา “นี่คือของที่ข้าทำมาเป็พิเศษ ผ้านี้ชุบน้ำยาที่ทำขึ้นจากสูตรลับของตระกูลสามวันสามคืน ขุดหลุมศพ เปิดอกศพก็ไม่มีทางมีเื่อะไร เตี้ยนเซี่ยเองก็ใส่เอาไว้เสีย”
นางรับมาดมพลันได้กลิ่นน้ำส้มสายชูหมักจากขิง “เหตุใดถึงมีกลิ่นน้ำส้มสายชูจากขิง?”
“ในสูตรลับของข้ามีน้ำส้มสายชูขิงและยังมีสมุนไพรอีกหลายอย่าง”
เสิ่นจือเหยียนพูดไปพลางเอาผ้ามาปิดปากกับจมูก แล้วสวมถุงมือบางๆ “เตี้ยนเซี่ย ท่านอยู่รอข้าตรงนี้”
ในเมื่อมาแล้วก็ไปด้วยกันสิ มู่หรงฉือพูด “เปิ่นกงจะไปหากับเ้า แบบนี้จะไวกว่าสักหน่อย”
“เช่นนั้นเตี้ยนเซี่ยระวังด้วย”
เขาหยิบกิ่งไม้แท่งหนึ่งส่งให้นาง “เตี้ยนเซี่ยโปรดจำเอาไว้ อย่าให้มือััโดยตรง”
นางพยักหน้า เห็นเขาเดินไปทางสุสานป่าช้าอย่างคุ้นเคย
โชคดีที่คืนนี้มีแสงจันทร์ แสงจันทร์สีเงินสาดส่องลงมา เพียงแต่ทิวทัศน์ที่ส่องลงมานั้นไม่ได้มีความสวยงามเลยสักนิด เพราะสิ่งที่ปรากฎอยู่คือศพกระดูกขาวกับศพที่กำลังเน่าเปื่อยทำให้คนพบเห็นอยากอาเจียน
นางใช้กิ่งไม้จิ้มๆ ทางนี้ จิ้มทางนั้น เกือบจะถูกกลิ่นเน่าเหม็นของศพทำให้เป็ลมไป
“อ๊ากกก”
ได้ยินเสียงร้องอย่างใของเตี้ยนเซี่ย เสิ่นจือเหยียนรีบวิ่งมาหาทันที พลางละล่ำละลั่กถามด้วยความใ “เตี้ยนเซี่ย เป็อะไร?”
พูดตามความจริง ตอนได้ยินเสียงร้องของเตี้ยนเซี่ย เขาใจนิญญาแทบหลุดออกจากร่าง
มู่หรงฉือกัดริมฝีปากตัวเอง ใกลัวจนแทบจะร้องไห้ “เหมือน...มีอะไรไม่รู้มาพันขาเปิ่นกง...เป็มือผีหรือไม่?”
เขาก้มตัวลงไปดู ส่ายหน้าพลางหัวเราะ “เตี้ยนเซี่ยไม่ต้องกลัว เป็แค่รากหญ้าหนึ่งต้นเท่านั้น”
นางถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลันรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา “เปิ่นกงขี้ขลาดเกินไปหรือไม่?”
