มู่หรงฉือนั่งอยู่ที่เก้าอี้แกะสลักด้านซ้าย ใบหน้าเ็า
เสิ่นจือเหยียนนั่งลงหลังโต๊ะผู้พิพากษา เขาสวมชุดขุนนางใบหน้าเ็า คิ้วขมวดน้อยๆ เผยความน่าเกรงขามที่ต่างจากยามปกติ
ทันใดนั้นเขาก็ตบโต๊ะไม้หนึ่งที ตวาดถามเสียงเข้ม “ผู้ต้องสงสัยหม่าตงคือผู้ใด?”
ร่างกายของหม่าตงสั่นเทาอย่างรุนแรง ก้มหน้าลอบมองใบหน้าของใต้เท้า “รายงานใต้เท้า ข้าน้อยคือหม่าตงขอรับ”
“เมื่อคืนเ้าดื่มสุราหนัก ครั้นเห็นผู้ตายเซี่ยเสี่ยวลู่นายบ่าวที่วัดเล็ก เ้าเห็นผู้ตายหน้าตางดงามจึงเกิดความคิดสกปรกขึ้น ดังนั้นจึงสังหารชุนเถาผู้เป็บ่าวก่อน จากนั้นจึงข่มขืนเซี่ยเสี่ยวลู่แล้วสังหารทิ้งใช่หรือไม่? เ้ายอมรับผิดหรือไม่?” เสิ่นจือเหยียนถามอย่างโกรธเกรี้ยว
“ใต้เท้า นี่เป็การใส่ความ ข้าน้อยไม่ได้ฆ่าผู้ใด ข้าน้อยไม่เคยแตะต้องแม่นางผู้นั้น...” หม่าตงปฏิเสธอย่างร้อนใจจนแทบจะร้องไห้ “ข้าน้อยไม่เคยเห็นสตรีผู้นั้นมาก่อน จะไปฆ่าข่มขืนนางได้อย่างไร...ใต้เท้าโปรดตรวจสอบให้ชัดเจน...”
“ในมือของชุนเถาผู้ตายได้กำเศษผ้าชิ้นหนึ่งเอาไว้ นั่นก็คือเศษผ้าจากชุดของเ้า ที่เล็บนิ้วขวาของเซี่ยเสี่ยวลู่ผู้ตายมีรอยเื ส่วนแขนซ้ายของเ้าก็มีแผลถูกข่วนพอดี วันนี้ตอนเช้ามีคนเห็นกับตาว่าเ้านอนอยู่ข้างกายเซี่ยเสี่ยวลู่ มีหลักฐานยืนยันมัดตัวแ่า เ้ายังกล้าปฏิเสธ?” ดวงตาทั้งสองของเสิ่นจือเหยียนหรี่ลง น้ำเสียงน่าเกรงขามราวูเาที่กดทับลงมาจนหายใจไม่ออก
“ข้าน้อยถูกใส่ร้าย ข้าน้อยไม่ได้ฆ่าแม่นางสองจริงๆ... ข้าน้อยเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดแขนซ้ายถึงมีแผล เมื่อคืนเกิดเื่อะไรขึ้น ข้าน้อยนึกไม่ออกจริงๆ...” หม่าตงถูกทำให้ใจนร้องไห้ น้ำตาไหลนอง
“มีหลักฐานมัดตัวชัดเจนเช่นนี้ เ้ายังคิดจะเล่นลิ้นกลับกลอก!” น้ำเสียงของเสิ่นจือเหยียนโกรธจัด “เ้าดื่มสุราหนักจนสังหารคนจึงจำสิ่งใดไม่ได้อย่างไรเล่า”
หม่าตงเหม่อลอย น้ำตาไหลลงมาเป็ทาง จบสิ้นแล้ว เขาคงถูกปะาเพื่อชดใช้ความผิด? เขาจะถูกตัดหัวหรือไม่?
เสิ่นจือเหยียนถามอีกครั้ง “เ้ายังมีสิ่งใดจะพูดอีกหรือไม่?”
เขาร้องไห้โฮ “ใต้เท้า ข้าน้อยไม่ได้ทำจริงๆ ข้าน้อยถูกใส่ร้าย...ถึงแม้ข้าน้อยจะดื่มสุราจนเมามาย อะไรก็จำไม่ได้ แต่ข้าน้อยไม่มีทางฆ่าแม่นางผู้นั้น...”
