หลังกินอาหารเสร็จซูอี้เฉิงกับจางเหมยก็ขอตัวกลับก่อนส่วนลู่เป๋าเหยียนและูเี่อันกำลังยืนรอให้พนักงานนำรถมาที่หน้าร้าน
“เมื่อกี้ทำไมเธอต้องหลอกถามเขาด้วย”ลู่เป๋าเหยียนถามขึ้นมา
เขารู้ทันเธอจริงๆ ด้วยที่เขาพูดกับพี่ชายเธอว่ายังต้องเลือกคู่ควงอีกเหรอ คงเพราะ้าช่วยเธอสินะ
“ยังจำเื่ที่เสี่ยวซีขอบัตรเชิญงานเลี้ยงครบรอบกับนายได้หรือเปล่า”ูเี่อันถาม “เสี่ยวซี้าจะเข้างานไปตีเนียนเป็คู่ควงพี่ชายฉันแต่ถ้าพี่ชวนจางเหมยไป เสี่ยวซีก็หมดโอกาส”
ตอนนั้นเองพนักงานก็ขับรถของลู่เป๋าเหยียนมาจอดด้านหน้า และช่วยเปิดประตูให้กับูเี่อันเธอหันไปขอบคุณก่อนที่จะถามลู่เป๋าเหยียน
“นายว่ารอยยิ้มของพี่ฉันเมื่อกี้...มันหมายความว่าไง”
ลู่เป๋าเหยียนสตาร์ทรถก่อนจะตอบ“เขาคิดจะขอให้จางเหมยเป็คู่ควง เพียงแต่ยังไม่เอ่ยปาก เข้าใจ?”
ูเี่อันพยักหน้า“งั้นก็หมายความว่า ถ้าเสี่ยวซีลงมือตอนนี้ก็ยังทันสินะ”
เธอกะว่าหากบริษัทเมื่อไรจะรีบบอกข่าวนี้กับลั่วเสี่ยวซีทันทีแต่ใครจะไปนึกว่า ลั่วเสี่ยวซีได้มานั่งรอเธออยู่ในห้องของผู้จัดการไช่ก่อนแล้ว
วันนี้เธอมัดผมลอนสลวยเป็หางม้าอยู่ในชุดออกกำลังกายรัดรูป และผูกเสื้อคลุมเอาไว้ที่เอวแต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจปิดบังหุ่นสะโอดสะองของเธอเอาไว้ได้
ูเี่อันนึกว่าตัวเองตาฝาดที่เห็นเพื่อนของตนนั่งยิ้มกว้างอยู่ตรงหน้า
“เมื่อวานฉันได้ยินคนเม้ากันว่าบอสใหญ่พาเธอมาที่บริษัทคิดไม่ถึงว่าจะจริงแฮะ”
ูเี่อันยิ้ม“ฉันมีเื่จะบอกเธออยู่พอดี”
หลังได้ฟังเื่ทีู่เี่อันกล่าวลั่วเสี่ยวซีกลับไม่รู้สึกแปลกใจอะไร
“ฉันบอกแล้วว่าตอนนี้พี่ชายเธอกับจางเหมยยังไม่ได้คบกัน แต่อนาคตต้องมีอะไรแน่”
“งั้นเธอคิดจะทำไงต่อไป”ูเี่อันถาม
ลั่วเสี่ยวซีปล่อยผมหางม้าออกก่อนจะใช้มือเสยผมอย่างเย้ายวน
“จะให้ทำยังไงฉันก็ต้องหาทางกำจัดศัตรูก่อนที่อีกฝ่ายจะลงมือน่ะสิ”
พูดจบเธอก็เดินออกจากฝ่ายกลยุทธ์ไปูเี่อันรู้ดีว่าเพื่อนของเธอจะไปไหนแต่ก็ไม่ได้ห้ามไว้ เพราะถึงอย่างไรลั่วเสี่ยวซีก็คุ้นเคยกับที่นั่นยิ่งกว่าเธอ
ลั่วเสี่ยวซีไม่ได้รีบร้อนตรงไปยังจุดหมายเลยทันทีเธอเดินกลับไปที่ห้องซ้อมก่อน
Lu Media ตั้งอยู่ด้านหลังตึกใหญ่ของเครือลู่ ชั้นสามถึงสี่เป็ห้องซ้อมและห้องฟิตเนสต่างๆสำหรับศิลปินในสังกัด ปัจจุบันลั่วเสี่ยวซีกำลังฝึกการเดินแคทวอล์คทุกวันตอนเช้าเธอจะต้องมาเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะรับการสอนจากเทรนเนอร์อย่างเข้มงวด
ที่เธอกลับมาที่นี่ก่อนก็เพราะต้องมาเปลี่ยนเสื้อผ้าและบอกกับผู้จัดการของตนก่อนออกไป
“นอร่าฉันขอลา่บ่ายนะ!”
