การแนะนำตัวของเซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีคำศัพท์ที่ยากเป็พิเศษ อีกทั้งไม่เลิศหรูอลังการด้วย
เทียบกับรูปลักษณ์ภายนอกของเธอแล้ว บทแนะนำตัวของเธอเรียบง่ายจนเกินไปเสียด้วยซ้ำ
แต่ทำไมถึงมีเสน่ห์เช่นนี้กันเล่า?
แม้แต่แคทเธอรีนก็ยังอดมองเซี่ยเสี่ยวหลานซ้ำๆ ไม่ได้ ประโยคสั้นๆ เพียงไม่กี่ประโยค ไม่ใช่การตัดพ้อ ไม่พยายามทำให้รู้สึกซาบซึ้ง ไม่ได้ทำให้ทุกคนหัวเราะ เป็เพียงการบอกเล่าวิธีการเรียนภาษาอังกฤษของตนให้ทุกคนฟังอย่างง่ายๆ เท่านั้น
แต่ช่างทำให้เกิดจิตนาการจนเห็นภาพเหลือเกิน!
แค่หลับตาก็ราวกับได้เห็นเด็กสาวชนบทคนหนึ่งกำลังพลิกอ่านพจนานุกรมภาษาอังกฤษเล่มเก่าสภาพยับเยิน
ไม่ว่าจะเป็คณะกรรมการหรือผู้ชม ทุกคนช่างไร้เดียงสายิ่งนัก ไม่รู้จักวิธีการ ‘ขอความเห็นใจ’ ที่แฝงอยู่ในการแนะนำตัวเลยสักนิด การขอความเห็นใจอย่างไร้ชั้นเชิงคือการร้องไห้ฟูมฟาย ในขณะที่การขอความเห็นใจชั้นสูงคือการเล่าความยากลำบากของตนด้วยรอยยิ้ม การร้องไห้ฟูมฟายอาจทำให้คนรู้สึกรำคาญได้ แต่อย่างหลังกลับทำให้ผู้คนรู้สึกเข้าอกเข้าใจอย่างง่ายดายน่ะสิ
อีกทั้งสิ่งที่เซี่ยเสี่ยวหลานเล่าก็ไม่ใช่เื่โกหกแต่อย่างใด
เพียงแต่เื่นี้เกิดขึ้นในชาติที่แล้ว หลังเรียนจบเธอก็ได้ผันตัวไปเป็พนักงานขาย เพราะหน้าที่การงานทำให้เธอต้องเริ่มเรียนภาษาอังกฤษอีกครั้ง
ตอนนั้นเป็่ปี 2000 ่เวลานั้นสถาบันกวดวิชาภาษาอังกฤษเป็ที่แพร่หลายแล้ว หาก้าเพิ่มระดับความรู้ด้านภาษาอังกฤษย่อมมีวิธีการมากมายให้เลือกสรร แต่เซี่ยเสี่ยวหลานจำเป็ต้องเลือกวิธีที่เชยและโบราณที่สุด หลังเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว เธอ้ารื้อฟื้นภาษาอังกฤษอีกครั้ง พจนานุกรมเล่มเก่าจนใกล้จะขาดอยู่แล้วนั้นคือวิธีที่เธอเลือกใช้ เธอก้มหน้าก้มตาเรียนอยู่นานสองปี อาจเพราะเดิมทีเธอมีพื้นฐานภาษาอังกฤษแน่นมากพออยู่แล้ว หลังจากกลับมารื้อฟื้นอีกครั้งทุกอย่างก็ราบรื่นขึ้น ระดับภาษาอังกฤษของเธอจึงพัฒนาอย่างก้าวะโ
นี่คือประสบการณ์จริงของเธอ ดังนั้นตอนพูดย่อมไม่มีอะไรให้ต้องพะวง
ปากของเซี่ยเสี่ยวหลานเป็แบบไหน? เป็แบบคนที่ทำงานด้านการขายมาก่อนน่ะสิ!