เสิ่นจือเหยียนโกรธจัดจนทนไม่ไหว มองไปทางเตี้ยนเซี่ยที่นั่งอยู่ทางด้านซ้าย
มู่หรงฉือคิดถึงปัญหาหนึ่งอยู่ตลอดเวลา เชือกถักสีแดงลายสมปรารถนาตรงมุมหนึ่งของวัด เป็เซี่ยเสี่ยวลู่นายบ่าวทิ้งเอาไว้หรือ?
หากเชือกถักสีแดงนี้ไม่ใช่ของเซี่ยเสี่ยวลู่นายบ่าวเล่า? เช่นนั้นก็อาจจะเป็ของบุคคลที่สี่ที่เคยอยู่ในสถานที่เกิดเหตุ
เชือกถักสีแดงนี้ยังดูใหม่ ไม่มีฝุ่น คงเพิ่งจะหล่นที่วัดได้วันสองวัน เช่นนั้นก็อาจจะร่วงเมื่อวาน แต่ก็ยังมีความเป็ไปได้ที่จะเป็แม่นางอายุน้อยสักคนทำตกไว้ตอนไหว้พระ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับคดีนี้
นางไม่รู้ว่าเชือกถักสีแดงจะเกี่ยวข้องกับคดีนี้หรือไม่
เสิ่นจือเหยียนเห็นคิ้วของนางผูกเข้าหากันเหมือนกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง จึงกระแอมไอออกมาสองที
มู่หรงฉือได้สติกลับมาก่อนพูดเสียงเบา “ชีวิตคนเรา์กำหนด อีกสองวันมีเบาะแสใหม่ค่อยสืบสวนอีกครั้งก็ยังไม่สาย”
เขาเห็นด้วยกับความคิดของนาง แล้วสั่งให้ทุกคนแยกย้ายไป
หลังจากกลับมาที่เรือนหลัง นางก็หยิบเชือกถักสีแดงขึ้นมาแล้วพูดความคิดของตัวเองออกมา เสิ่นจือเหยียนเห็นด้วยกับข้อสรุปของนางกล่าวว่า “เชือกแดงเส้นนี้คงจะเป็ของสตรี จะเกี่ยวข้องกับคดีนี้หรือไม่นั้นยังยากที่จะตัดสิน”
...
มู่หรงเฉิงอาการดีขึ้นเรื่อยๆ เซียวกุ้ยเฟยรู้สึกว่าในวังควรจะมีความครึกครื้นสักหน่อย ประจวบเหมาะกับใกล้จะถึงวันเกิดของนางพอดีจึงเสนอให้จัดงานเลี้ยงวันเกิด
แน่นอนว่าเขาย่อมอนุญาต หมกตัวอยู่แต่ในตำหนักชิงหยวนมาตลอดจนราแทบจะขึ้นอยู่แล้ว เขาอยากพบปะผู้คน ได้สนุกสนานรื่นเริงสักหน่อย
นางจึงเป็โต้โผใหญ่ในการจัดงานเลี้ยงวันเกิดของตน วางแผนมาได้หลายวันแล้ว จึงตัดสินใจจัดงานที่ตบแต่งอย่างงดงามด้วยบุปผานานาพรรณ ทั้งยังต้องทรงเกียรติสง่างามหรูหรา
นอกโถงหน้าตำหนักชิงหลวนกว้างขวางเหมาะจะจัดงานเลี้ยง ถึงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน อากาศคลายร้อน ลมพัดเย็นสบายเป็่เวลากำลังดี นางจึงสั่งให้นางกำนัลไปจัดดอกไม้นานาพรรณจนเต็มด้านหน้าตำหนัก
วันนี้ บรรดาบุตรหลานของพระญาติกับตระกูลขุนนางขั้นสี่ขึ้นไปจะเข้าร่วมงานวันเกิดของนางประมาณตอนเที่ยง นางกำนัลนำพวกเขาไปพักผ่อนทานบะหมี่อายุยืน ทานแตงโม จากนั้นพวกเขาสามารถเดินเล่นอยู่ในบริเวณใกล้เคียงตำหนักชิงหลวนได้อย่างอิสระ มีภรรยาขุนนางบางคนอยากจะพึ่งพาบารมี จึงไปขอเข้าเฝ้าเซียวกุ้ยเฟย เหล่าคุณหนูแต่งตัวงดงามราวบุปผาพากันออกมาเดินเล่นท่ามกลางแสงอาทิตย์อันร้อนระอุ หวังว่าจะได้เจอรักแรกพบกับบุตรชายของพระญาติหรือชนชั้นสูง
ในศาลาทางทิศตะวันออกของตำนักชิงหลวน มีบุตรสาวของชนชั้นสูงหลายคนรวมตัวกันพูดคุย
“พวกเ้าได้ยินหรือไม่ว่างานแต่งงานขององค์หญิงจาวฮวากับคุณชายกงจะถูกยกเลิก?”