พูดจบเธอก็สวมเสื้อคลุมและเดินออกจากประตูไปโดยไม่รอคำตอบ
นอร่าเองก็หมดปัญญากับเธอ
ลั่วเสี่ยวซีเป็ศิลปินฝึกหัดที่ขยันที่สุดคนหนึ่งในตอนนี้ภายนอกเธออาจจะดูไม่ค่อยเรียบร้อยอยู่ในโอวาทนัก แต่เธอไม่เคยมาสายเลยสักครั้งและไม่เคยแสดงตนข่มคนอื่นแม้แต่น้อย บทเรียนที่ว่ายาก สำหรับเธอก็ไม่ได้ง่ายแต่ในขณะที่คนอื่นร้องบ่นระงม ลั่วเสี่ยวซีกลับกัดฟันสู้ ฝึกซ้อมซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งทำมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
รูปร่างของลั่วเสี่ยวซีนับว่าดีมากแต่ถ้าอยากจะเป็นางแบบชั้นนำคงต้องผ่านการฝึกฝนอีกมากมายยามที่หยาดเหงื่อไหลลงมาดั่งสายฝน เธอไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยเลยสักครั้งราวกับว่าในพจนานุกรมของลั่วเสี่ยวซีนั้น มีแต่คำว่า “พยายาม”
ลั่วเสี่ยวซีเองก็เคยหกล้มจากการส้วมส้นสูงกว่าสิบเิเตอนเดินแบบแต่ขณะที่คนอื่นพากันกุมาแร้องโอดโอย เธอกลับแค่ยิ้มแหยๆ และลุกขึ้นมาเริ่มต้นใหม่
ถึงเธอจะดูเป็คนที่ี้เีที่สุดทว่าความจริงเธอคือคนที่ขยันและพยายามมากที่สุดต่างหาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าเธอจะยอมตกอยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัททุกอย่าง อย่างวันนี้ในเวลาแบบนี้เธอก็มักทำตามใจตัวเองโดยไม่สนใครหน้าไหน
เพราะลู่เป๋าเหยียนเคยกำชับไว้ว่าหากไม่ใช่เื่เกินเลยอะไร ขอให้ตามใจลั่วเสี่ยวซีดังนั้นวันนี้ก็ให้เธอทำตามใจสักวันแล้วกัน
ขณะนั้นเองลั่วเสี่ยวซีก็กำลังขับเฟอร์รารีสีแดงคันงามของตนไปยังเครือเฉิงอัน
มีอยู่่หนึ่งที่เธอเป็แขกประจำของที่นั่นเธอตามติดซูอี้เฉิงราวกับเหาฉลาม เธอมักจะแวะไปเซอร์ไพรส์เขาให้ใเล่นอยู่บ่อยๆแถมยังชอบซื้อข้าวของติดไม้ติดมือไปให้คนใกล้ตัวของเขาพร้อมกันด้วยเมื่อเวลาผ่านไป คนทั้งเครือเฉิงอันั้แ่ผู้บริหารระดับสูง ยันรปภ.หน้าประตูต่อให้ไม่เคยเห็นหน้า ก็ต้องเคยได้ยินชื่อของลั่วเสี่ยวซีกันทุกคน
แต่ตอนหลังเธอเริ่มรู้สึกเกรงใจและมักบังเอิญเจอบรรดาคุณอาเพื่อนพ่อที่นั่นบ่อยๆเลยไม่ได้ไปหาซูอี้เฉิงที่บริษัทอีก
แต่ว่าวันนี้ลั่วเสี่ยวซีกลับมาแล้วค่า!