ทำงานด้านการขายไม่จำเป็ต้องพูดจาคล่องแคล่วอะไรมากมายนัก แต่ต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกเชื่อมั่น ใน่เวลานี้เหล่าคณะกรรมการก็คือลูกค้า และสินค้าที่เซี่ยเสี่ยวหลานต้องขายก็คือตัวเธอเอง
สวีกั๋วจางคิดในใจ สิ่งที่พูดมาตรงตามที่เอกสารระบุไว้ทั้งสิ้น
ส่วนที่ว่าการท่องศัพท์จากพจนานุกรมจะสามารถทำให้ผ่านเข้าสู่รอบ 20 คนสุดท้ายของประเทศได้หรือไม่ สวีกั๋วจางไม่อาจปฏิเสธได้อย่างเด็ดขาด เพราะพร์ของทุกคนนั้นไม่เหมือนกัน รวมถึงระดับความพยายามเองก็แตกต่างกันด้วย คนอื่นทำไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะทำไม่ได้ดั่งเช่นคนอื่น
การแนะนำตัวคล่องแคล่วฉะฉาน เป็ผลจากการเตรียมตัวล่วงหน้ามาไม่ใช่เื่แปลก แต่การออกเสียงที่ถูกต้องไม่สามารถหลอกกันได้
เด็กบางคนสอบภาษาอังกฤษได้คะแนนเต็ม แต่พออ้าปากพูดกลับติดอ่างขึ้นมาอย่างกะทันหัน สวีกั๋วจางต้องพยายามเดาความหมายอยู่นานถึงจะพอจับใจความของประโยคที่พูดได้ ปัญหานี้เกิดขึ้นเพราะทักษะการพูดต่ำเกินไปนั่นเอง!
เซี่ยเสี่ยวหลานพูดแนะนำตัวโดยใช้เวลาไม่ขาดไม่เกิน นั่นก็คือ 5 นาทีพอดี
แคทเธอรีนอ่านเอกสารในมือ และอดถามออกไปไม่ได้ว่า
“คุณเพิ่งเรียนชั้นปีที่หนึ่งหรือคะ ผลการสอบเกาเข่าเมื่อปีที่แล้วคุณก็ได้คะแนนเต็มวิชาภาษาอังกฤษด้วยนี่ เื่แบบนี้ต่อให้เป็ที่ประเทศอังกฤษก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ อีกทั้งคุณยังเป็นักศึกษาจากชนบท อยากเรียนภาษาอังกฤษให้ดีในชนบทนั้นเป็เื่ที่ลำบากมากทีเดียว”
แคทเธอรีนไม่ได้พูดเกินจริง ที่ประเทศจีนเองก็มีคนมากมายที่สอบวิชาภาษาจีนแล้วไม่ได้คะแนนเต็ม
“ใช่ค่ะ อาจารย์แคทเธอรีน ดิฉันเป็นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งของหัวชิง การสอบเกาเข่าเป็แค่การสอบครั้งหนึ่งเท่านั้น ที่ดิฉันได้คะแนนเต็มก็มาจากความพยายามของตัวเองและเป็เื่ของดวงด้วยค่ะ แต่นั่นถือว่าเป็เื่ในอดีตไปแล้ว ดิฉันคิดว่าสิ่งสำคัญกว่าคือปัจจุบันค่ะ”
สอบได้ 100 คะแนนเต็ม แน่นอนว่าเื่ของดวงย่อมมีส่วน
ต่อให้การสอบข้อกากบาทและเติมคำจะได้คะแนนเต็ม แต่ถ้าเจออาจารย์ผู้ตรวจที่ไม่ชอบเรียงความของเซี่ยเสี่ยวหลาน และ้าหักคะแนนเธอสัก 1 หรือ 0.5 คะแนน เซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่สามารถทำอะไรได้!
คำตอบของเซี่ยเสี่ยวหลานเป็กลางมากที่สุดแล้ว
เดิมทีจานอ้ายฉวินอยากถามคำถามที่ช่วยให้เซี่ยเสี่ยวหลานมีโอกาสแสดงความสามารถมากกว่านี้ แต่พอนึกขึ้นได้ว่าตนรู้จักกับเซี่ยเสี่ยวหลานจึงอดทนไว้
เนื่องจากภายหลังอาจจะมีคนขุดคุ้ยแล้วเอาไปนินทาได้น่ะสิ ดังนั้นเธอจะเสี่ยงไปทำไม เพราะถึงอย่างไรจนถึงตอนนี้เซี่ยเสี่ยวหลานก็ทำได้ดีมากอยู่แล้ว
พิธีกรแปลการแนะนำตัวของเซี่ยเสี่ยวหลานอย่างคร่าวๆ นี่ไม่ใช่การอธิบายให้ผู้ชมด้านล่างเวทีฟัง แต่ทำไปเพื่อการออกอากาศในภายหลังนั่นเอง