“หา? เหตุใดถึงยกเลิกเล่า?”
“หากไม่ใช่เพราะสกุลกงไปมีเื่กับราชวงศ์ก็อาจจะไปทำผิดอะไรมา?”
“รายละเอียดของเื่ข้าเองก็ไม่รู้ แต่ข้าได้ยินท่านพ่อของข้าพูดว่า คุณชายกงได้รับาเ็ เจ็บที่...ตรงนั้น”
“ตรงไหนหรือ?”
“ก็ตรงนั้นน่ะ ต่อไปไม่อาจมีทายาทได้แล้ว”
“์! เช่นนั้นชีวิตนี้ของคุณชายกงก็จบสิ้นแล้วน่ะสิ?”
“หรือเพราะเื่นี้ การแต่งงานขององค์หญิงจาวฮวากับคุณชายกงถึงได้ถูกยกเลิก?”
“ข้ายังได้ยินมาว่า เป็เพราะองค์หญิงจาวฮวาทำร้ายคุณชายกง”
“หา?” ทุกคนต่างร้องออกมาด้วยความใ แล้วพากันถามต่อ “องค์หญิงจาวฮวาเหตุใดถึงได้ทำร้ายคุณชายกงอย่างไม่มีเหตุผลด้วย?”
“พวกเ้าลองคิดดูก็รู้แล้ว” คุณหนูคนนั้นพูดออกมาด้วยท่าทางอวดรู้
ต่อมาเหล่าคุณหนูพวกนั้นก็ยื่นหูเข้าไปซุบซิบพูดคุยกันไม่ขาดปาก
มีเพียงคนๆ หนึ่งไม่ได้พูดคุยกับคนอื่นๆ คุณหนูผู้นั้นนั่งอยู่ที่มุมหนึ่ง ประหนึ่งดอกเก๊กฮวยที่บ้านอยู่ริมลำธาร งดงามนิ่งสงบ ทั้งยังเหมือนก้อนเมฆที่ลอยอยู่บนฟากฟ้า สง่างามราวนางในกวี
ตอนนี้เอง มีสตรีอายุน้อยคนหนึ่งเดินเข้ามาในศาลา ใบหน้างดงามคลี่ยิ้มน่ารัก “พวกเ้ากำลังคุยอะไรกันอยู่หรือ?”
บรรดาคุณหนูที่กำลังพูดคุยกันพลันแตกตื่น รีบสบตากันอย่างประหม่า : องค์หญิงตวนโหรวไม่ได้ยินที่พวกนางซุบซิบกันใช่หรือไม่
คนที่มาก็คือมู่หรงสือ นางสวมเสื้อแขนยาวกระโปรงยาวสีแดงลูกท้อ ปักด้วยด้ายสีเงินเป็รูปดอกท้อ งามราวกับดอกท้อที่อยู่บนกิ่งใน่ฤดูใบไม้ผลิ
บรรดาคุณหนูทุกคนลุกขึ้นยืนทำความเคารพ “ถวายบังคมองค์หญิงเพคะ”
มู่หรงสือให้พวกนางลุกขึ้น ดวงตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มกวาดมองไปที่มุมหนึ่ง จากนั้นก็วิ่งะโเข้าไปหา “เ้าก็คือเสิ่นจือลี่น้องสาวฝาแฝดของใต้เท้าเสิ่นสินะ”
คุณหนูที่งดงามเรียบร้อยคนนั้นก็คือเสิ่นจือลี่
คุณหนูทุกคนพลันมองไปทางนาง ที่แท้นางก็คือคุณหนูของราชครูสกุลเสิ่น ก่อนหน้านี้พวกนางยังคิดว่าเป็คุณหนูจากขุนนางระดับสี่ตระกูลใดกัน
ดูจากรูปลักษณ์แล้ว แม้ใบหน้าไม่ได้งดงามมาก แต่มองแล้วให้ความรู้สึกสบายตา ดวงตาสุกใส ริมฝีปากแดงระเรื่อ ทั้งร่างเต็มไปด้วยความสง่างาม
“หม่อมฉันเสิ่นจือลี่ ถวายบังคมองค์หญิงเพคะ” นางย่อตัวทำความเคารพ น้ำเสียงราวแสงทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิที่ละลายหิมะกองโตจนไหลเป็ธารใสแจ๋วลงมาจากูเา
“เ้าเพิ่งเข้าวังครั้งแรกสินะ ข้าจะพาเ้าไปเดินดูรอบๆ” มู่หรงสือควงแขนของนางแล้วพานางออกจากศาลาไปอย่างเป็มิตร
เสิ่นจือลี่ไม่ค่อยคุ้นชินกับการที่ผู้อื่นทำตัวเป็มิตรด้วยเช่นนี้ โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้า
แต่เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายเป็ถึงหลานสาวของอวี้หวางก็ได้แต่ปล่อยให้นางลากไป
เหล่าคุณหนูเห็นพวกนางเดินออกไปไกลแล้ว ก็สบตากันอย่างสงสัย เหตุใดองค์หญิงตวนโหรวถึงได้ดีกับเสิ่นจือลี่ที่เพิ่งจะกลับเมืองหลวงถึงเพียงนี้?