“เตี้ยนเซี่ยเพิ่งเคยมาสถานที่แบบนี้เป็ครั้งแรก ย่อมจะต้อง... ตอนข้าขุดหลุมฝังศพครั้งแรกก็ใจนิญญาแทบหลุดจากร่างเช่นกัน”
เขาปลอบโยนอย่างใส่ใจ แล้วหัวเราะ
แสงจันทร์ส่องกระทบใบหน้าหล่อเหลาของเขา ราวกับดอกไม้ที่แย้มบานอย่างเงียบงันจนไม่อาจมีอะไรเทียบเคียง
บุรุษที่หน้าตางดงามรูปร่างกำยำเช่นนี้กลับหลงใหลไปกับการชันสูตรศพ ความขัดแย้งนี้ผสานรวมอยู่ในตัวคนผู้หนึ่ง
มู่หรงฉือไม่ได้หวาดกลัวถึงเพียงนั้นแล้ว ทั้งสองคนจึงตามหาศพกันต่อ
“จือเหยียน ทางนี้มีกระสอบสองถุง” นางพูดด้วยความดีใจ “กระสอบนี่มีสัญลักษณ์ของราชวงศ์ ข้าว่านี่แหละ”
“ให้ข้าเปิดดูก่อน” เสิ่นจือเหยียนรีบกรีดกระสอบเปิดออกทันที เป็ศพของสองคนนั้นจริงๆ
ต่อมา เขาก็ลากศพทั้งสองมายังที่ราบ ให้ศพได้นอนราบ
นางคุกเข่าลงด้านข้าง จ้องมองใบหน้าของศพทั้งสอง “เปิ่นกงไม่รู้จักพวกนาง ไม่รู้ว่าเป็นางกำนัลหรือว่าเฟยผินที่ถูกลดระดับเป็สามัญชน”
เสิ่นจือเหยียนเริ่มชันสูตรศพ เริ่มจากการตรวจสอบส่วนศีรษะ “ผู้ตายคนนี้อายุประมาณสี่สิบปี จากสภาพศพดูแล้วน่าจะตายมาแล้วประมาณสี่วัน...บนร่างกายไม่มีาแ สาเหตุที่ทำให้ตายคือาแขนาดสามนิ้วตรงนี้ ใบหน้าและร่างกายของผู้ตายซีดขาวจนน่าใ เพราะว่าถูกรีดเืออกจนแห้ง”
“ศพนี้ก็เหมือนกัน?” มู่หรงฉือถามถึงอีกศพหนึ่ง
“าแการตายเหมือนกัน” เสิ่นจือเหยียนตรวจสอบศพ ก่อนจะพูดต่อ “าแระหว่างคอของผู้ตายทั้งสองทั้งเล็กและยาว เห็นได้ชัดว่าฆาตกรมีฝีมือระดับสูง ทำการคล่องแคล่ว แค่ทีเดียวก็ถึงตาย”
“เอ๋ นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ของมือข้างนี้บีบกันแน่น นี่แปลกอยู่นะ” นางเห็นมือที่กำอยู่ตรงข้างเท้าของตน แต่ก็ทำตามคำสั่งของเขาอย่างเคร่งครัดโดยไม่ได้แตะต้องศพ
“ข้าขอดูหน่อย” เขาหยิบมือข้างนั้นขึ้นมา แล้วเอาไปส่องกับแสงจันทร์
องศาที่มือม้วนเข้าหากันข้างนั้นแปลกมาก โดยเฉพาะนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ เหมือนกับกำลังบีบอะไรบางอย่าง
เขาพิจารณาอย่างละเอียด บีบอะไรสักอย่างเบาๆ แล้วก็เอาสิ่งนั้นวางลงที่มืออีกข้างหนึ่ง “เป็เส้นผมหนึ่งเส้น”
มู่หรงฉือเลิกคิ้วด้วยความดีใจ “ผู้ตายตายไปแล้วแต่ยังบีบเส้นผมเส้นหนึ่งเอาไว้ได้นานขนาดนี้ บางทีอาจจะเป็เส้นผมของคนร้ายก็ได้ ก่อนที่ผู้ตายจะตายก็เอาผมเส้นหนึ่งมาจากคนร้าย”
“ถึงแม้จะตรวจพบ แต่ผมเส้นเดียวดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไร”
เสิ่นจือเหยียนรู้สึกสิ้นหวัง นำเส้นผมวางลงในผ้าผืนหนึ่งก่อนจะห่อผ้าให้เรียบร้อย
