เมื่อมาถึงเรือน ไป๋เซี่ยเหอก็จัดแจงเื่มารดาก่อน แล้วให้เจี่ยงอิงเอ๋อร์คอยดูแล
จากนั้นนางก็พาฝูเอ๋อร์ออกไปเดินเล่น
นางคิดว่าจะหาซื้อข้าวของเพิ่มเติม
ถึงแม้ในเรือนจะมีเครื่องใช้ประจำวันครบครัน ทว่านิสัยชอบเดินเล่นของสตรีก็ไม่จางหาย
กว่าจะหลุดพ้นจากจวนแห่งนั้นและได้รับอิสรภาพ...
ย่อมต้องเฉลิมฉลองเสียหน่อย
หลังจากซื้อเสื้อผ้าหลายชุดจากร้านขายเสื้อผ้า ไป๋เซี่ยเหอก็ให้เซี่ยถิงขนกลับเรือนไปก่อน
จากนั้นนางก็พาฝูเอ๋อร์ที่ดูตื่นเต้นไปยังร้านถัดไป
มีเสื้อผ้าแล้ว เครื่องประดับย่อมไม่อาจขาดได้
ไม่ว่าจะยุคสมัยใด ล้วนต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์
ตอนนี้แม้ว่านางจะไม่ได้ทำเพื่อภาพลักษณ์ของตนเอง ทว่ายังต้องคิดถึงภาพลักษณ์ของจวนเซ่อเจิ้งอ๋องด้วย
ณ หอหลิวหลี
ไม่ว่าจะเป็อัญมณี ทอง หรือมรกตอันงดงามตระการตา ล้วนชวนให้ละลานตา
ไม่มีอันใดไม่วิจิตร ไม่มีอันใดไม่งดงาม
นี่คือสถานที่ที่ทำให้สตรีถลำลึกอย่างบ้าคลั่ง
เพราะเหตุใดน่ะหรือ?
เพียงดูท่าทีของฝูเอ๋อร์ก็รู้แล้ว
เมื่อเข้ามาในร้าน ฝูเอ๋อร์ก็เอามือจับหน้าของตนเอง ปากของนางอ้ากว้าง และใบหน้ารูปไข่ก็แข็งค้างเพราะความประหลาดใจ
“อันนี้ดูดีเกินไปแล้ว คุณหนูดูสิเ้าคะ...”
“อันนั้นก็ดูดีเหมือนกัน...”
“คุณหนู ดูดีไปหมดเลย จะทำอย่างไรดีเ้าคะ?”
เสียงของฝูเอ๋อร์ไม่ดังไม่เบา ทว่าดึงดูดสายตาดูแคลนมาไม่น้อย
ไม่ทราบว่าเป็คนบ้านนอกจากที่ใดกัน?
ต้องพูดเกินจริงปานนั้นด้วยหรือ?
ทว่าระหว่างที่คนเ่าั้ค่อนขอดในใจ ในมือก็ยังถือเครื่องประดับเอาไว้ ไม่ตัดสินใจสักทีว่าจะทำอย่างไร
ดูดีเหลือเกิน ต้องยอมกระอักเืเพื่อซื้อสักชุดหรือไม่?