รปภ.หน้าประตูยังเป็คนเดิมเมื่อเขาเห็นเธอก็รีบส่งเสียงทักทาย
“อ้าวคุณหนูลั่วใช่ไหมครับ”
ลั่วเสี่ยวซีส่งยิ้มพลางเดินเข้าไปหาเธอยื่นชานมและทาร์ตไข่ให้เขา
“คุณอาจางไม่เจอกันนานนะคะ ว่าแต่...ผอ.ซูวันนี้อยู่หรือเปล่า”
“อยู่ครับ” เขารับของตรงหน้าอย่างไม่เกรงใจพลางตอบ“คุณหนูไม่ได้มานานเลยนะครับเนี่ย”
“วันนี้ก็มาแล้วไงคะงั้นหนูขอตัวขึ้นไปข้างบนก่อนนะคะคุณอา”
พูดจบลั่วเสี่ยวซีก็หิ้วของเข้าไปในบริษัทอย่างรวดเร็วกว่าประชาสัมพันธ์จะตามมาดูว่าเธอเป็ใคร เธอก็ขึ้นลิฟต์ส่วนตัวของซูอี้เฉิงขึ้นชั้นบนไปแล้ว
พวกเลขาของซูอี้เฉิงเธอก็คุ้นเคยดีหลังจากวางขนมและกาแฟลงบนโต๊ะเธอก็พูดว่า
“กาแฟสตาร์บัคและขนมจาก JB House ที่พวกเธอชอบ ตามสบายเลยนะ!”
เลขาที่สนิทกับเธอพากันส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดและส่งสัญญาณบอกเธอว่าซูอี้เฉิงอยู่ในห้องทำงาน
ลั่วเสี่ยวซีจึงรีบเดินไปทันทีเมื่อเกือบถึงประตู ก็มีเสียงของคนรู้จักดังขึ้นซะก่อน
“คุณหนูลั่วคุณเข้าไปไม่ได้ค่ะ”
เมื่อหันกลับไปมองก็เป็จางเหมยอย่างที่เธอคิด
“ฉันรู้ว่าฉันเข้าไปไม่ได้”ลั่วเสี่ยวซียิ้มกว้างอย่างท้าทาย “แต่ยังไงฉันจะเข้า”
“คุณไม่ควรทำตามใจตัวเองแบบนี้นะคะ”จางเหมยเตือน “ผอ.ซูกำลังทำงานอยู่ถ้าคุณเข้าไปเกรงว่าจะเป็การรบกวนเขาเสียเปล่าๆ เขาไม่ชอบให้ใครเข้าไปกวนเวลางานโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เข้าไม่ชอบหน้า”
“แผลที่หน้าผากหายดีหรือยังคะ”ลั่วเสี่ยวซีไม่หลงกลกับคำพูดยั่วโมโหของจางเหมย เธอส่งยิ้มกว้างก่อนเอ่ย“เื่ที่คลับเฮาส์ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่ว่า...ซูอี้เฉิงเขาโดนฉันรบกวนบ่อยจนชินแล้วล่ะค่ะเพราะฉะนั้นคุณไม่ต้องห่วง”
เธอกดรหัสอย่างคล่องมือเมื่อประตูเปิดออก เธอก็เดินเข้าไปอย่างผ่าเผย
เชอะเธอรู้รหัสเข้าห้องเขาก่อนยัยนั่นตั้งนาน มีสิทธิ์อะไรมาห้ามไม่ให้เธอเข้ากันฝันไปเถอะ!