หากไม่แปลแล้วผู้ชมทั่วไปจะเข้าใจได้อย่างไรเล่า
ข้างล่างเวที ย่าโจวฟังคำแปลแล้วพูดกับกวนฮุ่ยเอ๋อทันทีว่า
“เสี่ยวหลานนี่เก่งจริงๆ เลยนะ สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยยังเรียนได้ดีขนาดนี้ เทียบกับเธอแล้ว พวกโจวอี๋ยังพยายามไม่มากพอด้วยซ้ำ”
แน่นอนว่าไม่นับโจวเฉิง นั่นเป็เพราะย่าโจวลำเอียงรักหลานชายมากที่สุด
หลานชายคนโตของเธอเข้ากองทัพั้แ่อายุ 15 ด้านวิชาการจะด้อยไปบ้างก็เป็เื่ที่เข้าใจได้ เฉิงิ่กับกู้ซือเหยียนยังเรียนอยู่ในระดับมัธยมจึงไม่จำเป็ต้องพูดถึง แต่โจวอี๋ที่เป็หลานสาวคนโตกลับไม่เป็แบบอย่างที่ดี ตระกูลโจวเพรียบพร้อมทุกด้านขนาดนี้ โจวอี๋ยังเรียนแย่ถึงเพียงนั้น... ช่างไร้ความทะเยอทะยานจนน่าผิดหวังจริงๆ
กวนฮุ่ยเอ๋อพยักหน้าอย่างขอไปที
เคราะห์ดีที่พี่สะใภ้กับโจวอี๋ไม่ได้ยินคำพูดนี้ มิเช่นนั้นคงคิดมากแน่นอน
กวนฮุ่ยเอ๋อยังไม่ทันตั้งสติจากเื่น่าตื่นตาตื่นใจที่เซี่ยเสี่ยวหลานเล่าให้ฟังคราวก่อน จานอ้ายฉวินก็ให้บัตรเข้าชมการแข่งขันภาษาอังกฤษพร้อมโทรมาบอกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานผ่านเข้ารอบแข่งขันทักษะการพูด หากกวนฮุ่ยเอ๋อไม่มา จานอ้ายฉวินคงรู้สึกสงสัยแน่นอน
หลังบอกย่าโจวก็เป็ไปตามที่เธอคาดไว้ หญิงชราตื่นเต้นยิ่งกว่าเธอเสียอีก กวนฮุ่ยเอ๋อคิดในใจว่า ที่เธอมาชมการแข่งขันในครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเธออยากมา แต่เธอมาเป็เพื่อนหญิงชราตามหน้าที่ต่างหากเล่า
พอได้ยินว่าเซี่ยเสี่ยวหลานถือพจนานุกรมเล่มเก่าค่อยๆ ท่องศัพท์ไปทีละหน้า ความคิดของกวนฮุ่ยเอ๋อก็เหมือนกับย่าโจว ใช่แล้ว ยุคสมัยนี้ไม่ว่าตระกูลไหนก็ไม่นับว่าเป็เศรษฐี คนที่ยากจนกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานผู้ซึ่งต้องพึ่งพาพจนานุกรมก็ยังมี อย่าว่าแต่เรียนภาษาอังกฤษเลย บางคนไม่มีโอกาสแม้แต่จะเข้าโรงเรียนด้วยซ้ำ คนเ่าั้น่าสงสารยิ่งกว่าเซี่ยเสี่ยวหลานเสียอีก... แต่คนพวกนั้นไม่เคยโผล่มาให้กวนฮุ่ยเอ๋อเห็นหน้า ในเมื่อไม่รู้จักกับกวนฮุ่ยเอ๋อ เธอย่อมรู้สึกว่ากว่าเซี่ยเสี่ยวหลานจะมาถึงจุดนี้ได้ไม่ง่ายเลยสักนิด
อาจารย์หลินและศาสตราจารย์เฮ่อที่นั่งอยู่ด้านล่างเวที รวมถึงพวกจี้เจียงหยวนที่ไม่ผ่านเข้ารอบต่างก็รู้บทแนะนำตัวของเซี่ยเสี่ยวหลานดีอยู่แล้ว
ฟังในขณะฝึกซ้อมกับฟังตอนรอบชิงชนะเลิศให้ความรู้สึกต่างกันเหลือเกิน
การยืนอยู่บนจุดสูงสุดมีประโยชน์อย่างหนึ่ง นั่นก็คือไม่ว่าจะพูดอะไรย่อมมีคนตั้งใจฟังอยู่เสมอ ดังนั้นการขอความเห็นใจชั้นสูงของเซี่ยเสี่ยวหลานจับใจผู้คนเป็อย่างยิ่ง
เวลานี้จี้เจียงหยวนกำลังคิดว่า หนิงเสวี่ยคืออัจฉริยะตัวจริง ทว่าเซี่ยเสี่ยวหลานด้อยกว่าหนิงเสวี่ยตรงไหนกัน? หนิงเสวี่ยได้รับการศึกษาที่ดีั้แ่เด็ก ได้ไปต่างประเทศั้แ่สมัยมัธยมปลาย แต่เซี่ยเสี่ยวหลานที่อยู่ในวัยเดียวกันนั้นกลับทำได้แค่อ่านพจนานุกรมเก่าๆ เล่มหนึ่งเท่านั้น!