มู่หรงสือคิดเผื่อตนเองอยู่จริงๆ เพราะเสิ่นจือลี่เป็ฝาแฝดกับเสิ่นจือเหยียน ส่วนเสิ่นจือเหยียนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับองค์รัชทายาท ขอแค่นางดีกับเสิ่นจือลี่ ต่อไปนางก็จะมีโอกาสได้เข้าใกล้เตี้ยนเซี่ยมากขึ้น
“พี่เสิ่น ได้ยินมาว่าสองปีนี้ท่านไปพักรักษาตัวที่บ้านเกิดมาหรือ ตอนนี้หายดีหรือยัง?” มู่หรงสือถามเสียงน่ารัก
“ขอบคุณที่องค์หญิงเป็ห่วงเพคะ หม่อมฉันรักษาตัวมาสองปี ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว” เสิ่นจือลี่ยิ้มบาง ในใจกลับมีความสงสัยเล็กน้อย ตนกับองค์หญิงไม่ได้รู้จักกัน เหตุใดนางถึงทำตัวเป็มิตรกับตนขนาดนี้?
“เช่นนั้นก็ดียิ่ง ต่อไปข้าจะไปเล่นกับท่านที่จวนราชครูได้หรือไม่?” มู่หรงสือยิ้มดีใจ
“แน่นอนว่าย่อมได้เพคะ ยินดีต้อนรับองค์หญิงทุกเมื่อ”
“หากท่านมีเวลาว่าง ก็มาหาข้าที่จวนอวี้หวางได้”
“ได้สิเพคะ” เสิ่นจือลี่ลอบยินดี แต่ใบหน้าไม่ได้เปิดเผยสีหน้าใด
“่นี้องค์หญิงจาวฮวาไม่ร่าเริงนัก พวกเราไปหาองค์หญิงจาวฮวากันเถิด”
“ได้เพคะ องค์หญิงจาวฮวาจะมาร่วมงานวันเกิดของเซียวกุ้ยเฟยหรือไม่เพคะ?”