ซูอี้เฉิงกำลังอ่านเอกสารอยู่ที่โต๊ะเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เขาจึงเงยหน้าขึ้น และก็เป็คนที่เขาคาดไว้จริงๆ
“เธอมาทำไม”เขาขมวดคิ้วถาม
“มารบกวนนายไง”ลั่วเสี่ยวซีเดินตรงไปที่โต๊ะทำงานของเขา เธอใช้สองมือกุมขอบโต๊ะและก้มตัวลงส่งยิ้มราวกับจิ้งจอกสาว
“นายพอจะมีเวลาสักหน่อยไหม”
“ไม่มี”ซูอี้เฉิงตอบหน้านิ่งพลางเปิดเอกสาร “ออกไป!”
“ฉันไม่ออก!”ลั่วเสี่ยวซีลากเก้าอี้เข้ามานั่งข้างกายซูอี้เฉิง“ออกไปตอนนี้คงได้โดนหัวหน้าเลขานายหัวเราะเยาะแน่ๆ”
ซูอี้เฉิงมองเธออย่างเ็าเธอห่อไหล่ลงเล็กน้อยก่อนถาม
“นายยุ่งมากเลยเหรอ? งั้น...นายทำงานต่อเถอะฉันไม่กวนแล้ว” ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่เธอกลับไม่ขยับไปไหน
ซูอี้เฉิงชักจะทนไม่ไหว“ออกไปห่างๆ ฉันหน่อย”
“อ้อ”ลั่วเสี่ยวซีลากเก้าอี้ไปนั่งตรงหน้าโต๊ะทำงานของเขาอย่างเชื่อฟังและจ้องหน้าเขาต่อไป
ซูอี้เฉิงอ่านเอกสารในมือต่อโดยไม่สนใจเธอลั่วเสี่ยวซีเองก็นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขาเงียบๆเขานึกว่าตัวเองจะสามารถอ่านเอกสารต่อไปได้ตามปกติ ทว่าอ่านไปอ่านมาทำไมตัวอักษรตรงหน้ากลับกลายเป็ใบหน้ายิ้มแย้มของลั่วเสี่ยวซีไปได้ล่ะเนี่ย
เขาหลับตาลงและปิดเอกสารในมืออย่างหงุดหงิด
“มีอะไร!”
ลั่วเสี่ยวซีหัวเราะคิกคัก“นายมีคู่ควงไปงานเลี้ยงครบรอบของเครือลู่หรือยัง”
ซูอี้เฉิงกอดอกสีหน้าเย็น“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ?”
“จะไม่เกี่ยวกับฉันได้ยังไง”ลั่วเสี่ยวซียืดอกพูดอย่างมั่นใจ “ฉันอยากจะเป็คู่ควงของนายเพราะงั้นนายห้ามไปชวนคนอื่นนะ”
ซูอี้เฉิงหัวเราะแกนๆ ออกมา“ฉันมีคู่ควงแล้ว ถ้าไม่มีธุระอะไร ก็ออกไปได้แล้ว!”
“หัวหน้าเลขาของนายน่ะเหรอ”ลั่วเสี่ยวซีพูดช้าๆ ชัดๆ “ซูอี้เฉิง นายอย่าคิดว่าเื่จะจบแค่นี้!ถ้าฉันเห็นนายมากับเธอในวันงาน รับรองว่าฉันจะหาทางแยกพวกนายออกจากกันให้ได้ฉันอุตส่าห์ลงทุนขนาดนี้แล้วนายลองคิดเอาเองละกันว่าอยากจะหาเื่ปวดหัวใส่ตัวเพิ่มหรือเปล่า”
“เธอจะแยกพวกฉันออกจากกันได้ยังไง”ซูอี้เฉิงพูดอย่างไม่แยแส “งานเลี้ยงครบรอบของเครือลู่ไม่ได้มีจัดแข่งเทนนิสนะ”
“เื่นั้นฉันบอกแล้วไงว่าไม่ได้ตั้งใจ...”ลั่วเสี่ยวซีเบ้ปาก “ใครใช้ให้เธอมาลองดีกับฉันก่อนล่ะเธออยากแกล้งให้ฉันวิ่งจนหมดแรง ให้ขายหน้าต่อหน้าทุกคนตอนหลังฉันไม่เล่นแรงกว่านั้นก็บุญแล้ว ฉันก็เป็คนแบบนี้แหละคิดแก้แค้นแม้กระทั่งเื่เล็กน้อย ส่วนนายจะคิดยังไงก็ช่าง!”