“เป็คนบ้านนอกจริงด้วย ถึงแม้จะสวมผ้าดิ้นอวิ๋นหรง ก็กลบกลิ่นสาบคนจนบนตัวไม่ได้หรอก”
น้ำเสียงเสียดแทงดังขึ้นด้านหลัง
ไป๋เซี่ยเหอมุ่นคิ้ว มองไปยังต้นเสียงที่ไม่คุ้นเคย
เด็กสาวที่พูดสวมชุดกระโปรงยาวสีชมพูอ่อน รูปโฉมงดงาม สีหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลน ทั้งยังยื่นมือโบกไปโบกมาอยู่ที่จมูก
ราวกับ้าขับไล่กลิ่นไม่พึงประสงค์ออกไป
“ผ้าดิ้นอวิ๋นหรง? บนตัวของสตรีนางนี้คือผ้าดิ้นอวิ๋นหรงหรือ? ์ เสียของโดยแท้”
“เมื่อพูดถึงผ้าดิ้นอวิ๋นหรง สตรีนางนี้คือว่าที่พระชายาเซ่อเจิ้งอ๋องกระมัง”
ฝูงชนเงียบเสียงลงชั่วครู่ ก่อนจะมีเสียงพึมพำดังขึ้นอีกครา
“เกิดเื่ยุ่งยากเสียแล้ว กู้ิเยวี่ยกับพระชายาเซ่อเจิ้งอ๋อง มีละครให้ชมแน่”
ฝูงชนค่อยๆ ล้อมเป็วงกลม โดยยืนล้อมเหล่าตัวเอกไว้ข้างใน
ไป๋เซี่ยเหอไม่รู้จักกู้ิเยวี่ย ทว่าฝูเอ๋อร์เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
ตอนแรกกู้ิเยวี่ยกับฉินจิ่นยวนแย่งชิงท่านอ๋องจนหัวร้างข้างแตกกันไปข้าง
ทว่าสุดท้ายแล้วเพราะตระกูลฉินมีเื้ัที่ยิ่งใหญ่ จึงสามารถกดศีรษะของอีกฝ่ายไว้ได้
ทำให้กู้ิเยวี่ยต้องตัดใจ
นางรอจนกระทั่งฉินจิ่นยวนตาย
ผู้ใดจะรู้ว่าไป๋เซี่ยเหอดันปรากฏตัวขึ้น สิ่งสำคัญคืออีกฝ่ายยังมาพร้อมกับสมญานามเศษสวะไร้ความสามารถอีกด้วย!
ขณะที่ไป๋เซี่ยเหอจ้องมองกู้ิเยวี่ย กู้ิเยวี่ยก็จ้องมองไป๋เซี่ยเหอเช่นกัน
กู้ิเยวี่ยมองไป๋เซี่ยเหอด้วยสีหน้าดูแคลน ดูใบหน้าอัปมงคลนี่สิ ช่างเป็การสิ้นเปลืองผ้าดิ้นอวิ๋นหรงที่หรูหราจริงๆ อาภรณ์ล้ำค่าเช่นนี้ต้องให้นางสวมใส่เพียงผู้เดียว จึงจะแสดงความงดงามของมันออกมาได้อย่างแท้จริง
“นางคือไป๋เซี่ยเหอ ว่าที่พระชายาเซ่อเจิ้งอ๋องหรือ?”
บุรุษที่ยืนอยู่ข้างกายกู้ิเยวี่ยถามขึ้น เขามองไป๋เซี่ยเหอด้วยสีหน้าดูแคลนแบบเดียวกัน ความหยิ่งผยองแผ่ออกมาจากกระดูก
“เซ่อเจิ้งอ๋องต้องตาบอดเป็แน่ถึงชมชอบสตรีเช่นนี้ได้ ถึงอย่างไรจิ่นยวนก็แข็งแกร่งกว่าสตรีนางนี้เป็ร้อยเป็พันเท่า”
ไม่รอให้ไป๋เซี่ยเหอสงสัย เสียงกระซิบของฝูงชนโดยรอบก็ช่วยคลายความสงสัยให้นางทันที
บุรุษผู้นี้มีนามว่ากู้ตั๋ว เป็พี่ชายแท้ๆ ของกู้ิเยวี่ย ขณะเดียวกันก็เป็ผู้พิทักษ์บุปผาของฉินจิ่นยวนเช่นกัน
ข่าวการเสียชีวิตของฉินจิ่นยวนได้โจมตีเขาอย่างใหญ่หลวง ทำให้เขาเซื่องซึมไปหนึ่งเดือน ทว่าคู่ต่อสู้ดันเป็ฮั่วเยี่ยนไหวเสียนี่!
เมื่อเปรียบเทียบกับการแก้แค้นให้สาวงามแล้ว ชีวิตน้อยๆ ของตนเองนับว่ามีความสำคัญกว่า ดังนั้นเขาจึงต้องกล้ำกลืนฝืนทน
“ท่านหุบปากเสีย!”