“อาจจะไม่ ข้าได้ยินมาว่า จิตใจขององค์หญิงจาวฮวายังไม่ฟื้นฟูกลับมาเป็ปกติ”
“เช่นนั้นอาสามของท่าน...อวี้หวางจะมาหรือไม่?” เสิ่นจือลี่เอ่ยปากถามด้วยความสงสัย แก้มเนียนนุ่มร้อนผ่าวขึ้นมาน้อยๆ
“อาสามยุ่งมาก ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาจะมาหรือไม่” มู่หรงสือไม่ได้ฉุกคิดว่าเหตุใดคำถามนี้ถูกถามขึ้นอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ
“อวี้หวางมาสะสางงานในวังทุกวันหรือไม่?” เสิ่นจือลี่ถามอีก
“แน่นอน ท่านอาสามปกติแล้วก็จะอยู่ในวังตอนกลางวัน” มู่หรงสือยิ้มตอบ
ตอนที่เสิ่นจือลี่ถามประโยคนี้ นางกำนัลคนหนึ่งเดินผ่านพวกนางไปจงใจชะลอฝีเท้าให้ช้าลงเป็อย่างมาก
ในที่สุดนางกำนัลหญิงคนนั้นก็หยุดฝีเท้าแล้วหันกลับมามองพวกนาง ดวงตาเย็นวาบขึ้นเล็กน้อย
จากนั้นนางก็สาวเท้าจากไปอย่างรวดเร็ว
มู่หรงสือกับเสิ่นจือลี่มุ่งหน้าไปที่ตำหนักจิ่งหง ตลอดทางจากตะวันออกไปยังตะวันตก เสิ่นจือลี่ได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์มาบ้าง
เมื่อมาถึงตำหนักจิ่งหง นางกำนัลก็เข้าไปรายงาน ก่อนจะกลับมาแจ้งว่าองค์หญิงกำลังพักผ่อนไม่้าพบผู้ใด
พวกนางจึงทำได้เพียงกลับไปยังทางเดิม ระหว่างทางต่างเดินกันอย่างเอ้อระเหยไร้วาจาใด
จู่ๆ มู่หรงสือก็ยิ้มกว้าง พูดออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ “พี่เสิ่น ตอนนี้เวลายังไม่เย็นนัก พวกเราไปหาองค์รัชทายาทที่ตำหนักบูรพากันดีหรือไม่ ใต้เท้าเสิ่นพี่ชายของท่านเป็สหายร่วมเรียนหนังสือกับองค์รัชทายาท ท่านที่เป็น้องสาวกลับเมืองหลวงมาแล้วย่อมจะต้องไปเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทใช่หรือไม่?”
เสิ่นจือลี่มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะพูดอย่างสงสัยเล็กน้อย “องค์รัชทายาทไม่ได้เรียกให้เข้าเฝ้า พวกเราโผล่ไปเช่นนี้ไม่ค่อยดีกระมัง”
“ไม่หรอก องค์รัชทายาทไม่มีทางตำหนิพวกเรา ไปเถิดๆ ท่านก็ถือว่าไปเป็เพื่อนข้าก็พอ”
“ได้สิ”
เสิ่นจือลี่ฝืนรับปากเพื่อที่ต่อไปจะได้ใกล้ชิดกับอวี้หวางมากขึ้น นางจะต้องสนิทสนมกับองค์หญิงตวนโหรวเอาไว้
เพียงแต่ในตอนที่พวกนางเดินผ่านตำหนักชิงหลวน ก็มีนางกำนัลคนหนึ่งสาวเท้าไวๆ ออกมา “ทั้งสองท่านคือองค์หญิงตวนโหรวและคุณหนูเสิ่นใช่หรือไม่เ้าคะ?”
มู่หรงสือถามด้วยความแปลกใจ “ข้าเอง มีอะไรหรือ?”
“กุ้ยเฟยเรียกคุณหนูเสิ่นเข้าเฝ้า เชิญคุณหนูเสิ่นตามหนูฉายมาเถิดเ้าค่ะ” นางกำนัลกล่าว
“ได้” เสิ่นจือลี่เอ่ยขอโทษอย่างรู้สึกผิด “องค์หญิง หม่อมฉันไม่อาจไปกับท่านได้แล้วเพคะ”
มู่หรงสือเม้มปาก ขมวดคิ้วอย่างทำอะไรไม่ได้
เสิ่นจือลี่ตามนางกำนัลเข้าไปในตำหนักใหญ่ นางสาวเท้าเบาๆ ก้มหน้าลงมองรองเท้าสีโอรสของตนที่ปักลายดอกไม้ประดับไข่มุก รวมถึงปลายชุดสีแดงปักลายเมฆ เมื่อถึงแล้วนางจึงยิ้มพูดเสียงอ่อนหวาน “หม่อมฉันเสิ่นจือลี่เข้าเฝ้ากุ้ยเฟย”
กุ้ยเฟยนั่งเอนตัวอยู่ท่าทางเรื่อยเฉื่อย พูดด้วยเสียงเนิบช้า “เงยหน้าขึ้น”
เสิ่นจือลี่คาดเดาเจตนาของเซียวกุ้ยเฟยไม่ออก จึงเงยหน้าตามคำสั่งของนาง
ครั้นสบตากับสตรีผู้สูงส่งในวังหลัง นางก็ไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัว แม้ในใจจะรู้สึกไม่สงบเล็กน้อย
เซียวกุ้ยเฟยมองนางอย่างไม่ยี่หระ ขนตาเป็แพหนายาวขยับไหว “เป็อย่างที่คิด เป็คนงามผู้หนึ่งจริงๆ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้