ต่อมาเขาก็ตรวจสอบอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง นอกจากาแที่ทำให้ถึงชีวิตกับผมเส้นนั้น ก็ไม่พบสิ่งใดอีก
ลมพัดอ่อนๆ พัดมาเป็่ๆ เสียงกายังคงดังขึ้นอย่างน่าวังเวง
พวกเขาขี่ม้ากลับเข้าเมือง เสิ่นจือเหยียนส่งองค์รัชทายาทที่ประตูนอกตำหนักบูรพา มู่หรงฉือเห็นเขากลับไปแล้วถึงได้หันหัวม้าวิ่งไปอีกทางหนึ่ง
ครั้นกลับไปถึงตำหนักบูรพา หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เป็ยามโฉ่ว[1] แล้ว นางล้มตัวลงนอนอย่างเหนื่อยล้า เพียงครู่เดียวก็นอนหลับไป
วันต่อมา นางนอนจนเกือบเที่ยงถึงได้ตื่นขึ้นมา
เมื่อทานอาหารเสร็จ นางก็หยิบเส้นผมออกมา พบว่าผมเป็สีเงินเกือบทั้งเส้น
เช่นนั้น คนร้ายที่ฆ่าสตรีไร้นามสองคนนี้เป็คนมีอายุหรือไม่ก็มีเส้นผมขาว
“เตี้ยนเซี่ย ผมเส้นนั้นมาจากไหนหรือเพคะ?” หรูอี้เห็นเตี้ยนเซี่ยมองผมเส้นนั้นอยู่ตลอด ก็เกิดความสงสัยขึ้นมา
“แน่นอนว่าเป็สิ่งที่ได้มาอย่างยากลำบากจากเวลาสองชั่วยามกับใต้เท้าเสิ่น” ฉินรั่วคาดเดาอย่างมีไหวพริบ “เตี้ยนเซี่ย ผมเส้นนี้เป็สิ่งที่เจอบนตัวศพหรือเพคะ?”
“ฉินรั่ว ไปเรือนชุนอู๋กับเปิ่นกง” มู่หรงฉือเก็บผมเส้นนั้น แล้วสั่งหรูอี้ให้เก็บเอาไว้ให้ดี จากนั้นก็เดินออกไปด้านนอก
ฉินรั่วรีบตามไปพูดโน้มน้าว “เรือนชุนอู๋เป็สถานที่สกปรก เตี้ยนเซี่ยสูงส่ง อย่าไปเลยเพคะ ให้หนูฉายไปเถิดเพคะ”
มู่หรงฉือเลิกคิ้ว “สุสานป่าช้าก็ไปมาแล้ว ยังมีที่ไหนที่เปิ่นกงไปไม่ได้อีก?”
เสิ่นจือเหยียนเคยพูดเอาไว้ การสอบสวนคดีจะต้องทำด้วยตัวเอง ขอแค่เชื่อในดวงตาทั้งสองข้างของตนเอง เพราะแม้ว่าทุกคนจะได้เห็นสถานที่เกิดเหตุเช่นเดียวกัน ทว่าแต่ละคนย่อมมีความเห็นที่ต่างกัน ถึงขั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว
หากเ้าเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น นั่นอาจกลายเป็สิ่งสำคัญที่จะไขคดีฆาตกรรมได้
การเดินทางในวัง หากสถานที่ที่จะไปค่อนข้างไกล องค์รัชทายาทสามารถนั่งเกี้ยวไปได้ แต่ว่านางชอบเดินด้วยตัวเองมากกว่า ถูกคนแบกบ่อยๆ จะยิ่งี้เีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังสูญเสียความสนุกในการก้าวเดิน นางที่เป็องค์รัชทายาทกลับชอบที่จะทำอะไรด้วยตัวเอง
เรือนชุนอู๋เป็เรือนขนาดใหญ่ ด้านในมีห้องเรียบง่ายจำนวนไม่น้อย เมื่อเทียบกับตำหนักอื่นอันหรูหราที่ได้พึ่งพาเสพสุขไปกับบารมีของโอรสธิดา ความแตกต่างนี้ช่างราว์กับนรก
มู่หรงฉือยืนอยู่หน้าเรือนชุนอู๋ มองไปทางประตูหนาที่สีร่อนบานนั้น