บนเวทีเข้าสู่่ที่สองของการแข่งขันทักษะการพูด
โจทย์คือหลังฟังบทความสั้นๆ ผู้เข้าแข่งขันจะต้องอธิบายเื่ราวทั้งหมดให้คณะกรรมการได้ฟัง
ทั้งห้องส่งเงียบสงัด ไม่มีผู้ชมคนไหนกล้าทำเสียงรบกวนการฟังเื่สั้นของเซี่ยเสี่ยวหลานแม้แต่คนเดียว
ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกแปลก ‘เมลานี’ กับ ‘สการ์เลตต์’ สองชื่อนี้ช่างคุ้นหูยิ่งนัก บทประพันธ์เื่ยาวชื่อดังอย่าง《วิมานลอย》[1] ถูกย่อจนกลายเป็แค่บทความเื่สั้นเื่หนึ่งทันที หลังคลิปเสียงหยุดลงก็ถึงเวลาที่เซี่ยเสี่ยวหลานต้องอธิบายบทความนี้ ตอนนี้สมองของเธอกำลังประมวลผลว่าควรจะเริ่มเล่าจากตรงไหน
คณะกรรมการต่างจับจ้องมาที่เธอ
แคทเธอรีนรู้สึกแปลกใจมาก นี่ไม่ใช่หัวข้อการสอบที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้นี่
ทำไมจู่ๆ ถึงเปลี่ยนข้อสอบกัน?
“นักศึกษาเซี่ยเสี่ยวหลาน โปรดเล่าถึงสิ่งที่คุณเพิ่งได้ฟังมาเมื่อสักครู่ด้วยครับ”
ในฐานะเด็กสายวิทย์ ความรู้ด้านวรรณกรรมของเซี่ยเสี่ยวหลานนั้นไม่สูงนัก แต่เื่《วิมานลอย》นั้น เธอย่อมเคยอ่านมาก่อน เื่สั้นเมื่อสักครู่ก็คือการแนะนำเื่ราวของ《วิมานลอย》ทว่ากลับเป็การเล่าเื่อย่างแข็งกระด้างนั่นเอง
หากแปลตามบทความคงไม่ดีอย่างแน่นอน
เซี่ยเสี่ยวหลานจึงเล่าเื่《วิมานลอย》ตามความเข้าใจจากที่ตนเคยอ่านมา
“ปี 1861 สการ์เลตต์สาวน้อยที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของอเมริกา เธอซึมซับวัฒนธรรมของชาวใต้มาั้แ่ยังเด็ก แต่ภายในใจกลับมีความขบถแอบซ่อนอยู่...”
ผู้ประพันธ์เื่《วิมานลอย》ใช้เวลาสรรสร้างผลงานชิ้นเอกมาอย่างยาวนาน ตลอดอายุขัยของเขา เขาเขียนนวนิยายเื่ยาวเพียงแค่เื่เดียวเท่านั้น โดยหลังผลงานได้ออกไปสู่สาธารณชน นวนิยายเื่นี้ก็ได้โด่งดังไปทั่วโลก นี่คือนวนิยายที่เหล่านักศึกษาจำนวน 200 คนจากทั่วประเทศ และบรรดาอาจารย์ที่พาพวกเขามาร่วมการแข่งขันน้อยคนนักที่จะไม่เคยอ่านนวนิยายเื่นี้
หัวข้อนี้ทำไมเหมือนกำลังแจกคะแนนให้เซี่ยเสี่ยวหลานกัน?
สหายาุโของสถานีโทรทัศน์เองก็แปลกใจ อำนาจของรองหัวหน้าหวังยิ่งใหญ่ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ แม้แต่จุดยืนของศาสตราจารย์สวีกั๋วจางก็ยังสั่นคลอนได้?!
เชิงอรรถ
[1] วิมานลอย หรือ Gone with the wind นวนิยายปี ค.ศ. 1936 ของมาร์กาเร็ต มิตเชลล์ เล่าเื่ราวเกี่ยวกับากลางเมืองและผลกระทบหลังา ถือเป็หนึ่งในวรรณกรรมเอกของสหรัฐอเมริกาแห่งคริสต์ศตวรรษที่ 20