กู้ิเยวี่ยโมโหจนตวาดใส่บุรุษข้างกาย หากไม่ใช่มารดากังวลว่านางจะพบเจออันตรายจนต้องให้พี่ชายตามมาด้วย นางก็ไม่อยากพาคนโง่ผู้นี้ออกจากจวนหรอก
นึกไม่ถึงว่าเขาจะเป็ผู้พิทักษ์บุปผาให้กับศัตรูหัวใจของนางผู้เป็น้องสาวแท้ๆ ของเขา ช่างน่ารังเกียจเสียจริง
ตระกูลกู้แตกต่างจากตระกูลอื่นที่ให้ความสำคัญกับบุรุษและดูแคลนสตรี เนื่องจากตระกูลกู้ล้วนเต็มไปด้วยบุรุษ มีเพียงกู้ิเยวี่ยที่เป็เด็กสาวเพียงคนเดียว ดังนั้นทุกคนในตระกูลจึงประคบประหงมนางไว้ในฝ่ามือด้วยความรักและเอ็นดู
เมื่อบุรุษอย่างกู้ตั๋วที่สูงเจ็ดฉื่อถูกน้องสาวตวาดท่ามกลางสายตาของฝูงชน นอกจากเขาจะพึมพำเสียงเบาประโยคหนึ่งแล้วก็ไม่ได้พูดสิ่งใดอีก
“คนจนอย่างเ้าไม่คู่ควรที่จะมายังมาสถานที่เช่นนี้ด้วยซ้ำ เ้ารู้หรือไม่?”
กู้ิเยวี่ยสาวเท้าเข้ามา ด้านหลังนางนอกจากกู้ตั๋วแล้ว ยังมีองครักษ์อีกแปดคนติดตามมาอย่างเอิกเกริก พวกเขาโอบล้อมนางไว้ตรงกลางราวกับดาวล้อมเดือน
กู้ิเยวี่ยดูราวกับนกยูงที่เย่อหยิ่งตัวหนึ่ง นางเดินนวยนาดมายังที่จัดวางเครื่องประดับ ราวกับกำลังเดินเล่นในสวนดอกไม้หลังบ้านของตนก็ไม่ปาน
ปลายนิ้วอันเรียวบางและขาวผ่องชี้มั่วๆ ไปยังเครื่องประดับสามสี่ชิ้น “อันนี้ อันนี้ แล้วก็อันนี้ ห่อให้ข้าทั้งหมด!”
เมื่อสบกับสายตายั่วยุของกู้ิเยวี่ย ไป๋เซี่ยเหอก็มีท่าทีเรียบเฉย แววตาเต็มไปด้วยความดูแคลน
จะแข่งกับนางหรือ?
ทั้งยังคิดจะแย่งฮั่วเยี่ยนไหวกับนางอีก เกรงว่านี่จะไม่ใช่เื่เพ้อฝันของคนปัญญาอ่อนเสียแล้ว
“เรียกเถ้าแก่ของพวกเ้าออกมา”
น้ำเสียงของไป๋เซี่ยเหอฟังดูเลื่อนลอย ทว่าแฝงด้วยความน่าเกรงขามที่ไม่อาจเพิกเฉย นั่นคือรัศมีที่แผ่ออกมาจากกระดูก ชวนให้นับถืออย่างอดไม่ได้
เพียงครึ่งเค่อ[1] บุรุษผู้มีพุงพลุ้ยผู้หนึ่งก็วิ่งเหยาะๆ อย่างกระหืดกระหอบออกมาจากห้องด้านหลัง
แม้ว่าในร้านจะมีลูกค้าที่แย่งชิงเครื่องประดับกันอยู่บ่อยครั้ง ถึงอย่างไรปัญหาเ่าั้ล้วนคลี่คลายได้อย่างง่ายดาย
ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกัน
ได้ยินว่ามีพระชายาเซ่อเจิ้งอ๋องด้วย!
เซ่อเจิ้งอ๋องคือผู้ใดน่ะหรือ? เขาคือบุคคลที่เมื่อคนธรรมดาได้ยินชื่อ ก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น
“คารวะแม่นางทั้งสอง ข้าน้อยคือเถ้าแก่ของหอหลิวหลี ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านเรียกหาข้าน้อยด้วยเหตุอันใดหรือขอรับ?”