ซูอี้เฉิงยกมือนวดขมับ“ฉันเชื่อว่าเธอไม่ได้ตั้งใจ กลับไปเถอะ อีกห้านาทีฉันมีประชุม”
“นายจำเื่ที่ฉันพูดได้แล้วใช่ไหม”ลั่วเสี่ยวซีถามย้ำ
ซูอี้เฉิงตอบเสียงเย็น“จะให้ฉันเรียกรปภ.ไหม”
“เรียกมาสิ”ลั่วเสี่ยวซีพูดอย่างไม่เกรงกลัว “ฉันติดสินบนรปภ.ทุกคนในตึกนี้ไว้หมดแล้วนอกจากนายจะเรียกตำรวจมาจับฉัน”
ตอนนั้นเองจางเหมยก็เดินเข้ามา
“ผอ.ซูคะ ผู้จัดการของ HC มาถึงแล้วค่ะคุณควรไปที่ห้องประชุมได้แล้ว”
ซูอี้เฉิงลุกขึ้นพลางติดกระดุมเสื้อสูทก่อนจะพูดขู่ลั่วเสี่ยวซี “กลับไปซะ ก่อนที่ฉันจะกลับมา”
ลั่วเสี่ยวซียิ้มโบกมือไล่หลังเขาไปเธอรอจนกระทั่งเขาเดินออกจากห้องทำงานไปแล้วจึงหยิบมือถือของเขาขึ้นมาและใส่รหัสวันเกิดของูเี่อันเพื่อปลดล็อก
เธอส่งรูปเซลฟี่ของตัวเองเข้าไปในมือถือเขาและตั้งค่าให้เป็รูปหน้าจอ จากนั้นจึงวางมือถือกลับที่เดิมก่อนจะปัดมือและเดินออกจากห้องทำงานของเขา
เมื่อซูอี้เฉิงเสร็จจากการประชุมลั่วเสี่ยวซีก็ได้กลับไปแล้ว แต่...ทำไมเขารู้สึกว่าลั่วเสี่ยวซีคงไม่ยอมกลับไปง่ายๆแบบนี้ เธอต้องทำอะไรสักอย่างแน่ๆ
จางเหมยถามขึ้นว่า“ผอ.คะ เหมือนคุณหนูลั่วจะรู้รหัสเข้าห้องถ้าเป็แบบนี้จะกระทบกับการทำงานของคุณหรือเปล่า ให้ฉันเปลี่ยนรหัสให้ไหมคะ”
ซูอี้เฉิงหยิบมือถือขึ้นมาปลดล็อกแล้วนึกว่าตัวเองตาฝาด เพราะตอนนี้รูปหน้าจอมือถือเขากลายเป็ภาพของลั่วเสี่ยวซีที่กำลังส่งยิ้มหวานอย่างสดใสไปเสียแล้ว
นั่นไงว่าแล้วว่าเธอไม่ใช่คนว่าง่ายขนาดนั้น
เขายกมือนวดขมับเล็กน้อยก่อนตอบ
“ไม่เป็ไร”
จางเหมยนิ่งไปเธออ้าปากเหมือนจะพูดอะไร แต่ก็ถูกซูอี้เฉิงพูดขัดเสียก่อน
“จะเปลี่ยนรหัสอีกกี่ครั้งเธอก็หาทางเข้ามาได้อยู่ดีไปทำงานต่อเถอะ”
จางเหมยได้ยินดังนั้นจึงไม่พูดอะไรอีกและเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ
ซูอี้เฉิงมองภาพบนหน้าจอมือถือของตนโดยไม่ทำอะไรและวางมันทิ้งไว้ดังเดิม