ฉินรั่วพูดเสียงหม่น “ก้าวเข้าไปในประตูบานนี้แล้วก็เหมือนเข้าไปอีกโลกหนึ่ง ดั่ง์กับนรก แสงสว่างกับความมืด”
มู่หรงฉือสาวเท้ายาวๆ เข้าไป ลมฤดูร้อนพัดพากลิ่นอับเข้ามา กลิ่นเน่าเปื่อยแสบจมูกอย่างรุนแรงปกคลุมจนแทบจะหายใจไม่ออก
ฉินรั่วยกแขนเสื้อขึ้นมาสะบัด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถโบกให้กลิ่นเ่าั้สลายหายไปได้ ราวกับอากาศที่นี่สกปรกเช่นนี้
เนื่องจากทำสิ่งใดไม่ได้ นางจึงทำได้เพียงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาให้เตี้ยนเซี่ยเอามาปิดจมูก
“ไม่จำเป็”
มู่หรงฉือเดินเข้าไปด้านในอย่างช้าๆ ที่อยู่ตรงหน้าคือโถงขนาดใหญ่ที่เปิดกว้าง เพียงแต่ขาดการซ่อมแซมมานาน ไม่ว่าจะเป็ตรงไหนก็มีร่องรอยถูกลมฝนกัดกร่อนหรือผุพังไปตามอายุ มีหยากไย่อยู่เต็มไปหมด ทว่าโถงใหญ่แห่งนี้เป็สถานที่ที่คนที่อยู่ในนี้ยากจะหลีกเลี่ยง เพราะเป็ที่ที่พวกเขาจะต้องมารวมตัวกันทุกวัน
ตรงทางเดินมีคนนั่งอยู่เต็มไปหมด เหมือนกับกำลังตากลมอยู่
บรรดาสตรีทั้งแก่และเด็กสวมชุดเก่าสกปรกขาดวิ่น ผมเพ้ายุ่งเหยิง คราบเหงื่อไคลบนใบหน้าคาดว่าสามารถแคะออกมาได้หลายชั้น ปกปิดใบหน้าเดิมไปจนหมด บ้างใบหน้ากับมือทั้งสองข้างมีผื่นขึ้นเต็ม เห็นแล้วชวนให้อาเจียน บ้างก็ล้วงแคะแกะเกาไม่หยุด ศีรษะเต็มไปด้วยเหา บางคนตบแมลงสาบตายไปตัวหนึ่ง จากนั้นก็เอาเข้าปาก
ฉินรั่วรู้สึกปั่นป่วนในท้อง ขมวดคิ้วพูด “เตี้ยนเซี่ย ออกไปก่อนเถิดเพคะ”
ใบหน้าของมู่หรงฉือขาวซีด อวัยวะภายในปั่นป่วนไปหมด ความคลื่นเหียนพุ่งขึ้นมา ทว่านางยังควบคุมลงไปได้
ที่นี่คือนรก
คนที่นี่สามารถพูดได้ว่าไม่ใช่คนที่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว พวกเขาไม่มีความหวัง ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีอนาคต พวกเขามีแต่เหากับแมลงวันเป็เพื่อนในแต่ละวัน กินไม่อิ่มสวมเสื้อผ้าไม่อุ่น เหมือนศพเดินได้ พวกเขามีแต่ความมืดไม่มีแสงแดด มีแต่ความสะอิดสะเอียนอยู่รอบตัว มีเพียงความสิ้นหวัง พวกเขาถูกคนในใต้หล้าหลงลืมไป เทียบไม่ได้แม้แต่เศษธุลี คำว่าต่ำตมก็ยังนับว่าสูงส่งเมื่อเทียบกับพวกเขา
สายตาของพวกเขาว่างเปล่า ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยผื่นคัน เสื้อผ้าเก่าขาดของพวกเขาเหมือนผ้าห่อศพที่ห่อพวกเขาให้เข้าไปสู่หลุมดำมืด
เชิงอรรถ
[1] ยามโฉ่ว (丑时) คือเวลา 01.00 น. – 03.00 น.
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้