ขณะที่เถ้าแก่พูดก็ควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
“ข้าไม่ได้เรียกหาเ้า เหตุใดข้าถึงต้องเรียกด้วย?” กู้ิเยวี่ยเชิดศีรษะขึ้นสูง ราวกับจะใช้รูจมูกในการมองผู้คน
“ไม่แน่ว่าว่าที่พระชายาเซ่อเจิ้งอ๋องอาจอายที่ตนเองยากจน จึงอยากเรียกเถ้าแก่อย่างเ้าออกมาลดราคาให้นางกระมัง”
หลังพูดจบ เสียงหัวเราะก็ดังครืน
เถ้าแก่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน เขากล่าวขอโทษกู้ิเยวี่ย จากนั้นก็หันไปมองไป๋เซี่ยเหอ ทว่าเพียงแวบเดียวก็ก้มหน้าลงทันที
“ไม่ทราบว่าแม่นางไป๋มีเื่อันใดหรือขอรับ?”
หาก้าให้เขาลดราคาก็ไม่ใช่เื่ใหญ่ อย่างมากเขาก็มอบเครื่องประดับสองสามชุดให้พระชายา ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรไม่ใช่หรือ?
ไม่แน่ว่าวันหน้าพระชายาอาจเอ่ยคำพูดดีๆ ต่อหน้าเซ่อเจิ้งอ๋องแทนเขาสักสองสามประโยคก็ได้
ไป๋เซี่ยเหอชำเลืองมองกู้ิเยวี่ย จากนั้นน้ำเสียงอันเกียจคร้านก็ดังก้องไปทั่วห้องโถงใหญ่ของหอหลิวหลี
“ร้านนี้ของเ้าราคาเท่าไร? ข้า้าซื้อ!”
“!!!”
คำกล่าวนี้สร้างความสั่นะเืไปทั่ว
ฝูงชนเงียบเป็เป่าสาก
ผู้ที่ได้สติคนแรกคือกู้ิเยวี่ย
หลังจากกู้ิเยวี่ยหายตกตะลึง นางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะจนตัวสั่น นางกุมท้องหัวเราะจนน้ำตาเล็ด
“ข้าก็นึกว่าคนอย่างเ้าจะสักเท่าไรกันเชียว เ้าคิดว่าเ้าอยู่ที่จวนตระกูลไป๋หรืออย่างไร? จะซื้อร้านนี้หรือ? เ้ามีความสามารถมากขนาดนั้นเชียว?”
หอหลิวหลีเป็ร้านเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง บรรดาบุคคลสำคัญล้วนเป็ลูกค้าของร้านนี้ แม้แต่สตรีที่มีอำนาจสูงส่งในวังหลวงก็ล้วนชื่นชอบเครื่องประดับของหอหลิวหลีกันทั้งสิ้น
หลังจากเถ้าแก่เช็ดเหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองที่ผุดขึ้นมาตรงหน้าผาก สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความงุนงงและกระอักกระอ่วน
“แม่นางไป๋ แม้ว่าท่านจะเป็ว่าที่พระชายาเซ่อเจิ้งอ๋อง แต่การกล่าววาจาหยอกล้อชาวบ้านอย่างพวกเราคงไม่ดีนักกระมังขอรับ”
แม้ว่าสตรีส่วนใหญ่จะได้รับเงินค่าขนมจากตระกูลของตนเอง ทว่าพวกนางก็ได้รับประมาณยี่สิบสามสิบตำลึง มีบางคนที่ได้รับมากถึงห้าสิบหกสิบตำลึง
เนื่องจากกู้ิเยวี่ยเป็สตรีเพียงคนเดียวในตระกูล ดังนั้นบรรดาญาติๆ จึงชอบให้เงินค่าขนมเล็กๆ น้อยๆ กับนาง ดังนั้นเงินที่นางได้รับจึงเยอะกว่าบรรดาบุตรีของตระกูลขุนนางอยู่มากโข
“เ้าคิดว่าพระชายาของเปิ่นหวังจ่ายไม่ไหวหรือ?”
------------------------
[1] เค่อ หมายถึง 15 นาที